webnovel

ใครบางคน

ผมเหลียวมองไปรอบๆห้างสรรพสินค้าใหญ่โตตรงหน้าอย่างตื่นๆ ผู้คนกำลังเดินกันขวักไขว่ ร้านค้าเล็กๆแออัดกันอยู่มากมาย ทำเอาคนที่นานๆทีออกจากบ้านอย่างผมถึงกับตาลาย

กรุงเทพมีห้างเกิดใหม่เยอะเหลือเกิน ถนนสุขุมวิทถนนเดียวก็มีไม่รู้กี่ห้างแล้ว เมืองหลวงแห่งนี้มีจำนวนห้างใหญ่ๆมากเกินจำนวนมิวเซียมหรืออาร์ตแกลอรี่ดีๆเสียอีก

สมัยโทโมโกะยังมีชีวิตอยู่ เขามักจะบ่นกับผมบ่อยๆว่ากรุงเทพมีมิวเซียมดีๆน้อยเกินไป โทโมโกะเขาชอบไปเดินดูมิวเซียมทางประวัติศาสตร์ ไปเดินดูภาพวาดภาพเขียนตามอาร์ตแกลอรี่ต่างๆ บางทีเขาก็ไปคนเดียว บางทีผมก็ไปด้วยบ้าง โทโมโกะเขาเป็นศิลปิน เจ้าเซนลูกชายคนเดียวของเราไม่ได้รับพรสวรรค์ด้านนี้มาจากโทโมโกะเลย แต่กลับเป็นเจ้าเรนหลานชายสุดที่รักของผมที่มีความสามารถทางด้านนี้โดดเด่นออกมา

"เป็นไงล่ะ เวียนหัวเลยล่ะสิ เธอคงไม่ค่อยได้ออกจากบ้านใช่ไหมราเชนทร์ แต่เจอคนเยอะๆอย่างนี้ชั้นเองก็ไม่ค่อยไหวเหมือนกัน" เสียงลลนาดังเข้ามาแทรกความคิดของผม

"ผมรู้ว่ากรุงเทพเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ก็นึกไม่ถึงว่าแถวนี้จะดูวุ่นวายและสับสนขนาดนี้"

"ห้างนี้มันห้างของพวกเด็กๆเขา ปกติชั้นก็ไม่มาที่นี่หรอก แต่เพราะเธอตั้งใจจะมาซื้อขนมที่นี่ไง ชั้นก็เลยโทรไปหาเพื่อนให้เขาแนะนำร้านอาหารมาให้"

ลลนาเขากำลังยืนอยู่ข้างๆ วันนี้ผมขับรถไปรับเขาออกมาทานอาหารกลางวันด้วยกัน ปกติมะพร้าวจะเป็นคนขับรถให้ผม แต่วันนี้ผมนึกครึ้มใจอยากขับรถออกไปรับลลนาด้วยตัวเอง ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยย้อนคืนกลับมา ความรู้สึกสนุกได้ที่ขับรถไปรับเพื่อนๆจากบ้านออกมากินข้าวกัน

"นี่เธอคงยังจะไม่รู้ ว่าโรงหนังสกาล่าข้างๆนี้ที่เราเคยมาดูด้วยกันสมัยเรียนหนังสือน่ะ โดนทุบทิ้งแล้วนะ ชั้นล่ะรู้สึกเสียดายมากๆเลย เขาจะเอาที่ตรงนั้นไปสร้างเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่" น้ำเสียงลลนาดูเศร้าไปเล็กน้อยเมื่อรำลึกถึงความทรงจำในอดีต

"สร้างห้างเพิ่มอีกแล้ว?" ผมแปลกใจมาก บรรดาห้างที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่เพียงพออีกหรือ คนสมัยนี้เขามีเงินมาเดินช้อปปิ้งกันมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ

"คนสมัยนี้เขาคงไม่เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ตึกเก่ากันหรอกลลนา ที่ดินตรงนี้ราคาคงแพงมาก โรงหนังก็ไม่มีคนดู สู้เอาไปทำกำไรอย่างอื่นอาจจะดีกว่า" แต่ผมก็เข้าใจเงื่อนไขดีตามประสาคนทำธุรกิจ

