"เงินในบัญชีเขา ฉันเป็นคนโอนใส่ให้ทุกเดือน เพราะเราจะไปฮันนีมูนรอบยุโรปกัน ฉันไม่ต้องการให้คนอื่นดูถูกเขา เตรียมให้เขาเป็นคนจ่ายเงินค่าทริปทั้งหมด ถึงอยู่ในบัญชีเขา แต่เป็นเงินของฉัน เธอรู้หรือเปล่า"
เสียงแปดหลอดยิ่งกว่านักร้องโอเปร่าของ กฤษยา คุณหนูไฮโซ เจ้าของรถคันสวยหรูที่ขับอย่างไร้มารยาทเมื่อครู่นี้ กล่าวใส่เมลิสาดังลั่น คนถูกถามถอนหายใจยาว นึกสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว
"คุณคะ ฉันไม่ได้ขอให้เขาช่วย ไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวกับเขา รวมทั้งคุณด้วย"
"เธอจะบอกว่าเขาสะเออะโอนเงินของฉันให้เธอเองเหรอ เมลิสา"
ความเงียบและสีหน้าตอบรับวาจาของเมลิสา ทำเอากฤษยาโกรธจนควันออกหู หน้าแดงก่ำ จ้องเธอเขม็ง
"ทีแรก ฉันนึกว่าเธอหิวเงิน ใช้ความน่าสงสารหลอกล่อให้เจตต์ช่วยเหลือ เลยตั้งใจเอาเงินมาให้เธอ แลกกับการเลิกยุ่งกับเขาซะ แต่ในเมื่อเธอหยิ่งยโสขนาดนี้ เงิน 8 แสนที่หายไปจากบัญชีของเขา ฉันให้เวลาเธอ 7 วัน เอามาคืนฉัน"
กฤษยาโยนนามบัตรส่งๆลงบนโต๊ะให้เมลิสา ในนั้นระบุเลขบัญชี ชื่อ และข้อมูลติดต่อของอีกฝ่าย
"ถ้าฉันไม่เห็นเงิน 8 แสน เตรียมบอกลาน้องชายของเธอได้เลย"
"คุณขู่ฉันเหรอ"
"แน่นอน ฉันไม่ได้ขู่ ไม่เชื่อก็ลองดูสิ"
น้ำเสียงและแววตาของผู้หญิงสวยตรงหน้า ดูเหมือนปีศาจร้ายมากกว่านางฟ้า เมลิสาได้แต่นิ่งอึ้ง โต้ตอบไม่ออก เธอรู้ว่าอิทธิพลของอีกฝ่ายมากมายขนาดไหน ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็สืบหาบรรพบุรุษของเธอได้ครบหมดทุกคนแล้วแน่ หญิงสาวกำหมัดแน่น จ้องเขม็งใส่กฤษยา แต่ก็ทำได้แค่นั้น กฤษยายิ้มเย้ยหยัน โยนแบงค์พันลงบนโต๊ะ แล้วลุกเดินออกจากห้องอาหารไป
มือของเมลิสาสั่นเทา กำแน่น อยากจะขว้างส้อมบนโต๊ะใส่หลังผู้หญิงคนนั้นใจจะขาด คิดอีกที ขว้างมันใส่เจตต์น่าจะเหมาะกว่า แต่เธอจะทำอะไรได้ หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ เธอบอกแม่เรื่องนี้ไม่ได้ หากแม่รู้ต้องสะเทือนใจมากแน่ๆ ดีไม่ดีอาจล้มหมอนนอนเสื่อตามพ่อไปอีกคน เธอทำไม่ได้เด็ดขาด
"ฉันจะทำยังไงดี..."
ชั่วขณะที่หนทางมืดแปดด้าน เธอรู้สึกว่าใครคนหนึ่งลงนั่งฝั่งตรงข้าม หรือว่านังแม่มดนั่นกลับมาขู่เธอเพิ่มอีก! คิดอย่างนั้น เมลิสาก็เงยมองเอาเรื่อง ตั้งท่าอ้าปากจะด่า กลับต้องอึ้งค้าง เมื่อเห็นผู้ชายรูปลักษณ์คุ้นสายตา คนที่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล และคนที่เธอกรีดร้องใส่หน้าในร้านอาหาร เหลือเชื่อเลย...ทำไมโลกกลมขนาดนี้
"ผมอยากคุยกับคุณ มีเวลาสักชั่วโมงหรือเปล่า คุณเมลิสา"
น้ำเสียงของเขาชวนขนลุกบอกไม่ถูก เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ โต้ตอบไม่ออกไปชั่วขณะ
----------------------------
เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำในรถคันสวยหรูสีดำสนิท ยี่ห้อราคาหกหลัก สัญชาติยุโรป และกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากกายของเจ้าของรถ ไม่ได้ช่วยให้ใจของเมลสงบลง เธอนึกอยากเขกศีรษะตัวเองที่อยู่ๆก็เดินตามคนแปลกหน้ามาอยู่ในรถของเขาได้ ว่าไปแล้วก็เหมือนนิยายน้ำเน่า เมลเดาเอาเองว่าผู้ชายคนนี้บังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างเธอกับแม่มดกฤษยา เขาคงบังเอิญเป็นคนมีน้ำใจ อยากเข้าช่วยเหลือ หรือไม่ก็มีแผนการบางอย่างที่ต้องใช้เธอ
"คุณคงเดาออกว่าผมอยากคุยเรื่องอะไร"
"!"
