webnovel

ลูก=ห่วง

การหาภูตตนหนึ่งในแดนบาดาลนั้นไม่ยากเลย แต่การจะแก้ไขให้ภูตตนนั้นกลับมามีชีวิตนี่สิที่ยาก เพราะภูตสิ่งของไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป เมื่ออยู่ห่างจากสิ่งของอันเป็นแหล่งพลังงานก็จะอ่อนแรง พระนางมุจลินท์จึงรับสั่งให้บริวารของนางที่ถือกำเนิดบนบกรีบไปตามหาหนังสือดังกล่าวมา

เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้าเหนือหัว นพและพิศาลต่างพากันขึ้นบก และแปลงร่างเป็นนกเพื่อบินหา

พวกเขามองสำรวจลงมาข้างล่าง ตอนนี้เป็นเวลาสนธยา หากเป็นเมื่อก่อนพวกมนุษย์ก็คงเข้าบ้านกันแล้ว แต่ตอนนี้พวกมนุษย์ช่างวุ่นวายกันจริง ๆ มีคนใส่ชุดเหมือนกันวิ่งวนรอบ ๆ อ่างเก็บน้ำ นพสะดุดตากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้สะอื้นอยู่

"อย่าร้องไห้เลย วาส" ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นสามีโอบไหล่เธอ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็กลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่

"มันเป็นไปได้ยังไงกัน" วาสพูดซ้ำไปมาราวกับคนจับไข้ "เรายังคุยกันอยู่แท้ ๆ ทำไม"

สามียกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ภรรยา "เราต้องหาเขาเจอ" เขาพูดอย่างหนักแน่น "เชื่อผม"

วาสหยุดสะอื้น "จะเป็นไปได้จริง ๆ เหรอคะ เรศ" เธอถาม "เขา..ไม่ได้ตายไปแล้วหรือ"

เรศทุบอกตัวเอง "ผมขอกูณฑ์มาจากเทพ รู้ไหม เขาเป็นเทพมาเกิด เทพต้องคุ้มครองเขาแน่"

"หรือไม่เขาก็เบื่อโลกมนุษย์ กลับสวรรค์ไปแล้ว" วาสรำพึง

นพและพิศาลมองหน้ากัน พวกเขารู้ทันทีว่าสองคนนี้ต้องเป็นพ่อแม่ของแขกที่มาพักอยู่เมืองบาดาล บางทีหากตามพวกเขาไปก็อาจจะไปเจอหนังสือเล่มนั้นได้

นาคทั้งสองบินตามพวกเขาไปเรื่อย ๆ จนมาถึงยานพาหนะหนึ่ง ผู้ชายขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับแล้ว แต่ฝ่ายหญิงเปิดท้ายรถและหยิบหนังสือออกมากอดและสะอื้น

"ใช่เล่มนั้นไหม" นพถาม

พิศาลพยักหน้า เขาตัดสินใจในชั่ววินาที รีบบินไปโฉบหนังสือและบินหนีไปทันที

"เอาคืนมานะ" วาสร้อง "เอาคืนมา"

เธอก้มลงหยิบก้อนหินขว้าง เฉียดปีกของพิศาลไปนิดเดียว

ครั้นพอเธอไม่สามารถทำให้พิศาลปล่อยหนังสือลงมาได้ก็ได้แต่ทรุดตัวลงร้องไห้

"โหดร้ายไปหน่อยไหมเจ้า" นพว่า เขาอดสงสารมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ แค่ต้องพรากจากลูกก็แย่พอแล้วยังถูกนกที่ไหนก็ไม่รู้มาโฉบเอาของไปต่อหน้าต่อตาอีก

"จะช่วยกระไรได้" พิศาลว่า เขาเองก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่หน้าที่ของข้าราชบริพารที่ดีคือต้องทำตามคำสั่งของเจ้าเหนือหัว

"วาส คุณเป็นอะไรไป" วาเรศผู้ซึ่งรอภรรยาขึ้นรถ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมขึ้นมาสักทีลงมาตาม และก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเธอนั่งร้องไห้อยู่

วาเรศรู้สึกจุกในอกไปหมด ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง กับอีแค่ลูกคนเดียวเขายังปกป้องไว้ไม่ได้

"วาส" วาเรศเรียกซ้ำอีกที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาก็นั่งลงข้าง ๆ เธอ เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะมองว่าพวกเขาเป็นคนบ้าเสียสติที่มานั่งร้องไห้ เขาอยากจะบอกพวกนั้นเหลือเกินว่า ต่อให้เป็นคนมีสติแค่ไหน แต่เจอเรื่องแบบนี้เข้าไป ก็อาจเป็นบ้าได้ง่าย ๆ