"ถ้าจะมองกันถึงแต่เรื่องเงิน มันก็ถูกอย่างที่เธอว่านะราเชนทร์ แต่เรื่องแบบนี้มันมองได้หลายมุม มันขึ้นอยู่กับเจ้าของที่ดินต่างหากว่าเขาให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน หากใจเขากล้าที่จะอนุรักษ์ตึกเก่า อนุรักษ์ความหลังความทรงจำดีๆ ไม่ว่าคนจะเสนอราคาให้เท่าไหร่เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ ใช่ไหม"

ผมหันไปมองลลนาด้วยความทึ่ง ไม่คิดว่าเพื่อนเก่าคนนี้จะมีความคิดที่ลึกซึ้งในเรื่องแบบนี้ ภายนอกลลนาเขาดูเป็นผู้หญิงที่สนใจแต่งานเลี้ยงและความหรูหรามิใช่รึ

"โรงหนังสกาล่านี้ไม่ใช่เป็นแค่โรงหนัง แต่สถาปัตยกรรมโครงสร้างภายในก็สวยงาม แม้โรงหนังอาจจะไม่ทำรายได้แล้ว เขาก็ปรับปรุงไปทำเป็นอย่างอื่นก็ได้นี่นา" ลลนายังคงพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างสุดซึ้ง

ผมเข้าใจลลนาดี ลลนาเขาเป็นศิลปิน เขาย่อมมีอารมณ์อ่อนไหวทางด้านนี้เป็นพิเศษ แต่สำหรับคนอื่นๆเขาอาจจะเห็นเรื่องของรายได้สำคัญกว่าเรื่องของศิลปะ โดยเฉพาะที่นี่ ประเทศที่ปัญหาปากท้องยังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม

กลายเป็นว่าการออกมานอกบ้านของผมในวันนี้ทำให้ได้เจอกับเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่าที่คิด

ในตอนแรกผมแค่มีความคิดอยากจะออกมาซื้อขนมไปให้หลานชาย เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณลินเขาซื้อขนมมาฝากพวกเรา เป็นขนมไทยๆซึ่งผมและหลานชายชอบกินเป็นพิเศษ เรากินกันหมดเกลี้ยงในเวลาไม่นาน ผมเลยอยากออกมาซื้อขนมไปให้หลานอีก และอยากถือโอกาสดูบ้านเมืองด้วยนิดๆหน่อยๆนานๆที เลยชวนมะพร้าวเขาออกมาหาอะไรนอกบ้านกินกันเสียเลย แต่มะพร้าวเขากลับแนะนำให้ผมชวนลลนามาดีกว่า ผมจะได้ถือโอกาสอัปเดตข่าวคราวเรื่องเพื่อนๆคนอื่นๆด้วย ผมคิดไปคิดมาก็เห็นดีเห็นงามไปกับมะพร้าว

แล้วอีกอย่างที่สำคัญ ผมจะได้เลียบเคียงถามลลนาเขาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณลินกับเจ้าเซนด้วย ผมอยากจะรู้ว่าลลนาเขาสังเกตเห็นเหมือนผมบ้างไหม ซึ่งหากเป็นผู้หญิงคนอื่นผมคงไม่สนใจเรื่องราวความรักของลูกขนาดนี้ แต่นี่เป็นคุณลินพนักงานในบริษัทของเรา แม้ผมจะยกบริษัทให้ลูกไปแล้ว แต่ผมก็ผูกพันกับบริษัทนี้มานาน จึงยังอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

หลังจากที่ผมคุยกับลูกเรื่องของคุณลินวันนั้น ผมก็ไม่ได้ถามไถ่เขาเรื่องนี้อีกเลย ไม่อยากไปเซ้าซี้เขา ยิ่งช่วงนี้เซนเขาดูอารมณ์ดีผิดปกติ ต่างไปจากตอนที่กลับมาจากบาหลีใหม่ๆ แล้วผมเองก็ยังแปลกใจที่จู่ๆทำไมคุณลินเขาถึงเอาขนมไปฝากเราที่บ้าน