อยู่ๆ ผู้ชายหน้าตาหล่อเหมือนหลุดมาจากซีรี่ส์ก็โพล่งขึ้นขึ้นกะทันหัน เขาไม่ได้หันมองเธอขณะพูด สายตาจดจ่อกับตัวหนังสือมากมายบนหน้าจอโทรศัพท์ราคาระดับมนุษย์เงินเดือน ทำเธอสะดุ้งโหยง ไม่รู้จะตอบแบบไหน ที่จริงเธออยากลงจากรถไปเลยมากกว่า
"ผมรับปากว่าคุณเมฆินทร์จะได้รับการรักษาอย่างสุดความสามารถที่โรงพยาบาลไวทยะ จนกว่าจะหายขาด รวมถึงเงิน 8 แสนจะถูกโอนเข้าบัญชีของคุณทันที ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ"
ฟังคำพูดของเขา เมลก็เผลอกำหมัดแน่น ทั้งใจหายและโกรธจนควันออกหูในเวลาเดียวกัน ถึงอย่างนั้นก็เก็บอารมณ์ บังคับเสียงโต้กลับให้สงบนิ่งที่สุด
"ไม่นึกว่างานอดิเรกของคุณ คือแอบฟังคนอื่นคุยกัน"
"แล้วแต่คุณจะคิด ประตูรถไม่ได้ล็อก"
เขาตอบโดยยังคงจ้องมือถือตามเดิม ไม่สนใจเลยว่าสีหน้าของเธอเป็นอย่างไร เป็นคนชวนเธอมาคุยอย่างจริงจังแท้ๆ กลับทำเป็นไม่ยี่หระ ท่าทางอวดดีเหมือนถือไพ่เหนือกว่าทำเมลหงุดหงิดไม่น้อย
"ฉันไม่ได้ขายตัว คุณไปหาคนอื่นเถอะ"
คำโต้ตอบของเธอทำให้ชวินทร์ละสายตาจากมือถือ หันมองสบตากับเธอตรงๆ แม้ดูแชเชือนแต่ก็แฝงความตำหนิไว้ เมลิสาทำท่าจะเปิดประตูรถ ชวินทร์กลับรั้งเธอไว้ด้วยคำพูดเสียก่อน
"แน่นอน เพราะถ้าคุณขาย ผมคงไม่เลือกคุณ"
"คุณต้องการอะไรกันแน่"
ในที่สุด เมลิสาก็ทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาตามตรง คนถูกถามกลับใช้สายตาพิจารณาจ้องเธอ คล้ายว่าอ่านความรู้สึกผ่านสีหน้า กริยาเหล่านั้นชวนให้เมลิสาขนลุกน้อยๆ เขาดูน่ากลัวเกินไป แต่ไม่รู้ทำไม เธอถึงทำใจดีสู้เสือ ยอมใจเย็นรอคำอธิบายของเขา คงเพราะลึกๆในใจเธอก็คาดหวังความช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขของเขาเหมือนกัน
"คุณมีเวลาทำความรู้จักกับผม 2 อาทิตย์ ก่อนจะเข้าพิธีแต่งงานกันในสิ้นเดือนนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เกมตบตา แต่เป็นการคบหากันจริงๆ และจะต้องมีทายาทให้ผมอย่างน้อย 1 คน จากนั้นคุณจะเป็นอิสระ"
".....หา?...."
ทันทีที่ฟังเงื่อนไขของเขา เมลิสาก็เหมือนถูกค้อนล่องหนทุบเข้ากลางศีรษะ ทั้งมึนและงงจนสติหลุดไปชั่วขณะ เธอเข้าใจความหมายของเขา ในทางกลับกันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำถึงขั้นนั้น อดคิดไม่ได้ว่าการพบเขาในร้านอาหาร ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมลิสากำที่เปิดประตูรถไว้แน่น ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นโรคจิตคอยตามเธออยู่ก็ได้
"หึๆ..."
