webnovel

เสียงของหัวใจ

ฉันเดินลงจากอาคารใหญ่โตแห่งนั้นด้วยอาการเหม่อลอย มีเรื่องใหม่ให้ต้องตัดสินใจอีกแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งจัดการเรื่องของก้องที่ค้างคามานานให้จบลงไปแท้ๆ

เสียงของคุณจิตดีสาวทันสมัยหัวหน้าภาควิชาการออกแบบยังคงดังก้องอยู่ในหู

"คุณสมบัติของคุณลลินเหมาะสมที่สุดแล้วค่ะ จบโทจากยุโรป มีประสบการณ์ทำงานมานาน มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ อาจารย์ดีๆอย่างนี้สินะคะที่เราต้องการ"

ตอนนั้นฉันปลาบปลื้มยิ้มแทบไม่หุบเมื่อได้ยินคำชมเชยตรงๆแบบนี้

"แหม คุณจิตดีก็ชมเกินไปค่ะ" นอกจากคุณจิตดีจะดูเท่แล้วยังตาถึงอีก ฉันสำรวจผู้หญิงผมสั้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว คุณจิตดีน่าจะอายุมากกว่าฉันไม่กี่ปี เสื้อยืดที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อสูทและกางเกงยีนนั่นทำให้เธอดูท่าทางเป็นผู้หญิงยุคใหม่สุดๆ มาแนวเดียวกันกับน้องมินตราอะนะ

แล้วคุณจิตดีเธอก็พูดต่อ "เหลืออีกข้อเดียวก็จะสมบูรณ์แบบแล้วค่ะ"

"คะ?" ข้อเดียว? ข้อไหน? นี่มีทั้งหมดกี่ข้อ?

"ทางคณะของเรามีนโยบายใหม่ว่า เราอยากได้อาจารย์ที่จบปริญญาเอกเท่านั้นค่ะ"

"อ่อ" ฉันอึ้งไปนิดๆ ตอนที่น้องมินตราเอ่ยปากชักชวนฉันตอนเจอกันที่ไร่ก็ไม่เห็นได้บอกเงื่อนไขนี้

"นี่คุณลลินโชคดีมากนะคะ ที่่ทางแพรทเค้ามีทุนให้ช่วงนี้พอดี คือทางเรามีโปรเจ็กต์กับทางโน้นตลอดเวลาน่ะค่ะ เค้าเลยมีข้อเสนอมาให้เราส่งคนไปอยู่กับเค้าที่โน่น"

คุณจิตดีคงหมายถึง Pratt Institute นิวยอร์ก สถาบันเอกชนด้านศิลปะที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสถาบันด้านการออกแบบที่ดีที่สุดในโลก ที่น้องมินตราเค้าจบปริญญาโทมานั่นแหละ

"ปริญญาเอกนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างแพรทกับ Harvard University Graduate School of Design นะคะ หัวข้อวิทยานิพนธ์จะเน้นไปทางงานดีไซน์ที่ยั่งยืนในโลกสมัยใหม่"

ฮาร์วาร์ด! นิวยอร์ค! เชี่ย! หรู!!!!!

"โอกาสดีๆอย่างนี้หาไม่ง่ายนะคะ ความจริงดิฉันอยากให้มินตราเค้าไป แต่เค้าบอกว่าเค้ามีภารกิจที่สำคัญกว่าจะต้องทำให้สำเร็จในตอนนี้ก่อน มินตราเลยเสนอชื่อของคุณมา"

ฉันหันไปน้องมินตราซึ่งยืนพิงประตูตู้เอกสารฟังเราอยู่เงียบๆ น้องมินมีภารกิจอะไรอยู่วะ?