หรือความสัมพันธ์ระหว่างเขาและคุณลินจะคืบหน้าไปเกินกว่าที่ผมคิดไว้เสียแล้ว…

ผมขับรถออกไปรับลลนาตอนสิบเอ็ดโมงเช้า แต่กว่าเราจะมาถึงที่ห้างใหญ่นี้กันก็เที่ยงกว่าๆทั้งๆที่ระยะทางไม่ได้ไกลเลย บ้านผมอยู่ทองหล่อ บ้านลลนาเขาอยู่เพลินจิต และห้างนี้ก็อยู่แถวสยามสแควร์ แต่คงเป็นเพราะผมไม่ได้ขับรถมานานจึงงกๆเงิ่นๆขับช้าพอสมควร เห็นทีหลังจากคราวนี้ผมคงจะไม่ขับอีกเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

กรุงเทพรถเยอะและการจราจรก็วุ่นวายเหลือเกิน ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าเซนไม่ยอมใช้รถ ผมอุตส่าห์ซื้อรถคันใหม่เตรียมไว้ให้ลูกตั้งแต่ก่อนเขากลับไทย แต่รายนั้นเขาไม่ชอบขับรถเองและก็ไม่ยอมให้คนขับรถของบริษัทมารับด้วย ลูกชายผมเขาชอบที่จะขี่จักรยานไปทำงานด้วยตัวเองมากกว่า เขาบอกว่าสะดวกดี ไม่เปลืองน้ำมันและไม่มีมลพิษ นี่หลานผมก็เอาเป็นตัวอย่าง อยากจะขี่จักรยานไปไหนมาไหนเหมือนพ่อบ้าง เฮ้อ เจ้าตัวแสบ

ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงหนุ่มน้อยจอมเฮี้ยว ตั้งแต่เจ้าเรนเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของเรา พ่อลูกเขาก็สนิทกันขึ้นแยะ วันไหนทำงานกันดึก เขาก็แวะกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนเข้าบ้าน ซึ่งผมก็ยินดีให้เขาได้ใช้เวลากันสองคนบ่อยๆ

ผมมันแก่แล้ว ไม่เหงาง่ายๆหรอก

"ชั้นถามยัยลินมาแล้ว ร้านขนมที่เธออยากจะซื้อกลับไปฝากหลานน่ะมันอยู่ชั้นใต้ดินของห้างนี้ เดี๋ยวเรากินข้าวกันเสร็จค่อยลงไปซื้อ ชั้นคงซื้อเยอะหน่อย ว่าจะซื้อไปฝากลูกค้าประจำที่มาตัดเสื้อด้วย ขนมไทยๆสมัยนี้หากินยาก เจ้านี้เขาก็ช่างคิดช่างทำนะ มีขนมโบราณเยอะเลย"

เหมือนลลนาเขารู้ว่าผมกำลังคิดถึงหลานชายอยู่ จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาเรื่องร้านขนม

เอ หรือว่าผมเหมาซื้อขนมไปฝากพนักงานที่บริษัทของเจ้าเซนบ้างดีไหม พวกพนักงานเขาอาจจะไม่ค่อยมีโอกาสจะได้กินขนมไทยๆอร่อยๆ แล้วอีกอย่างผมจะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนพวกเขาด้วย นี่ก็หลายเดือนแล้วที่ผมออกจากบริษัทมา และผมก็ยังไม่เคยกลับเข้าไปเลย หากผมจะเข้าบริษัทไปตอนบ่ายแก่ๆคงจะไม่เป็นการรบกวนการทำงานของพวกเขาสักเท่าไหร่หรอกนะ

ผมจึงหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

"เป็นความคิดที่ดีนะ ผมคิดว่าผมจะซื้อไปฝากคนที่บริษัทด้วย แต่ตอนนี้ผมหิวแล้ว ไหนล่ะร้านอาหารที่เธอว่า"

ลลนาเขาเป็นคนเลือกร้านสำหรับอาหารเที่ยงมื้อนี้ แน่ล่ะ เพราะเขาเป็นคนพิถีพิถัน ผมเลยเป็นฝ่ายตามใจเขาจะเป็นการดีที่สุด…