อยู่ๆชวินทร์ก็หันหนีไปทางอื่น สีหน้าเหมือนอยากหัวเราะ ทำเมลิสาหวาดกลัวหนักกว่าเดิม ก่อนจะยิ่งใจหายตัวชาวาบกับคำพูดต่อมาของเขา
"ผมมีเรื่องต้องทำมากมายในแต่ละวัน ไม่มีเวลาไปวิ่งตามใคร โดยเฉพาะไล่ตามผู้หญิงที่ไม่รู้จักกัน วางใจเถอะ"
"...คุณเป็นปีศาจหรือไง"
"คุณผู้หญิง ถ้าอยากเจรจาให้ได้เปรียบ สิ่งแรกที่ต้องฝึก คือเก็บสีหน้าของตัวเอง"
เขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยตอนตอบ แววตาไม่แข็งทื่อเป็นหุ่นยนต์ กลับดูเหมือนอยากหัวเราะท่าทางของเธอมากกว่า เมลิสาหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอายขายหน้า หันหนีสายตาของเขา
"...ฉันเดาเอาเองว่าพวกคนรวยแบบคุณ หาคนแต่งงานด้วย เพื่อรักษาสถานะตัวเองเอาไว้ แต่พวกคนดังไฮโซมีให้คุณเลือกตั้งเยอะแยะ ทำไมยื่นข้อเสนอนี้ให้คนธรรมดาแบบฉัน ฉันไม่เข้าใจ"
เมลตัดสินใจถามตามตรง ถึงเขาจะดูเย็นชา น่ากลัว น่าขนลุก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ท่าทางไม่ใช่พวกนักล่อล่วงทางเพศ ดูเหมือนพวกขับเคลื่อนชีวิตตัวเองด้วยผลประโยชน์มากกว่า ฝ่ายคนถูกถามนิ่งคิดสักครู่
"สำหรับบ้านไวทยะ ไม่ง่ายอย่างนั้น ถ้าหากผมเลือกไฮโซ ปัญหายุ่งยากอย่างแรกคือสืบต้นตอตระกูลของกันและกัน ปัญหาที่สองคือผลประโยชน์ร่วมระหว่างธุรกิจ สามคือสินสมรส และอย่างสุดท้าย ผมจะหย่าขาดจากอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ถ้าเลือกคุณ ปัญหาเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น"
"อ่อ...ฟังดูไร้หัวใจไปหน่อย"
"ธุรกิจและผลประโยชน์ ใช้หัวใจตัดสินไม่ได้ ถ้าหากคุณตกลง ผมจะให้ทนายส่งสัญญาก่อนและหลังสมรสให้ดู ตรวจสอบผลประโยชน์ให้ดีก่อนเซ็น นอกจากเรื่องสิทธิ์เลี้ยงดูบุตรกับการเป็นผู้จัดการมรดกของลูกแล้ว อย่างอื่นผมไม่ติด ส่วนสินสอด อยากเรียกเท่าไหร่ก็บอกมา ไม่เกี่ยวกับเงิน 8 แสนที่คุณจะได้รับ"
เขาพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยและเป็นทางการ เหมือนเจรจาซื้อขายธุรกิจเฟรนด์ไชน์ก็ว่าได้ แต่นี่คือการซื้อคนๆหนึ่งไปอุ้มท้องทายาทให้ เมลิสาคาดเดาไม่ได้เลยว่าผู้ชายเบื้องหน้าเป็นคนประเภทไหนกันแน่ สีหน้าของเธอ มองเขาเหมือนเห็นซาตานร่างจำแลง ชวินทร์กระแอมในคอ ไล่ความรู้สึกอยากหัวเราะออกไป พลางกล่าวต่อ
"คุณเข้ามาถูกจังหวะพอดี ผมถูกกดดัน ไม่มีเวลาวางแผน อีกอย่างหนึ่ง คุณย่าไม่ชอบผู้หญิงประเภทตุ๊กตาหน้ารถหรือเครื่องประดับเคลื่อนที่ คุณดูเป็นผู้หญิงทั่วไป มากกว่าพวกทำตัวเองเป็นจุดสนใจ คุณย่าจะคล้อยตามผมได้ง่ายกว่า"
"อ่อ...ผู้หญิงทั่วไป..."