วาเรศลาพักร้อนมาแค่สามวัน เขาตั้งใจจะใช้วันหยุดกับครอบครัวให้คุ้มค่า หากแต่แผนการก็ต้องเปลี่ยนไปหมด เมื่ออยู่ ๆ ลูกชายเขาก็หายสาบสูญ ทุกคนต่างบอกว่าลูกของเขาคงตายไปแล้ว แต่วาเรศไม่เชื่อ หรือที่จริงเขาไม่อยากจะเชื่อ ลูกชายที่ร่าเริงสดใส แข็งแรงปานนั้นจะตายได้อย่างไร แม้ว่าหลักฐานจะชี้ชัดไปทางนั้น ทั้งที่ไม่มีใครมาแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับกูณฑ์หรือเสื้อชูชีพที่หลุดออกมา แต่วาเรศก็ยังยึดฟางแห่งความหวังไว้แน่น ตราบใดก็ตามที่ยังไม่พบศพของกูณฑ์ เขาก็จะเชื่อว่าเด็กหนุ่มหัวไฟของเขายังมีชีวิตอยู่

เขาโทรไปบอกหัวหน้าว่าอาจจะไม่ได้ไปทำงานตามกำหนด บอกไปตามตรงว่าลูกหายและคงจะต้องอยู่หาลูกให้เจอก่อน เขาเองก็หวังว่ากูณฑ์จะกลับมาก่อนที่วันลาจะหมดซึ่งก็คือก่อนวันรุ่งขึ้น หากแต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีวี่แวว เขาก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการโทรไปลาล่วงหน้าก่อน เพราะหากยังหาลูกไม่เจอ เขาก็คงไม่มีสมาธิไปทำงาน คุณพ่อผู้กำลังร้อนรนคาดว่าจะได้รับคำแสดงความเห็นอกเห็นใจ เพราะเขาเองก็ทำงานที่บริษัทนี้มานาน ขยันขันแข็งจนได้ชื่อว่าเป็นพนักงานดีเด่นคนหนึ่ง หากแต่คำพูดที่เขาได้รับกลับมาทำให้เขาชาไปทั้งตัว

"เด็กวัยรุ่นก็ยังงี้ หนีออกจากบ้าน เรียกร้องความสนใจ ไม่เห็นต้องไปตาม แล้วนี่ไปตามลูกจริง ๆ หรือเปล่า ไม่ใช่อยากอู้งานแล้วเอาลูกมาอ้างหรอกนะ รีบ ๆ กลับมาทำงานเถอะ เด็กหายก็ให้เป็นหน้าที่ตำรวจไป นายมีหน้าที่ต้องทำนะ"

วาเรศเกิดในยุคที่บริษัทเป็นเหมือนครอบครัว เขาทำงานกับบริษัทมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เรียกได้ว่าสร้างทุกอย่างมาด้วยกัน เขาแทบไม่เคยขาดลามาสาย ทำงานล่วงเวลาแค่ไหนก็ไม่เคยบ่น เขาแทบไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวด้วยซ้ำเพราะเอาไปทุ่มเทให้กับบริษัทเสียหมด เพราะถือคติว่าหากเราทุ่มเททำงานเต็มที่ พวกเขาก็จะยินดีดูแลเราเต็มที่เช่นกัน แต่พอได้ยินถ้อยคำอันแล้งน้ำใจของผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า วาเรศก็นึกเสียดายเวลาที่ทุ่มเทไป เวลาที่เขาควรจะมาใช้กับภรรยาที่แสนดีและลูกที่น่ารัก เวลาที่เขาควรเอามาใช้กับครอบครัวจริง ๆ ไม่ใช่ครอบครัวจอมปลอมอย่างบริษัทที่เห็นเขาเป็นเพียงเครื่องจักรผลิตงาน

"ขอโทษนะครับ ผมว่าไม่มีหน้าที่ไหนสำคัญกับผมมากกว่าหน้าที่ 'พ่อ' แล้วล่ะครับ เชิญพี่หาคนมาทำงานแทนผมได้เลย" พอพูดจบวาเรศก็วางสาย และแม้ว่าอีกฝ่ายจะโทรมาอีกกี่ครั้ง เขาก็ไม่รับสายอีก ป่วยการจะเสวนากับคนพรรค์นี้

วาเรศสั่นศีรษะ ไล่ความรู้สึกหงุดหงิดออกไป เขามาพักอยู่ที่อ่างซับเหล็กได้สองคืนแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกตั้งใจจะพักอยู่เพียงคืนเดียว แต่ในเมื่อเขายังหากูณฑ์ไม่เจอ เขาจึงจองที่พักอีกคืน พอรุ่งเช้าก็ออกตามหาอีก แต่ทำอย่างไรก็ไม่เห็นวี่แวว ความหวังเริ่มริบหรี่ลงไปทุกที