แล้วเราก็เข้ามานั่งในร้านอาหารไทยซึ่งเป็นต้นตำรับแบบดั้งเดิมของชาววัง ลลนาบอกว่าเป็นร้านพิเศษที่เพื่อนเขาแนะนำมา งั้นก็คงไม่ทำให้เราผิดหวังแน่ๆ

ลลนาและกลุ่มเพื่อนๆของเขามีรสนิยมดีตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

"ร้านนี้มีข้าวแช่ด้วยนะ ราเชนทร์สนใจไหม และถ้าได้หมูสร่งมากินเล่นด้วยก็น่าจะดี" ลลนาไล่มือไปตามเมนูที่พนักงานเสิร์ฟเอามาให้

"ผมกินได้ทุกอย่าง ลลนาสั่งมาตามที่ใจอยากเถอะ"

ผมปิดเมนูที่ถูกจัดพิมพ์อย่างประณีตนั้น ความจริงผมไม่ต้องดูเมนูเลยก็ได้ ผมเป็นคนกินง่าย แค่ต้องงดเว้นอาหารที่เค็มเกินไปเนื่องจากผมมีปัญหาด้านไต แต่ลลนาเขารู้เรื่องนี้ดี และเขาเป็นคนละเอียดพิถีพิถัน ดังนั้นยกหน้าที่สั่งอาหารให้เขาไปน่ะดีที่สุดแล้ว

ผมมองไปรอบๆอย่างสนใจ ตัวร้านตกแต่งหรูหราอยู่มากทีเดียว สมกับราคาค่าอาหารและความสวยงามของเมนูเขาจริงๆ ร้านและบริการระดับนี้คงจะถูกใจลลนาอยู่ไม่น้อย

ตลอดระยะเวลาของมื้ออาหาร เราคุยกันสัพเพเหระเรื่องความหลังสมัยเรียนหนังสือ ลลนาเขาความจำดีและคุยเก่ง ส่วนใหญ่ผมเป็นฝ่ายนั่งฟังและเสริมไปบ้างตามสมควร

"นึกถึงสมัยเรียนแล้วก็มีความสุขนะ ไม่น่าเชื่อว่าเราผ่านสมัยนั้นมานานนม จนลูกหลานโตกันไปหมดแล้ว" ลลนามีสีหน้ามีความสุขอย่างที่เธอพูดจริงๆ และวันนี้เขาก็ดูเจริญอาหารเอามากๆ

"ใช่ น่าภูมิใจนะ หนูลินลูกสาวเธอก็ทำงานเก่ง หนูลิสาหลานสาวเธอก็เป็นเด็กน่ารัก" ผมเสริมยิ้มๆตามหน้าที่

"ชั้นน่ะอยากจะมีหลานอีกสักคน นี่ก็เสียดายยัยลินอยู่ จะมีโอกาสมีลูกมีเต้ากับเขาบ้างไหมนี่ อายุก็ไม่น้อยแล้ว ฉันล่ะเป็นห่วงจริงๆ"

"เอ้อ แล้วหนูลินเค้ามี… เอ่อ… มีคู่รักหรือยังล่ะ"

แม้ออกจะเก้อเขินที่ต้องถามเรื่องส่วนตัวของลูกเพื่อน แต่เมื่อลลนาเขาเปิดประเด็นมา ผมก็จึงต้องถือโอกาสนี้ถามสิ่งที่อยู่ในใจทันที ผมอยากรู้ว่าลลนาเขาสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของลูกสาวเขากับลูกชายผมบ้างหรือเปล่า

"ตำรับข้าวแช่ของร้านนี้เขาอร่อยจริงๆ น้ำอบข้าวแช่นี่หวานหอมดอกมะลิกับควันเทียนมาก" ลลนาเขาตักข้าวแช่เข้าปาก ยังไม่ยอมตอบคำถามผม

และหลังจากเคี้ยวข้าวแช่หมดคำ เขาถึงได้ส่ายหน้าแบบเอือมระอา

"ชั้นไม่ชอบเข้าไปยุ่งเรื่องราวความรักของเขานักหรอก ปวดหัวเสียเปล่าๆ ยัยลินน่ะเขาเพื่อนเยอะทั้งเพื่อนผู้ชายและเพื่อนผู้หญิง ชั้นมองไม่ออกหรอกว่าเขาเห็นใครเป็นคนพิเศษ แล้วนี่ก็นานแล้วที่ไม่เห็นเขาพาใครมาแนะนำตัวว่าเป็นแฟน"