เมลิสาทวนคำพลางก้มลงมองตัวเอง นั่นสิ แต่งตัวก็เรียบง่าย มีแบรนด์เนมชิ้นเดียวคือกระเป๋า นอกนั้นก็โปรโมชั่นลดราคา หน้าตาก็ธรรมดา เธอถอนหายใจเบาๆ คิดบางอย่างในใจได้ จึงแกล้งเอ่ยถาม
"คุณไม่รู้จักฉันจริงๆสักหน่อย จ้างฉันเป็นเมียชั่วคราวแบบนี้ ไม่กลัวว่าฉันจะฮุบสมบัติหรือปอกลอกคุณหมดตัวเหรอ คนสมัยนี้ดูกันแค่ภายนอกได้ที่ไหน หรือว่าถ้าฉันเกิดไม่อยากลงจากบัลลังก์บ้านไวทยะของคุณ อยู่เกาะเป็นเมีย ไม่ยอมหย่า ตามรังควานกิ๊กของคุณไปทั่ว ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวเหรอ คุณชวินทร์"
"เรื่องนั้น ผมยังไม่ได้คิด ต่อให้คุณอยากทำแบบนั้นจริงๆ ก็ทำไม่ได้หรอก"
คำตอบของเขาดูมั่นใจว่ามีวิธีดีดเธอออกจากชีวิตเนียนๆ ทำให้เมลิสาจ้องเขม็ง เขากลับยิ้มมุมปากตอบสายตาของเธอ เหมือนถูกใจนักหนา ประเมินดูแล้ว หากคุยต่อ เธอต้องโมโหจนประสาทเสียกับหุ่นยนต์คนนี้แน่ เธอทำท่าจะลงจากรถ เขาก็เอ่ยตามหลัง
"ผมจะรอคำตอบของคุณ 3 วัน ถึงเวลาเที่ยงคืน ไปหาผมได้ที่ห้องทำงาน ถ้าผมไม่เห็นคุณตามนัด ผมรับปากว่าจะไม่ตอแยคุณอีก คุณเมลิสา"
'ปึง'
เมลิสากระแทกประตูรถปิดดังกว่าปกติ แล้วรีบก้าวเท้ายาวๆออกจากรถคันสวยให้เร็วที่สุด
"ใครจะขายชีวิตตัวเองให้คนอื่น ไม่มีทางหรอก"
----------------------------
'ค่าสินสอด เงินสด 5 ล้าน ทอง 10 บาท รถแฮชแบค 6 ที่นั่ง จัดงานแต่งงานบนเรือยอร์ช'
ตัวหนังสือบนพื้นที่ว่างของนามบัตร อยู่ในสายตาของชวินทร์ ก่อนจะเหลือบตามองเจ้าของลายมือหวัดเล็กน้อย ผู้ซึ่งสวมชุดทำงานตัวเดิมกับเมื่อเช้า เพิ่มเติมแค่เครื่องสำอางบนใบหน้าเลือนหายไปบ้าง ท่าทางดูอิดโรย ไม่สดชื่น ชายหนุ่มเหลือบมองเวลา พบว่าเกือบสี่ทุ่ม จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบอะไรสักอย่าง เหมือนนึกขึ้นได้
ท่าทางไม่สนใจของเขาทำเมลิสาหน้าร้อนวูบอย่างอับอาย นึกเอาว่าเขาคงดูถูกอยู่ในใจ ตอนคุยกัน เธอทำทีเป็นปฏิเสธ ไม่ทันข้ามวันก็วิ่งแจ้นมาหาเขาพร้อมเรียกสินสอดมากมาย หญิงสาวครุ่นคิดหาทางลงให้ตัวเองสวยๆ นึกได้ก็กอดอกพิงพนักเก้าอี้ ปั้นหน้าเย้ยหยันใส่เขา
"จ่ายไม่ไหวสิถ้า ฉันบอกแล้วว่าคุณไม่รู้จักฉัน หาเรื่องใส่ตัวทำไม"
น้ำเสียงติดหยัน เรียกชวินทร์เงยขึ้นจากโทรศัพท์ เธอบังคับสายตาให้ดูเป็นต่อเข้าไว้ ทั้งที่กลัวใจจะขาด เขากลับนิ่งเฉย เหมือนไม่ได้ใส่ความรู้สึกไว้
"แฮชแบค 6 ที่นั้ง ยี่ห้ออะไร"
อยู่ๆเขาก็ถาม เธอปั้นหน้าตอบไม่ถูก ไม่ได้คิดมาก่อน
"เอ่อ...เอ็มจี"
เขาเลิกคิ้วสูง ทำหน้าเหมือนอยากหัวเราะ แต่ก็ก้มลงพิมพ์ยุกยิกหลังจากนั้น
"ชอบดื่มแชมเปญหรือไวน์"
"เอ่อ...ไวน์...ไวน์สิ" ไวน์แพงกว่า เธอคิด
"อยากได้เรือยอร์ชล่องแม่น้ำหรือทะเล"
"เอ่อ...แม่น้ำ ใกล้ดี ไม่ต้องลางานนาน"
คำตอบของเธอทำเขาละสายตาจากโทรศัพท์ จ้องดุใส่ แล้วจึงวางมือถือบนโต๊ะ ท่าทางจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม
"คุณต้องลาออกจากงาน"
"จนกว่าฉันจะได้ของพวกนั้น ฉันไม่ลาออกเด็ดขาด ใครจะรู้ล่ะ คุณอาจมีตัวเลือกอื่นรออยู่ เอาสินสอดของฉันไปเปรียบเทียบกับของพวกเขาก่อน เกิดมีใครเสนอราคาถูกกว่าฉัน คุณเลือกเขา ฉันก็ลำบากแย่สิ"
"หึๆ..."