"มินต้องทำบริษัทคุณเซนให้ไปได้ไกลกว่านี้ก่อนค่ะ" น้องมินตอบสายตาที่สงสัยของฉันในแทบจะทันที

เชี่ยอีกรอบ! พูดจริงเหรอเนี่ย คำตอบโคตรคูลอ่า แววตานั่นดูมุ่งมั่นมาก นี่คุณเซนมาได้ยินน่าจะรีบขึ้นเงินเดือนให้อีกยี่สิบแปดเปอร์เซ็นต์เลยว่ะ

"อีกอย่าง ชั้นเองก็เห็นด้วยว่าคุณลลินเหมาะสมกว่า เพราะคุณลลินจบโทมาจากยุโรป มีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทที่มีกลิ่นอายของทางญี่ปุ่น และหากได้ปริญญาเอกจากฝั่งอเมริกาอีกก็จะเพอร์เฟค เราก็จะมีอาจารย์ที่มีมุมมองกว้างไกลในคนๆเดียว เด็กๆจะได้เปิดโลกจากความคิดที่เปิดกว้างของคุณลลิน และเห็นมินตราบอกว่าคุณลลินมีทักษะการถ่ายทอดความรู้ที่ดีมาก ดูสนุกในงานสอน มีความเข้าอกเข้าใจเด็กๆ ครบเครื่องทั้งบู๊ทั้งบุ๋นแบบนี้ เป็นอาจารย์ในฝันของเด็กๆเลยค่ะ"

คุณจิตดีกระหน่ำยกยอ จนฉันรู้สึกว่าถ้าปฏิเสธงานนี้ฉันก็น่าจะเพี้ยนไปแล้ว

"คอนเซ็ปต์ของอาจารย์สมัยใหม่ ไม่ใช่การมานั่งสั่งสอนกันอีกต่อไปแล้ว เพราะเด็กๆเค้าอาจรู้มากกว่าเราในบางเรื่องด้วยซ้ำ อาจารย์สมัยนี้น่าจะมีหน้าที่แค่เป็นโค้ชที่คอยแนะนำทางเลือก คอยมองหาศักยภาพในตัวของเด็ก"

โอว ยิ่งฟังก็ยิ่งเคลิ้ม นี่สินะโลกสมัยใหม่ที่คนรุ่นฉันต้องพยายามปรับตัวเข้าหา

"เอ่อ แล้วการทำปริญญาเอกนี่จะใช้เวลาทั้งหมดกี่ปีคะ" ฉันชักจะสนใจงานนี้จริงจังแล้วแฮะ

"ไม่นานค่ะ ทุนนี้เป็นทุนให้เปล่าด้วยนะคะ ไม่ต้องชดใช้ทุนให้ทางแพรท คุณลินแค่ติดสัญญาว่าต้องเรียนให้จบแล้วกลับมาเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาของเรา ระยะเวลาไปเรียนก็แค่สามปีเท่านั้นค่ะ"

สามปี?

สามปี…

สามปี! เชี่ย บ้าไปแล้ว! ตั้งสามปี! กว่าจะกลับมามดลูกฉันก็ฝ่อหมดพอดี!

ไปเรียนต่อในวัยใกล้สี่สิบเนี่ยนะคะ วัยมุ่งเกษียณเยี่ยงนี้ใครเค้าไปเรียนต่อกันวะ ริอาจจะเรียนในวัยรัก แถมยังต้องเรียนให้จบด้วย ถ้าไม่จบล่ะ? แปลว่าต้องใช้หนี้หัวโตเหรอ โอย…

แล้วที่สำคัญที่สุด เรื่องราวความรักของฉันล่ะ?

"ทางเราจะสงวนตำแหน่งอาจารย์รอไว้ให้ ถ้าคุณลลินตอบตกลง เราก็เซ็นสัญญากันตอนนี้ได้เลยค่ะ"