ผมพอจะเข้าใจหากลลนาไม่เห็นความสัมพันธ์ที่ผิดปกติของคุณลินกับเจ้าเซน ก็คุณลินเขาเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีให้ความเป็นกันเองกันทุกคน แต่เจ้าลูกชายผมสิ รายนั้นปกติเขาจะไม่ให้ความสนิทสนมกับใครง่ายๆ แล้วลูกผมก็เป็นคนปากตรงกับใจ หากเซนจะรักใครชอบใครเขาก็จริงจังและไม่เคยคิดมาก เขาเป็นอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว

เจ้าเรนนั่นไง คือหลักฐานที่ชัดเจน…

"อ้อ แต่เมื่อเร็วๆนี้เห็นแฟนเก่าของยัยลินเขามาหาที่บ้านนะ นี่ราเชนทร์กินเยอะๆหน่อยสิ เนื้อฝอยหวานนี่รสชาติกลมกล่อมมาก พริกหวานสอดไส้หมูสับนี่ก็ไม่เป็นรองร้านอื่นเลยนะ"

ลลนาพูดด้วยน้ำเสียงปกติพลางเลื่อนถาดเครื่องเคียงของข้าวแช่มาตรงหน้าผม

"แฟนเก่าหรือ" ผมรู้สึกสนใจในเรื่องของแฟนเก่าคุณลินมากกว่าเรื่องเครื่องเคียงของข้าวแช่

จึงกลั้นใจถามออกไป

"หนูลินและแฟนเก่าเขาจะกลับมาคืนดีกันหรือ"

"ชั้นก็ไม่อาจจะรู้ได้ ท่าทีของยัยลินยังดูเฉยๆอยู่ แต่ถ้าท่าทีของตาก้องแฟนเก่าเขาชั้นมองออกว่าอยากจะกลับมาหายัยลินเหลือเกิน อือม์ ชั้นคิดว่าเราน่าจะสั่งแตงโมลำไยปลาแห้งเพิ่มอีกอย่างดีไหมราเชนทร์"

ตอนนี้ผมไม่สนใจแตงโมลำไยปลาแห้ง แต่กำลังสงสัยว่าเจ้าเซนรู้เรื่องแฟนเก่าของคุณลินเขาหรือเปล่า

ผมควรจะบอกลูกดีไหม…

เราใช้เวลามื้อกลางวันกันอย่างสบายๆไม่เร่งรีบ และหลังจากลิ้มลองอาหารและของหวานหลากหลายชนิดกันแล้ว จึงถึงเวลาที่เราจะได้ไปซื้อขนมฝากหลานๆกันอย่างที่ตั้งใจไว้เสียที

"คงจะเป็นร้านนั้นนะ ชื่อร้านตรงกับที่ยัยลินบอกมา"

ลลนาชี้มือไปยังร้านขนมเล็กๆตกแต่งน่ารักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของบันไดเลื่อน ผมเหลียวมองไปรอบๆชั้นใต้ดินซึ่งแบ่งเป็นหลายโซนนั่น เห็นมีทั้งร้านขายเสื้อผ้า ขายของกระจุกกระจิก ร้านกาแฟ แล้วก็ร้านขายการ์ตูนด้วย

เอ ร้านการ์ตูนร้านนี้หรือเปล่านะที่เจ้าเรนซื้อการ์ตูนไปฝากผมบ่อยๆ

"อ้าว สวัสดีค่ะคุณลลนา แหม ไม่นึกว่าจะเจอคุณลลนาที่นี่"

เสียงเอ่ยทักขึ้นมาจากทางด้านหลังขณะที่เรากำลังจะออกเดินไปยังร้านขนม

"อ้าว คุณพวงทอง สวัสดีค่ะ ตายจริง ช่างบังเอิญเอามากๆ"