คราวนี้ชวินทร์ก้มหน้าลงหัวเราะ ก่อนจะรีบกระแอมกลบเกลื่อน แต่สายตาที่มองเมลิสายังคงแฝงความขับขันชัดเจน
"ดึกแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ที่นี่มีพยาบาลดูแล 24 ชั่วโมง ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณเมฆินทร์"
เขาตัดบทเอาดื้อๆ เมลิสาเผลอทำหน้าเหรอหรา ตาโต ไม่เข้าใจความหมายของเขา ตกลงว่าเขาตอบรับหรือไม่ตอบรับกันแน่นะ
"คุณชวินทร์ คุณ..."
"คุณมีเวลาเก็บของจนกว่าจะถึงวันเสาร์นี้ ผมจะส่งคนไปรับคุณตอนเย็น ติดต่อจากเบอร์ในนามบัตร คอยรับโทรศัพท์ให้ดี"
เขาบอกพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หยิบโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า ดูคล้ายว่ากำลังเตรียมตัวกลับ เมลิสารีบลุกขึ้นยืนตาม ประมวลผลคำพูดอยู่ครู่ คือสั่งให้เธอเตรียมย้ายไปอยู่กับเขา แปลว่าเขาตอบตกลงเงื่อนไขของเธอแล้ว แต่ว่ามีบางอย่างถูกลืมไป เมลิสารีบเดินไปขวางหน้าเขาไว้
"เดี๋ยว!...คุณจะโอนเงิน 8 แสนให้เมื่อไหร่"
"เรื่องนั้นผมเปลี่ยนใจ"
"หมายความว่ายังไง กว่าจะได้สินสอดก็หลังจากนี้อีกหลายอาทิตย์ ฉันรอไม่ได้หรอกนะ"
เธอโวยวายขึ้นมา เขาไม่ตอบ ทำเพียงมองเธอนิ่งเงียบ รอให้เธอสงบลงก่อน กริยาของเขาพาให้เมลิสากลืนน้ำลายลงคอ ยอมลดท่าทีลง
"บังเอิญผมนึกขึ้นได้ว่าแฟนเก่าคุณพยายามยัดเยียดเงินสร้างสะพานรัก ถ้าอยู่ๆคุณโอนคืนไปเลย ผู้ชายคนนั้นอาจตามมารังควานคุณอีก ก่อนถึงวันแต่งงาน ผมต้องแน่ใจว่าคุณจะไม่เป็นอะไร และบังเอิญนึกได้ว่าพ่อของคุณกฤษยาเป็นวีไอพีที่นี่พอดี ฉะนั้น ผมจัดการเรื่องคืนเงินให้เอง คุณกลับไปตรียมตัวเถอะ อ่อ...ครั้งหน้าคิดให้ดีๆว่าอยากได้อะไร ระบุให้ชัดเจน จะได้ไม่เสียเวลาหา"
พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยเมลิสานิ่งอึ้งอยู่กับที่ ดูเหมือนว่าแค่เริ่มต้นเข้าไปอยู่ในชีวิตเขา เธอก็ไม่ต้องใช้สมองอะไรแล้ว แค่ทำตามที่เขาบอกก็พอ
"เป็นพวกจอมบงการอย่างที่คิด"
"คุณผู้หญิง ผมจะล็อคห้อง"
"!!"
อยู่ๆเขาก็เปิดประตูเข้ามา เมลิสาสะดุ้งโหยง ไม่รู้ว่าควรทำหน้าแบบไหนตอบเขา ความสับสนทำให้สองเท้าของเธอก้าวกึ่งวิ่งเดินออกจากห้องทำงานของเขาไปโดยเร็ว ช่วงเวลานี้ ขอแค่อยู่ให้ห่างเขาที่สุดก็พอ อดคิดไม่ได้ว่าการตัดสินใจใช้ประโยชน์เขากลับหนนี้ เธอคิดถูกจริงๆหรือเปล่านะ
-------------------------------------
1 อาทิตย์ต่อมา
แสงแดดอบอุ่นของยามเช้าพาดทับสายตา ปลุกสติให้ฟื้นคืนขึ้นทีละน้อย แพขนตางอนงามคลี่เปิดออก กลอกดวงตาสีดำขลับมองเบื้องหน้าอย่างงุนงง พบเพดานสีขาวสะอาดตา แต่กลับไม่คุ้นตา เมื่อมองโดยรอบอีกที พบว่าอยู่ในห้องขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยม่านโปร่งแสงสีขาว บดบังประตูระเบียงกระจก กรองแสงผ่านในเบื้องต้น ห่างจากตัวเธอไปประมาณ 2 เมตร เห็นจะได้ ยิ่งไปกว่านั้น...ตัวเธออยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาสีเทาโดยร่างกายไม่ได้สวมสิ่งใด
เมลิสายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง ความทรงจำของเมื่อคืนไหลเวียนสู่สมองไม่ขาดสาย ราวกับว่าหลุดเข้าไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง เธอบอกตัวเองแล้วแท้ๆว่าถึงแม้อยู่ร่วมชายคากับเขา แต่จะโยกโย้เรื่องอย่างว่าให้นานที่สุด หลังผ่านงานแต่งงานไปได้เลยยิ่งดี ใครจะรู้ว่าการหลวมตัวทานมื้อค่ำกับเขาแค่ครั้งเดียว เธอจะผิดต่อปณิธานตัวเองได้
'♫~'
เสียงโทรศัพท์แว่วเข้าหูเสียก่อน เมลิสาสะดุ้งโหยง นึกกลัวว่าจะมีใครโทรมาหา เธอไม่พร้อมคุยกับใครทั้งสิ้น แต่พอฟังให้ดีอีกครั้ง พบว่าเป็นเพียงเสียงข้อความไลน์ เธอจึงยอมลุกขึ้นนั่งมองหาต้นเสียง เจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด สีชมพูหวานแหววอยู่บนโต๊ะหัวนอนข้างตัวพอดี หญิงสาวหยิบมาตรวจดูข้อความ
'พี่เมล พี่โล่งใจได้แล้วล่ะ ระยะนี้คนแปลกๆที่คอยตามมอสหายไปหมดแล้ว ตกใจจะแย่ ชีวิตนี้ไม่เคยยืมเงินใครนอกจากพี่สาวซะหน่อย อาทิตย์นี้มอสจะกลับไปค้างที่บ้านนะ ไว้เจอกัน'
ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจัดการปัญหาให้เธอเรียบร้อยแล้ว เมลิสาผ่อนลมหายใจโล่งอก เลื่อนหาข้อความอื่นๆต่อ เพราะเธอมัววุ่นวายกับการเก็บข้าวของในวันหยุด เลยไม่ได้จับมือถือทั้งวัน ไม่รู้ว่ามีใครติดต่อเธอบ้าง ตรวจดูอยู่ครู่ มีแค่เรื่องจิปาถะของเพื่อนๆ กับออฟฟิศเชียลดาราที่เธอตาม ไม่มีอะไรสำคัญ เธอจึงวางโทรศัพท์ลงข้างหมอน เอนกายลงนอน หันหลังให้แดดตามเดิม บอกเลยว่าแทบไม่อยากขยับตัวไปไหนทั้งนั้น
อยู่ๆหน้าของเธอก็ร้อนฉ่า เมื่อนึกถึงต้นสายปลายเหตุ ผู้ชายคนนั้นบอกว่าอยากทานมื้อค่ำกับเธอ เป็นการทำความรู้จักกันเบื้องต้น นัดแนะพาไปล่องเรือทานอาหารค่ำ เปิดไวน์ราคาแพงให้ดื่ม เธอจำได้ว่าไม่ได้พูดคุยกับเขามากเพราะมัวสนใจการแสดงสนุกๆบนเรือ เขาคงคิดมาแล้วว่าการนั่งในร้านเงียบๆกับคนไม่คุ้นเคย จะดูน่าอึดอัด เลยพาเธอไปที่แบบนั้น รสนิยมหรูเลิศจนน่าหมั่นไส้ ตามสไตล์คนมีเงิน
"ฉันทำอะไรลงไป..."
ยิ่งคิด เมลยิ่งอยากมุดดินหนี เธอจดจำสัมผัสของเขาได้ทุกอย่าง แม้แต่กลิ่นหอมอ่อนๆบนผิวกาย ดูเหมือนเป็นกลิ่นครีมอาบน้ำมากกว่าน้ำหอม ผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างที่ผู้หญิงหลายๆคนใฝ่ฝันบนเตียงนอน เริ่มต้นอย่างนุ่มนวล ค่อยๆเลื่อนระดับความเอาแต่ใจ แฝงความออดอ้อนชักชวน ถ้าเปรียบกับการทานอาหาร จัดว่าเป็นพวกค่อยๆละเลียดทาน และดื่มด่ำกับรสชาติให้นานที่สุด ใจเย็น ไม่ใช่พวกตะกละ
ยิ่งคิด เมลิสายิ่งอยากร้องไห้กับความอ่อนต่อโลกของตัวเอง เธอคว่ำหน้ากับที่นอน ยกหมอนปิดศีรษะตัวเองไว้ อยากร่ายคาถาหายตัวไปใจจะขาด แต่แล้ว กลิ่นบุหรี่ก็ลอยมาแตะจมูกเสียก่อน เธอลุกขึ้นจากที่นอน มองหาต้นทิศทางของกลิ่น ไม่อยากเชื่อว่าเพนเฮาส์สุดหรูใจกลางมหานคร แหล่งรวมคนมีเงินแห่งนี้ จะมีคนสูบบุหรี่ด้วย
'ฮัดชิ่ว!'