ดะ เดี๋ยวค่ะ จะรวดเร็วไปไหนคะ ฉันต้องขอเวลาทบทวนดูก่อนไหมคะคุณจิตดี

อายุอานามวัยฉันนี่มันต้องเป็นช่วงเวลาไปรับส่งลูกที่โรงเรียนหรือเปล่าวะ ไม่ใช่วัยไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วไปทำงานพิเศษรับจ้างเสิร์ฟในร้านอาหารไทย แล้วที่ในห้องเรียนก็ต้องมีแต่คนหนุ่มสาวเพิ่งจบ ขนาดทำงานในบริษัทฉันก็เริ่มเป็นคุณป้าประจำออฟฟิศแล้ว นี่ไปเข้าชั้นเรียนฉันมิต้องเป็นคุณยายประจำคลาสเลยเรอะ แล้วฉันก็อายุเท่านี้แล้ว หัวสมองจะแล่นทันเด็กๆมันเหรอ จะมีสมาธิอ่านหนังสือจนถึงดึกดื่นไหมเนี่ย บลา บลา บลา…

หัวสมองฉันเริ่มสั่งการอย่างรวดเร็วให้ยับยั้งการตัดสินใจโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่เหมือนคุณจิตดีเธอจะอ่านการทำงานงานของหัวสมองฉันออก การเกลี้ยกล่อมครั้งใหญ่จึงตามมา

"อายุไม่ใช่อุปสรรคค่ะคุณลลิน คอร์สนี้มีต้องลงเรียนในคลาสแค่สามสี่ตัวในเทอมแรกเทอมเดียวเพื่อปรับพื้นเท่านั้น หลังจากนั้นก็ทำโปรเจ็กต์ยาวเลยค่ะ หลักสูตรนี้เค้าคัดแต่คนที่มีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว เน้นการมา discuss ไอเดียการเปลี่ยนผ่านระหว่างโลกยุคเก่าและโลกยุคใหม่ เราเลยต้องการคนมีวัยวุฒิหน่อยค่ะ…"

และหลังจากฟังคุณจิตดีโน้มน้าวอยู่ร่วมชั่วโมง ฉันก็ลาจากคุณจิตดีมาด้วยอาการสับสนอย่างหนัก คำพูดเท่ๆที่ว่า 'ไม่มีใครแก่เกินเรียน' กำลังดังลอยขึ้นมาในหัว…

"พี่ลินน่าจะรับโอกาสนี้ไว้นะคะ เรียนที่โน่นสนุกออกค่ะ นิวยอร์คเป็นเมืองแห่งการออกแบบ มีมิวเซียมดีๆมากมาย ผู้คนก็เปิดกว้างหลากหลาย ไม่มีเพศ ไม่มีอายุ ไม่มีเชื้อชาติ ผู้คนเฟรนด์ลี่ บ้านเมืองปลอดภัย ไม่ต้องเห็นต้องคิดมากเลยค่ะ" น้องมินตราพูดไปยักไหล่ไปด้วยท่าทางคูลๆสบายๆขณะกำลังเดินมาส่งฉันที่ลิฟต์

จริงอะคะน้องมิน? เมื่อเร็วๆนี้พี่ยังได้ยินข่าวคนผิวสีทำร้ายคนเอเชียอยู่เลยนะคะ

แต่นิวยอร์คก็น่าสนใจจริงๆอย่างที่น้องมินตราว่า ถึงฉันจะคลั่งไคล้ยุโรป แต่การได้ไปเปิดโลกเปิดรับความคิดในอีกซีกโลกหนึ่งก็น่าจะเป็นอะไรใหม่ๆในชีวิตที่น่าลองดู

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่ฉันยังไม่รู้จะทำอะไรและทำอย่างไรกับชีวิต…

"ไม่กลับพร้อมกันเหรอจ๊ะ" ฉันเอ่ยถามเมื่อลิฟต์เปิด แล้วมีฉันก้าวเข้าไปในกล่องแคบๆนั่นเพียงลำพัง

"มินมีธุระต้องคุยกับอาจารย์จิตดีอีกนิดค่ะ เรากำลังจะมีโครงการวิจัยร่วมกันเรื่องของงานผ้าที่ต้องกันน้ำกันเปื้อนได้ดีกว่านี้ มินว่าจะเอาเป็นจุดขายของตัวโซฟาของบริษัทเราน่ะค่ะ"