"เรศ" วาสนาเรียกสามี "ไอ้นกนั่นมันเอาหนังสือของลูกเราไปแล้ว"

"หนังสืออะไร" วาเรศถาม สมองเขาเบลอไปหมด วันนี้เขาเดินตามหาลูกทั้งวัน ข้าวสักเม็ด น้ำสักหยดก็ยังไม่ตกถึงท้อง

"หนังสือที่กูณฑ์ติดตัวไว้ตลอดน่ะ มันเอาไปแล้ว" วาสนาพูดพลางสะอื้น เธอซบหน้าลงบนแขนตัวเอง "ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้ด้วย แค่จะไว้ดูต่างหน้าลูกก็ไม่ได้เลยเหรอ"

"อย่าร้องไห้เลย" วาเรศว่า "แค่สิ่งของนอกกาย ยังไงลูกเราก็ต้องปลอดภัยกลับมาแน่"

"เราอยู่ที่นี่อีกสักคืนไหม" วาสนาถาม

วาเรศส่ายหน้า "ผมว่าเรากลับบ้าน ไปปริ๊นต์รูปถ่ายลูกเรา โพสต์ลงออนไลน์ดีกว่า ถ้ามีคนเจอก็คงติดต่อเรามาเอง เราอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์" ใจจริงเขาอยากตามหาลูกจนกว่าจะเจอ หากแต่เขาก็ต้องคิดถึงความเป็นจริงด้วย พวกเขามีเสื้อผ้ามาไม่พอใส่ เงินก็พกมาแค่พอใช้ พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่โดยไม่รู้อนาคตได้ การกลับไปตั้งหลักที่บ้านถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

"แต่ฉันยังไม่อยากกลับบ้านโดยไม่มีกูณฑ์ไปด้วย" วาสนาว่า

"ผมรู้" วาเรศว่า "แต่เรากลับกันก่อน ผมจะติดต่อทีมค้นหาเลย เท่าไหร่ก็จะสู้"

วาเรศเองเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทำงานไม่เต็มที่เท่าไหร่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เจ้าหน้าที่เองก็มีงานอื่นต้องทำเหมือนกัน จะมาช่วยเขาหาลูกทั้งวันทั้งคืนก็คงไม่ได้ วาเรศจึงคิดว่าเขาน่าจะใช้เงินแก้ปัญหา จ้างคนอื่นมาหาลูกเขาดีกว่า แม้เขาจะไม่รู้ว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ แต่เขาจะทุ่มจนกว่าจะได้ลูกเขากลับคืนมาไม่ว่าเป็นหรือตาย

"มันจะได้ผลเหรอ" วาสนาถาม

วาเรศไม่ตอบ แต่กลับชวนเธอขึ้นรถ

กว่าพวกเขาจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว วาเรศรีบค้นอัลบั้มภาพถ่ายของกูณฑ์ พยายามหาภาพที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด เขาโพสต์ลงโซเชียลทุกช่องทาง บอกรายละเอียดการหายตัวไปของกูณฑ์ บอกช่องทางติดต่อ พร้อมทั้งเงินรางวัลและตั้งค่าเป็นสาธารณะ เขาส่งข้อความไปหามูลนิธิคนหายต่าง.ๆ ขอให้พวกเขาช่วยแชร์ภาพและข้อมูลของกูณฑ์ หลังจากนั้นวาเรศและวาสนาก็ไม่ได้นอน พวกเขาสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือน บางคนก็มาแสดงความเห็นใจ แต่ก็มีบางคนที่กล่าวตำหนิว่าทำไมวาเรศและวาสนาไม่ดูลูกให้ดีกว่านี้

สายธารา: ขอให้เจอน้องเร็ว ๆ นะคะคุณพ่อ

ภูผา: เดี๋ยวน้องก็กลับมาครับ

มินตรา: ช่วยแชร์ให้แล้วนะคะ

บุษบา: พาลูกไปเที่ยว แต่ดันทำลูกหาย พ่อแม่สมัยนี้เนี่ยนะ

จินตหรา @บุษบา คุณพ่อเขาไม่ได้ทิ้งลูกสักหน่อย แค่นี้ใจเขาก็เสียแล้ว ทำไมชอบซ้ำเติมคนอื่นนักนะ