ไม่ทันได้รู้ว่ากลิ่นมาจากไหน เธอก็จามดังลั่น และจามอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวมองหาทิชชู่ตรงโต๊ะหัวเตียง ว่าไปแล้วก็เหมือนคนสำออย เป็นโรคสุดฮิตของคนในเมืองหลวงอย่างภูมิแพ้ ทรมานกว่าที่คิด แพ้ทั้งฝุ่น อากาศ ควัน และกลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นบุหรี่ เพราะที่บ้านไม่มีใครสูบ หลายหนที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงจุดสูบบุหรี่ แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ ถ้าได้กลิ่น เธอก็จะจามเหมือนคนเป็นหวัดเชียว
"ห้องตั้งใหญ่โต ไม่ใช้ทิชชู่เลยหรือไง"
เธอบ่นเสียงขึ้นจมูก หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอทิชชู่ เมลิสาเลยกอดผ้าห่มพันกายไว้ ตั้งใจจะลุกไปหากระเป๋าตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงจากเตียง กล่องทิชชู่ก็ยื่นส่งให้ตรงหน้าเสียก่อน หญิงสาวใจหาย ตัวชาวาบ เธอยังไม่พร้อมจะเจอเขาในสภาพนี้นะ...ถึงอย่างนั้นก็ก้มหน้าก้มตารับกล่องทิชชู่มาถือไว้ สั่งน้ำมูกออกมา
"คุณใช้ห้องน้ำตรงครัวเถอะ ผมสูบบุหรี่ในห้องน้ำ"
น้ำเสียงทุ้มต่ำ ติดแหบนิดๆ คล้ายว่าเพิ่งตื่นนอนไม่ต่างกัน พาหัวใจของหญิงสาวเต้นรัวแรง เธอพยักหน้ารับพลางกระถดกายหนีห่างจากเขา
ความเงียบครอบคลุมระหว่างกัน ชนิดที่ได้ยินเสียงเข็มวินาทีบนนาฬิกาแขวนผนัง ดังกว่าเสียงลมหายใจเสียอีก เป็นอย่างนั้นราวหนึ่งนาที เมลิสาก็รวบรวมความกล้า ตัดสินใจกล่าวกับเขา
"ฉันเห็นโซฟาเบดในห้องรับแขก ให้ฉันนอนที่นั่นก็ได้ ส่วนข้าวของไว้ในกระเป๋าเดินทางเหมือนเดิม เก็บง่ายดี"
ที่กล่าวแบบนั้น เธอไม่ได้ทำตัวน่าสงสารให้เขาเห็นเป็นนางเอก แต่กระดากเกินกว่าจะอยู่ร่วมห้องกับเขา ในหัวมีแต่เรื่องวาบหวิวระหว่างเขากับตัวเองจนอยากจะวิ่งเอาหัวโขกกำแพงให้หลับไปอีกรอบด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับใช้ความเงียบตอบ กดดันให้เธอต้องเงยมอง
ใบหน้าของหญิงสาวแดงซ่าน เมื่อชายหนุ่มเบื้องหน้ามีเพียงผ้าเช็ดตัวสีเทาผืนบางพันเอวไว้ลวกๆ ทั้งยังต่ำกว่าระดับสะดือ อวดกล้ามเนื้อร่างกายช่วงบนต่อหน้าสายตา ดูดีตามสไตล์คนชอบออกกำลังกาย เส้นผมสีดำ ตัดซอยเป็นทรงสุภาพ เปิดต้นคอและใบหู เปียกชื้นเล็กน้อย ดูเหมือนตอนสะท้อนแสงแดด เป็นสีน้ำตาลเข้ม เธอหันหนีไปทางอื่น ยกมือจับแก้มตัวเองไว้แก้เขิน
"คุณชอบโซฟาเบด 5 ฟุต มากกว่าเตียงคิงส์ไซส์ 7 ฟุต สั่งทำจากฝรั่งเศสเหรอ"
คำถามของเขาพาให้เธอเงยหน้ามองตอบอีกครั้ง ก่อนจะรีบหันหนี เอามือจับแก้มไว้ตามเดิม ยังไม่ทันได้คิดคำตอบ เขาก็ลงนั่งด้านข้างเสียก่อน เธอเบิกตาโต ขยับตัวหนีรวดเร็วจนศีรษะโขกเข้ากับกำแพง
"โอ๊ย!....!!"