ลลนาเขาเป็นคนกว้างขวาง รู้จักคนมากมายในแวดวงสังคมชั้นสูงของกรุงเทพ

"ดิฉันมารับแว่นสายตาที่ร้านในห้างนี้น่ะค่ะ แล้วนี่เอ่อ…" คุณพวงทองเขามองมาทางผม คนในสังคมนี้เขาใคร่รู้เรื่องราวของกันและกันเสมอ

"อ้อ นี่เพื่อนของดิฉันเองค่ะ ชื่อคุณราเชนทร์ อดีตเจ้าของบริษัทโซฟา Zen ไงคะ ตอนนี้เขาวางมือให้ลูกชายขึ้นมาบริหารแทนแล้วน่ะค่ะ" และลลนาเขาก็พาผมเข้าสู่วงสังคมนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

"สวัสดีครับคุณพวงทอง"

ผมเอ่ยคำทักทายผู้ที่เพิ่งรู้จักออกไปตามมารยาท แม้ผมจะไม่เห็นความจำเป็นที่ลลนาเขาจะต้องเอ่ยแนะนำตัวผมขนาดนั้น

"อ๋อ คุณราเชนทร์เองหรือคะนี่ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วค่ะ แต่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นตัวจริงเลย" คุณพวงทองเขายิ้มหวานจนผมแปลกใจ

"คุณพวงทองคะ ดิฉันว่าจะถามเรื่องงานเลี้ยงเปิดตัวโรงแรมใหม่ที่คุณพวงทองส่งการ์ดเชิญมาให้น่ะค่ะ" แต่แล้วลลนาเขาก็ตัดบทการยิ้มหวานนั้นของคุณพวงทอง แล้วหันมาทางผม

"ราเชนทร์เข้าไปเลือกขนมก่อนเลยนะ ชั้นขอคุยกับคุณพวงทองเขาหน่อย ประเดี๋ยวจะตามเข้าไป"

"งั้นผมขอตัวนะครับ สวัสดีครับ"

ผมจึงได้โอกาสปลีกตัวออกมา แล้วเดินไปร้านขนมตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

แม้ผมจะทำธุรกิจมาทั้งชีวิต แต่ผมก็ยังไม่ถนัดการเข้าสังคมอยู่ดี ที่ผ่านๆมาก็ได้อาศัยคุณลินเขาเป็นตัวแทนของบริษัทไปออกงานสังคมต่างๆ อย่างไรเสีย เรื่องของภาพลักษณ์ที่ดีและการมีคอนเนคชั่นที่กว้างขวางนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากของการทำธุรกิจ ผมก็ได้แต่หวังว่าเจ้าเซนลูกชายผมเขาจะทำได้ดีกว่าผมในเรื่องนี้

"เชิญค่า เชิญคุณลูกค้าหยิบตะกร้าที่วางไว้ตรงมุมนั้นมาใส่ขนมที่เลือกได้เลยนะคะ"

เสียงใสของพนักงานเชื้อเชิญต้อนรับขณะที่ผมย่างเท้าเข้าไปในร้านเล็กๆแห่งนั้น ผมหยิบตะกร้าตามคำบอกแล้วเดินดูรอบๆร้านด้วยความสนใจ ร้านเขามีขนมหลากหลายชนิดทั้งขนมไทยและขนมฝรั่ง แต่แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดกับมุมขนมไทยที่จัดวางไว้อย่างน่าชม ผมเอื้อมมือไปหยิบห่อขนมยี่ห้อ 'แม่เล็ก' ขึ้นมาพิจารณาดู

อือม์ ขนมเจ้านี้สินะที่คุณลินเขาซื้อมาฝากครอบครัวเราเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

ผมเหมาขนมไทยของเจ้านี้จนหมดเกลี้ยงจากถาดสองสามถาดที่วางอยู่ ได้ขนมมาเต็มตะกร้า ซื้อเผื่อลลนาเขาเลยก็แล้วกัน เป็นการตอบแทนที่คุณลินเขาอุตส่าห์เอาขนมมาฝากเราด้วย

"ผมซื้อเยอะขนาดนี้ คุณจะมีส่วนลดให้ผมไหมครับ"

ผมถามออกไปตรงๆเมื่อวางตะกร้าขนมลงที่เคาน์เตอร์์คิดเงิน ก็ตามประสาคนทำธุรกิจล่ะนะ ผมคิดว่าการซื้อเป็นปริมาณเยอะควรจะได้ส่วนลดบ้าง