อา ฉันออกมาแค่เดือนกว่าๆเท่านั้นเอง นี่บริษัทเราถึงขั้นมีงานวิจัยร่วมกับทางมหาวิทยาลัยแล้วหรือนี่ เราไปไกลและไปเร็วกว่าที่ฉันคิดมากๆ

นี่ฉันคิดไม่ผิดเลยสินะ…

ตอนช่วงเดือนสุดท้ายก่อนจะออก ฉันมีเวลาใกล้ชิดกับน้องมินตรามากขึ้นเพราะต้องถ่ายทอดทุกอย่างให้กับน้อง ฉันจึงได้มีโอกาสเรียนรู้ความคิดและการทำงานของน้องอย่างจริงจัง ทำให้ฉันเบาใจได้ว่ามินตราจะพาบริษัทของเราไปได้อีกไกลแน่ๆ

แต่ไม่นึกเลยว่าน้องจะล้ำขนาดนี้ ฉันประมาทเด็กรุ่นใหม่ไปมากเลยสินะ…

ที่ฉันลาออกจากงานนั้น สาเหตุหนึ่งก็มาจากเรื่องความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่างฉันและคุณเซน แต่เอาจริงมันก็เป็นแค่สาเหตุรอง สาเหตุหลักก็คือฉันหมดไฟหมดพลังในการทำงานแล้วต่างหาก ฉันเสียดายอนาคตของคิตตี้กับเยลลี่หากต้องมาจมอยู่กับหัวหน้าเฉื่อยๆตกยุคอย่างฉัน ทำไมฉันจะไม่เห็นว่าเทรนด์สมัยใหม่มันเป็นยังไง สิ่งที่น้องมินตรากำลังทำและสิ่งที่คุณเซนกำลังคิดมันถูกต้องแล้ว คุณเซนเขามองออกตั้งแต่ต้น แต่จะให้ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากกว่านี้ ฉันก็ทำไม่ไหวจริงๆ มันไม่มีใจแล้ว

เหมือนว่าโลกปัจจุบันมันเหวี่ยงเร็วมากจนทำเอาคนรุ่นฉันถึงกับมึน ฉันเคยคิดว่าตัวเองและน้องๆในทีมเป็นประเภทสายไฮเปอร์แล้วนะ แต่พอมาเจอมินตราแอนด์เดอะแก๊งบ้าพลังนี่… ถึงกับไปต่อไม่เป็น เด็กๆมันเอาพลังมาจากไหนกันนักหนาวะ

หลังจากที่ได้เห็นความกระตือรือร้นที่มีต่องานของมินตรา จากที่เคยเฉยๆก็กลับรู้สึกชื่นชม จริงอยู่ที่น้องอายุน้อยกว่าฉันมาก แต่มินตราก็ทำงานหนักและเป็นคนเด็ดเดี่ยว ทำให้ฉันออกมาจากบริษัทได้อย่างสบายใจ เพราะมั่นใจว่าคิตตี้กับเยลลี่จะต้องได้รับการส่งเสริมที่ดีจากหัวหน้าบ้าพลังอย่างมินตราแน่ๆ

คุณเซนเขาเก่ง เขาดูคนไม่ผิดเลย แม้คนปากแดงนั่นจะไม่มีหัวทางศิลปะเท่าไหร่ แต่คุณเซนก็ฉลาดในงานบริหาร คุณเขาดูออกมานานแล้วว่าแนวทางธุรกิจของบริษัทเราน่าจะไปในแนวทางไหน และมินตรามีความอัจฉริยะแฝงอยู่ในตัวอย่างไร

นึกถึงสมัยที่คุณเซนเข้ามาทำงานใหม่ๆแล้วเขาตั้งใจจะเปลี่ยนสไตล์การออกแบบของบริษัท เขารู้ความต้องการของตัวเองชัดเจน ซึ่งฉันเพิ่งจะเข้าใจในวันนี้เอง ใครๆก็อยากทำธุรกิจที่เป็นตัวเองกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากอยู่ใต้เงาของคนอื่นตลอดไปหรอก เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเองถ้าฉันต้องไปทำห้องเสื้อของแม่ ฉันก็คงจะเปลี่ยนสไตล์แม่ใหม่หมดเหมือนกัน เพราะมันคือสไตล์แม่ แต่ไม่ใช่สไตล์ฉัน ไม่ใช่ตัวฉัน คุณเซนเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เขามีสไตล์ของเขา

ส่วนสไตล์ของฉันตอนนี้ล่ะ?

บทสนทนากับคุณจิตดีแวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง

"สิ่งที่คนในแวดวงของเรากำลังผลักดันก็คือ เราคิดว่างานดีไซน์ควรเข้าถึงคนทุกระดับในสังคม ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในแวดวงของคนมีเงิน ตอนนี้ก็มีองค์กรและหน่วยงานรัฐในหลายประเทศกำลังพยายามที่จะส่งเสริมให้งานดีไซน์ได้ถูกเผื่อแผ่ไปถึงผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส…"

อือม์ ฉันเคยได้ข่าวผ่านๆตามาบ้างกับแนวคิดแบบใหม่นี้

"ดิฉันเคยได้ยินเรื่องของคุณยาสมีนสถาปนิกหญิงชาวปากีสถานค่ะ คนที่ออกแบบบ้านพักฉุกเฉินให้ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติหรือออกแบบบ้านให้ผู้ยากไร้" ฉันเสริม

"ใช่ค่ะ น่าเสียดายที่รัฐไทยไม่เคยมองเห็นความสำคัญและสนับสนุนงานตรงนี้" คุณจิตดีส่ายหน้า

ฉันเริ่มรู้สึกคล้ายๆกับความคิดเริ่มตกตะกอน อือม์ งานที่ผ่านๆมาของฉันทำเพื่อรองรับความสะดวกสบายหรือความจรรโลงใจของคนรวยกลุ่มหนึ่งเท่านั้นสินะ

คิดไปถึงตอนที่อยู่บาหลีกับคุณเซน เราคุยกันหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่น มีปรัชญาข้อหนึ่งที่คุณปากแดงพูดถึงแล้วฉันรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ แนวคิดที่เรียกว่าอิคิไก เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ คุณเซนบอกให้ฉันนึกถึงภาพของวงกลมสี่วงตัดกัน ซึ่งได้แก่ วงกลมของสิ่งที่รัก – สิ่งที่ทำได้ดี – สิ่งที่ทำแล้วได้เงิน – และสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลก ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ตอนนี้ฉันมองภาพออกแล้ว!

ฉันเริ่มรู้สึกมีพลังขึ้นมาทันที จุดมุ่งหมายในการทำงานของฉันในคราวนี้ควรจะต้องเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม

มันคงถึงเวลาแล้วที่ฉันควรจะเติมเต็มวงกลมวงสุดท้ายของฉันเสียที!

หลังแยกจากน้องมินตรา ฉันก็ขึ้นแท็กซี่ตรงดิ่งกลับบ้านในทันใด ตอนนี้คนที่ฉันอยากคุยด้วยที่สุดก็คือแม่ ผู้หญิงวัยเกือบเจ็ดสิบที่รู้จักฉันดีในเกือบทุกเรื่อง

และเมื่อฉันกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ตอนฉันเปิดประตูร้านเข้าไปก็เห็นก็ยังมีลูกค้าประจำหลงเหลืออยู่คนนึงกำลังนั่งคุยอยู่กับแม่ ส่วนเด็กๆช่างเย็บผ้าลูกมือแม่พากันกลับไปหมดแล้ว

ร้านแม่ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ร้านตัดเสื้อ แต่ยังเป็นสถานที่ที่ผู้คนแวะเวียนมาจิบกาแฟบ้างจิบชาบ้างพร้อมกับการพูดคุยนินทากาเลเรื่องสัพเพเหระ