เมลิสายกมือกุมศีรษะ แต่รู้ตัวอีกที เธอก็ปลิวเข้าหาอ้อมอกกว้างของเขาเสียแล้ว จมูกโด่งสวยของหญิงสาว แตะสัมผัสฐานลำคอของเขาโดยไม่ตั้งใจ เผลอสูดกลิ่นกายปะปนกลิ่นสบู่อ่อน หอมละมุน กระตุ้นให้หัวใจเต้นถี่รัว ดังอื้ออึงในสมอง เธอรีบยกมือดันอก แต่พอสัมผัสกับผิวเรียบลื่น ชื้นน้ำเล็กน้อย มัดกล้ามแข็งแรง มือของเธอก็ทรยศคำสั่งสมอง วางอยู่บนอกเขาเฉยๆ ดูยังไงก็เหมือนขัดขืนเพื่อยั่วยวนเขาชัดๆ เธอรีบสลัดความคิดออก ตั้งใจผลักเขาสุดแรง
"ฉันชอบโซฟาเบด! อยู่ในห้องรับแขก มีทีวี 65 นิ้ว กับเสตอริโอ...ฉัน...ฉันชอบกินขนม ดูหนัง และหลับไปบนโซฟามากกว่านอนบนเตียง"
มากกว่านอนบนเตียงของคุณ! เมลิสาอยากเติมอีก 2 คำต่อท้าย แต่เธอก็หยุดแค่นั้น จ้องเขาหน้าตาขึงขังจริงจังเหมือนคุยกับเจ้านายตอนประเมิน KPI ชวินทร์เลิกคิ้วสูง มองสบตาเธอเหมือนจับพิรุธบางอย่าง นั่นเป็นสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด เขาชอบใช้สายตากดดันมากกว่าพูดตรงๆทุกครั้ง
"ไหนบอกว่าจะให้เวลาปรับตัว แค่คำขอแรกของฉัน คุณยังไม่ฟังเลย!"
"เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องขึ้นเสียงขนาดนั้นก็ได้"
ชวินทร์รีบห้ามปราม ด้วยกลัวว่าเธอจะเครียดจนไมเกรนขึ้นเสียก่อน เขาลุกขึ้น เดินไปทางตู้เสื้อผ้า เปิดหาชุดของตัวเอง หันหลังให้เธอ ปากก็กล่าวบอกไปด้วย
"เสื้อผ้าคุณเอาไว้ที่นี่เถอะ หยิบง่ายกว่า เผื่อคุณย่ามาเยี่ยม จะได้ไม่ผิดสังเกต วันนี้ผมมีประชุมบอร์ดผู้บริหาร น่าจะกลับดึก คุณอยากทำอะไรก็ตามใจ อ้อ..."
ชายหนุ่มหันมาหาเธอเหมือนนึกบางอย่างได้ สีหน้าและสายตาของเขาดูดุขึ้นมาเล็กน้อย
"คนขับรถของผมบอกว่าคุณยังไปทำงานอยู่ จนถึงเมื่อวาน จัดการลาออกให้เรียบร้อย เย็นนี้ถ้าผมทำตารางงานใหม่ให้คุณทัน จะส่งเข้าไลน์ให้"
"งานอะไร"
"งานที่ภรรยาควรทำ"
อารมณ์ตื่นเต้นวาบหวามก่อนหน้านี้หายไปจากเมลิสาโดยพลัน เธอกอดผ้าห่ม มองเขาแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ เห็นเขารีบแต่งตัว เลยไม่พูดอะไรขัด ที่จริง เธอไม่อยากเถียงอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ
"เบอร์คนขับรถบ้านไวทยะ ผมเซฟไว้ให้ในเครื่องแล้ว อยากไปไหนก็โทรเรียกเอา บัตรเครดิตของผมอยู่ในกระเป๋าคุณ ใบสีดำ อยากซื้ออะไรก็ตามใจ อ่อ ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ทำผม แต่งตัวสักนิด อย่าให้โทรม คุณย่าของผมไม่ชอบตุ๊กตาก็จริง แต่ดูเหมือนคนหน่อยก็ดี"
ชวินทร์หันมาหาเธอ ขณะติดกระดุมข้อมือ ไม่สนใจสีหน้าเหมือนถูกผีหลอกของว่าที่เจ้าสาวเลยแม้แต่น้อย
"คุณปลดล็อกโทรศัพท์ฉันได้ยังไง?! แถมยุ่งกับกระเป๋าของฉันด้วย"
"คุณถนัดขวา ผมเห็นคุณใช้นิ้วปลดล็อกมือถือ จะรอให้คุณตื่นมาเซฟเอง ผมขี้เกียจอธิบาย ส่วนกระเป๋าคุณ วางใจได้ ผมไม่ได้รื้อค้นอะไร แค่สอดบัตรเข้าไปเท่านั้น อย่าลืมลาออกจากงาน"
พูดจบเขาก็เดินออกนอกห้องนอน ไม่เปิดโอกาสให้เธอโต้เถียง เธอชั่งใจอยู่ครู่ก็กอดผ้านวม เดินตามหลังไปยืนดูอยู่ตรงประตูห้องนอน
'ปึง'
เสียงประตูออโต้ล็อกปิดลง ฟังดูเหมือนเสียงโซ่ตรวนบนแขนขาเธอถูกล็อกตามไปด้วย เมื่อครู่นี้เกือบ 5 นาที ไม่มีอะไรนอกจากคำสั่ง คำสั่ง และคำสั่ง เธอมองรอบห้องขนาดใหญ่แสนหรูหรา สะดวกสบายไปทุกอย่าง ก่อนจะส่งเสียงตามหลังไป
"เจ้าค่ะ เจ้านาย"