"งั้นเดี๋ยวหนูไปถามคุณฝนเจ้าของร้านให้นะคะ เธอนั่งอยู่ข้างในห้องทำงานด้านหลังนี้ค่ะ คุณลุงรอแป๊บนะคะ"

"ได้ครับ" ผมตอบไป นึกชมที่พนักงานร้านนี้เขายิ้มแย้มมีอัธยาศัยดี

ผมยืนรออยู่ไม่นาน เจ้าของร้านหญิงสาวสวยก็ปรากฏตัวจากประตูทางด้านหลังเคาน์เตอร์คิดเงินนั่น

แต่เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมถึงกับตะลึงอึ้งไปด้วยความตกใจ ใบหน้าสวยคมนั้นผมเคยเห็นมาก่อนเมื่อนานมากแล้ว นานเสียจนเกือบจะลืมเลือนไปแล้ว

ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เจอเธออีกทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

ผู้หญิงตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนจะช็อกยืนนิ่งไปเช่นกันเมื่อเห็นผม

"คุณลุง!"

"เอ้อ เธอ…"

ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มทักทายเธออย่างไรดี มันเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจมาก การได้มาเจอกับเขาโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อนทำให้ผมตั้งตัวไม่ติด หัวสมองพาลจะแล่นช้าและหยุดแล่นไปเสียดื้อๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่ถนัดเรื่องการเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนา

"คุณลุงสบายดีหรือคะ"

แต่คนตรงหน้าก็ทำลายความน่าอึดอัดนั้นโดยเป็นฝ่ายเริ่มถามไถ่ผมก่อน

"เอ่อ ลุงสบายดี เอ่อ แล้วเธอล่ะ… มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง" ผมตะกุกตะกัก

"หนูเพิ่งเปิดร้านได้ไม่กี่เดือนค่ะ" เธอตอบเสียงเรียบ

และเธอก็คงสังเกตได้ว่ากำลังผมรู้สึกเช่นไร เธอจึงเสหันไปมองขนมที่อยู่ในตะกร้าบนเคาน์เตอร์นั้น

"นี่ขนมของคุณลุงทั้งหมดเลยหรือคะ เดี๋ยวหนูคิดเงินให้นะคะ ลดราคาให้พิเศษเลยค่ะ"

"เดี๋ยว เอ่อ แล้วเธอได้เจอเอ่อ… เจ้าเซนกับ เอ่อ…"

แม้ผมจะกำลังประหม่า แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องถามคำถามที่อยากรู้ที่สุดออกไป

"ว่าไงราเชนทร์ เธอเลือกขนมอะไรได้แล้วบ้าง"

แต่ยังไม่ทันได้จบคำถามเสียงลลนาก็ดังขึ้นข้างหลังเสียก่อน

"ผมเลือกขนมเสร็จแล้วล่ะ เขากำลังคิดเงินอยู่" ผมรีบหันไปบอกลลนา ไม่อยากให้เขาได้ทันสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรระหว่างผมกับเจ้าของร้าน

"ผมซื้อเยอะ เขาเลยจะลดราคาให้ด้วย ผมซื้อขนมไทยมาเผื่อลลนาแล้วนะ ลลนาลองเลือกขนมอย่างอื่นดูสิ เขามีขนมหลายแบบเลย"

ผมพยายามหันเหความสนใจของคนที่มาด้วยไปที่ขนมหลากหลายชนิดทั่วร้าน แสดงทีท่าเป็นนัยๆให้เจ้าของร้านได้ตระหนัก ว่าผมไม่อยากให้เพื่อนของผมคนนี้รู้ว่าเรารู้จักมาก่อน

"อือม์ ร้านนี้หลากหลายดีนะ สมกับที่ยัยลินเขาชื่นชม เดี๋ยวชั้นต้องขอเดินดูรอบๆหน่อย"

และเมื่อลลนาเขาเดินห่างออกไป ผมก็อดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์อีกที ผู้หญิงคนนี้เก็บสีหน้าท่าทางไว้ได้ดีมาก ท่าทางเขานิ่งๆเฉยๆ ไม่ได้แสดงความผิดปกติอะไรออกมาอีกเลย

ส่วนตัวผมเองนั้นแม้ภายนอกยังคงดูเป็นปกติ แต่ภายในใจของผมกำลังคุกรุ่น อยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าเซนรู้เรื่องนี้หรือไม่ ลูกกำลังปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่า ผู้หญิงคนนี้อยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้เอง ลูกชายของผมไม่เคยเจอเขาแน่หรือ

แล้วเจ้าเรนล่ะ?