"อ้าว หนูลิน นี่ไม่เจอกันนานแล้วนะเนี่ย ยังสวยเหมือนเดิม" สาวใหญ่วัยใกล้กับแม่ของฉันหันมายิ้มหวานเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามา คุณพิสมัยเธอเป็นลูกค้าประจำที่ฉันเห็นมาตั้งแต่จำความได้ เธอเป็นอดีตอาจารย์แพทย์ที่มีรสนิยมดีมากในเรื่องการแต่งตัว

"สวัสดีค่ะ คุณน้าก็ยังสวยเหมือนเดิมนะคะ ผิวคุณน้าผ่องดีมากๆเลยค่ะ แล้วนี่ชุดนี้ที่ตัดกับแม่คราวก่อนใช่ไหมคะ โอว สีนี้ขับผิวมาก เหมาะกับคุณน้ามากๆเลยค่ะ ผู้หญิงเราอย่าหยุดสวยนะคะ" ฉันยกยอปอปั้นลูกค้าของแม่กลับไปโดยไม่ต้องคิดนาน ก็ต้องช่วยแม่ขายของอะนะ

"ขอบคุณจ๊ะที่ชม นี่คราวนี้น้าก็มาตัดชุดใหม่กับแม่เค้าอีก จะใส่ไปงานเลี้ยงพระราชทานสายสะพายมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกของท่านอเนกน่ะจ๊ะ"

เชี่ย! ยุคสมัยนี้แล้วยังมีให้สายสะพายกันอีกเหรอวะ! เพื่อ?

"ปีนี้ได้สายสะพายกันแค่ไม่กี่คน นี่น้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าท่านอเนกจะได้ แต่ท่านก็ทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติไว้เยอะ พวกเราหลายคนก็บอกน้าว่าสมควรแล้ว เพราะท่านเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีคุณูปการต่อแผ่นดินสยามอย่างหาที่สุดไม่ได้"

"อ่อ..."

จู่ๆฉันก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นในใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงไม่รีรอที่จะอวยกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่หลังจากที่ได้สนทนากับคุณจิตดีเรื่องงานออกแบบเพื่อผู้ยากไร้ ผนวกกับได้มีประสบการณ์เข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ต่อต้านระบบศักดินาของเด็กๆอย่างเจ้าเรน ตอนนี้ฉันกลับมีความรู้สึกเอียนๆกับคุณน้าพิสมัยอย่างบอกไม่ถูก

ฉันหันไปมองหน้าแม่ ก็ไม่เห็นแม่พูดอะไร ได้แต่นั่งนิ่งๆและยิ้มหวาน

"งานนี้มีแต่คนใหญ่คนโตไปกัน ชุดเราก็ต้องไม่ธรรมดา ต้องให้สมศักดิ์ศรีท่านอเนกที่เป็นถึงข้าราชการระดับสูง และน้าเองก็เป็นถึงอาจารย์แพทย์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในประเทศ การแต่งตัวก็ต้องเหมาะสมกับเกียรติภูมิที่ครอบครัวเราสั่งสมกันมา"

เชี่ย! ฟังแล้วน้ำตาจะไหล นี่ฉันโตมาในสังคมแบบนี้จริงๆหรือวะคะ

"เอ่อ..." แต่ในเมื่อแม่ฉันยังสามารถทำมาหากินกับบุคคลเหล่านี้ได้ ฉันจึงจำต้องเลือกที่จะนิ่ง

ฉันเสมองไปรอบๆร้านตัดเสื้อซึ่งเป็นห้องทำงานมาทั้งชีวิตของแม่ สถานที่ที่มีเหล่าสตรีอีลีทชนชั้นนำของกรุงเทพผ่านเข้าออกกันอย่างไม่ขาดสายสี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันไล่สายตาไปตามกองผ้าไหมผ้าลินินเนื้อดีราคาแพงพวกนั้นที่ฉันเห็นจนชินตา ชุดราตรีประดับมุกประดับพลอยที่ถูกตัดเย็บด้วยฝีมือประณีต ชุดไทยจิตรลดาที่ถูกรีดจนเรียบเตรียมไว้สำหรับการออกงานพิธีการสำคัญๆ