บางคนก็มาแสดงความเห็นแบบไม่ดูกาลเทศะ

ขายของ ขายทุกอย่าง: ระหว่างรอคนหาย มาซื้อข้าวโพดคั่วไปกินพลาง ๆ ก่อนได้นะคะ มีทั้งรสหวาน รสเค็ม บริการส่งไปรษณีย์ค่ะ

#ขออนุญาตเจ้าของโพสต์ค่ะ #ถ้ารบกวนลบได้เลยนะคะ #ทำมาหากิน

วาเรศถึงกับสบถเมื่อเห็นความเห็นนี้

"เป็นอะไรคะ" วาสนาถาม

"คุณดูสิ" วาเรศพูดอย่างรังเกียจ พลางชี้ให้ภรรยาดูเม้นต์ขายของ ขนาดเม้นต์ด่า วาเรศยังไม่โกรธเท่านี้ เพราะที่เขาพูดก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน แต่เม้นต์ขายของถือว่าเสียมารยาทมาก วาเรศรู้ว่าขายของออนไลน์ ถ้าไม่มีเงินจ้างโฆษณาก็ต้องอาศัยแปะตามโพสต์ที่มีคนเห็นมาก ๆ แต่ถึงอย่างไรมันก็เกินไปหน่อยไหม ลูกของเขาหายไป ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แต่กลับมีคนมาโพสต์ขายของใต้โพสต์ของเขาที่กำลังตามหาลูกอยู่

"มีขออนุญาตเสียด้วย" วาสนาว่า เธอเองก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจเช่นกัน

"แค่ยันต์กันด่าเท่านั้นแหละ" วาเรศคำราม บอกว่าขออนุญาตเจ้าของโพสต์ แต่เจ้าของโพสต์อย่างเขายังไม่ทันอนุญาตเลยก็ถือโอกาสแปะขายเสียก่อน เขาเองก็ขี้เกียจเอาพลังไปต่อกรกับคนพวกนี้ เอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่า

คืนนั้นวาเรศฝันถึงหลวงพ่อ ท่านเดินมาหาเขาอย่างแช่มช้า พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

"หลวงพ่อ" วาเรศว่า "กูณฑ์หายไปแล้วครับ เขาหายไปแล้ว"

หลวงพ่อมองเขาอย่างเมตตา

"กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

"หลวงพ่อหมายความว่า.."

แต่เขายังไม่ทันถามอะไร หลวงพ่อก็เดินจากไปเสียก่อน

ฆราวาสผู้ทุกข์ระทมพยายามเรียกบิดาผู้เป็นบรรพชิตให้กลับมา หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่แม้จะหันกลับมามอง

"หลวงพ่อ" วาเรศตะโกนสุดเสียง ในที่สุดเขาก็สะดุ้งตื่น

"เป็นอะไรไปคะ" วาสนาถาม

"ผมฝันถึงหลวงพ่อ" วาเรศว่า "ร้อยวันพันปี ผมไม่เคยฝันถึงท่านเลย แต่ทำไม.."

ความคิดอกุศลเข้ามาในใจของวาเรศ หรือว่าหลวงพ่อของเขามรณภาพไปแล้วจึงมาเข้าฝันเพื่อบอกลา หลวงพ่อเองก็อายุมากแล้ว ถ้าท่านจะละสังขารจริง ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

"ฝันว่ายังไงคะ" วาสนาถาม

วาเรศล่าเรื่องให้ฟัง

"หมายความว่าท่านพูดเป็นนัย ๆ ว่าลูกของเราตายไปแล้วหรือ"

วาเรศส่ายหน้า "ท่านไม่ได้พูดแบบนั้น ท่านแค่บอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม"

"มันเป็นแค่ฝัน" วาสนาพูด แม้น้ำเสียงของเธอจะไม่ได้บอกเลยว่าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูด "คุณคิดมากก็เลยฝัน"

"พรุ่งนี้ผมจะไปหาหลวงพ่อสักหน่อย" วาเรศว่า

"คุณคิดว่าท่านถอดจิตมาเข้าฝันคุณหรือ"

"มันก็เป็นไปได้" วาเรศตอบ เขาภาวนาให้หลวงพ่อถอดจิตมาเข้าฝันเขาเถิด ขออย่าให้วิญญาณท่านละกายเนื้อ และมาหาเขาเลย เขาจะสูญเสียทั้งพ่อและลูกชายไปในเวลาเดียวกันไม่ได้

"งั้นก็นอนเอาแรงไว้ก่อนเถอะค่ะ จะได้มีแรงขับรถ"

ไม่นานพวกเขาทั้งสองก็หลับกันไปอีก แล้วก็ไม่ตื่นอีกเลยจนกระทั่งแปดโมง

Siguiente capítulo