คิดถูกที่ผมกำลังจะเข้าไปที่บริษัทอยู่พอดี ผมจะได้คุยกับลูกชายเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวเสียเลย เป็นโอกาสดีที่ไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันที่บ้าน

ผมยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับหลานชายของตัวเองในเรื่องนี้…

หลังจากขับรถไปส่งลลนาที่บ้านแล้ว ผมก็ขับรถต่อมาที่บริษัท ขณะกำลังเลี้ยวเข้าทางลงลานจอดรถชั้นใต้ดินทางด้านข้างของตัวอาคาร ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่ามีรถตำรวจคันหนึ่งจอดขวางทางเข้าออกนั้นอยู่

แล้วคุณประยุทธ์ยามของเราไปอยู่เสียที่ไหนกัน?

และเมื่อเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นยามประจำบริษัทอยู่แถวนั้น ผมจึงจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้แถวป้อมยามนั่นเอง แล้วเปิดประตูลงมาจากรถเดินตรงไปที่ทางเข้าอาคารด้านหน้า ส่วนถุงขนมที่กองอยู่บนเบาะหลังนั้นเดี๋ยวค่อยให้คุณประยุทธ์มาช่วยหิ้วขึ้นตึกไปน่าจะดีกว่า

"คุณราเชนทร์!"

คุณวารุณีประชาสัมพันธ์ของบริษัทรีบตรงเข้ามาหาทันทีเมื่อเห็นผมเดินเข้าประตูอาคารมา

คุณวารุณีเขามายืนทำอะไรอยู่ตรงประตูนี่

"คุณราเชนทร์มาพอดีเลย"

"มีเรื่องอะไรกันครับ"

ผมหยุดเดิน มองไปยังด้านในของตัวอาคารชั้นล่างซึ่งถูกจัดเป็นโชว์รูม เห็นคุณลินและกลุ่มตำรวจสองสามคนกำลังยืนคุยกันอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

"คุณตำรวจเข้ามาขอตรวจค้นบริษัทเราค่ะ แต่คุณลลินไม่ยอมค่ะ เธอบอกว่าคุณตำรวจไม่มีหมายค้นมาด้วย"

"แล้วคุณเซนอยู่ไหน"

ผมกวาดตาไปรอบๆก็ไม่เห็นตัวประธานบริษัทคนปัจจุบันอยู่แถวนั้น

"วันนี้คุณเซนเข้าโรงงานค่ะ แต่หนูโทรบอกคุณเซนแล้ว คุณเซนกำลังกลับมาพอดี ตอนนี้อยู่แถวพระโขนงแล้วค่ะ อีกไม่นานจะถึงแล้วค่ะ หนูใจร้อนเลยมายืนรอคุณเซนอยู่ที่ประตูนี่ล่ะค่ะ"

"แล้วตำรวจเขาจะมาค้นบริษัทเราทำไมกันครับ" ผมอยากจะรู้เรื่องราวก่อนที่จะเข้าไปยังกลุ่มของคุณลินและตำรวจ

"คุณตำรวจบอกว่า บริษัทเราอาจเป็นแหล่งมั่วสุมที่กระทำการเป็นภัยต่อมั่นคงของรัฐบาลค่ะ"

อะไรนะ! ภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาล! บริษัทเล็กๆของผมนี่น่ะรึ?

นี่เจ้าเซนเข้ามาบริหารได้ยังไม่ถึงปีเลย เกิดเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้เชียวหรือ

นานๆทีผมจะออกจากบ้าน และวันนี้ก็ได้เจอกับเรื่องน่าประหลาดใจหลายๆเรื่องพร้อมกันเลยทีเดียว…