คงไม่ผิดที่พวกมันจะเกิดมาเพียงเพื่อรับใช้เฉพาะคนกลุ่มนึงในสังคมชั้นสูง แต่อาจผิดที่ฉันเอง ที่ยังคงเลือกที่จะอยู่แวดวงนี้ทั้งๆที่คิดว่ามันอาจไม่เหมาะกับเราแล้ว...

"วันนี้แกพูดน้อยนะ ทุกทีเห็นคุยกับคุณพิสมัยได้เป็นนานสองนาน"

แม่เดินเข้ามาหาฉันที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัดแบบกลางห้องและกำลังพิจารณากองผ้าไหมลวดลายวิจิตรที่วางซ้อนเป็นตั้งๆอยู่บนโต๊ะนั่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงตื่นเต้นและคงจะคิดออกแบบโน่นนั่นนี่โดยใช้ผ้าไหมพวกนี้ แต่ตอนนี้ฉันกลับมองพวกมันด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า

คุณพิสมัยลากลับไปหลังจากทักทายฉันได้ไม่นาน จู่ๆฉันก็นึกหมดอารมณ์ที่จะสนทนาพาเพลินไหลไปตามน้ำอย่างที่เคยชอบทำเป็นประจำกับบรรดาลูกค้าไฮโซของแม่ ฉันจึงขอตัวมานั่งปล่อยอารมณ์ที่โต๊ะกว้างนี้

"หนูกำลังมีเรื่องต้องให้คิดหนักค่ะแม่ นี่แม่ว่างแล้วใช่ไหมคะ" ฉันมุ่งตรงเข้าประเด็นทันที อยากจะคุยกับแม่มากๆ นี่ก็อุตส่าห์อดทนนั่งรอให้คุณพิสมัยกลับไปก่อน

"อ๋อ เรื่องที่ไปมหาวิทยาลัยมาน่ะสิ เค้าว่ายังไงบ้าง"

เมื่อแม่นั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆและเริ่มเปิดทางให้ ฉันก็ร่ายยาวเป็นเวลาสิบกว่านาทีโดยไม่มีหยุดพัก ถึงข้อเสนอและเงื่อนไขต่างๆของคุณจิตดีผนวกไปกับความกังวลใจเรื่องต่างๆของฉัน และปิดท้ายด้วยคำถามอันแสนจะคลาสสิค

"แม่ว่าหนูควรตัดสินใจยังไงดีคะ"

"ก็ไม่รู้สิ แล้วแต่แก เอาที่สบายใจละกัน แต่ชั้นว่าใจแกเลือกไปแล้วล่ะ แค่อยากได้ความมั่นใจจากชั้น"

ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะได้คำตอบแบบนี้จากแม่ แม่ผู้ให้ฉันตัดสินใจด้วยตัวเองในทุกๆย่างก้าวของชีวิต

เฮ้อ... ฉันถอนหายใจ บางครั้งการมีทางเลือกก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเสมอไปนะ

"แต่ต้องคิดดีๆหน่อยนะ การเลือกครั้งนี้มันหันหลังกลับไม่ได้ง่ายๆเหมือนคราวเรื่องตาก้องแล้วนะยะ" แม่พูดต่อยิ้มๆ

ฉันมองแม่ด้วยความรู้สึกขอบคุณ แม้เราจะปะทะคารมกันเสมอๆ หรือเห็นไม่ตรงกันก็ในหลายเรื่องๆ รำคาญกันก็ออกบ่อย แต่แม่ก็ให้อิสระกับฉันเสมอมา ให้อิสระในทุกๆเรื่อง แม้แต่ในเรื่องที่ผู้คนในสังคมของแม่อาจยอมรับไม่ได้

นึกไปถึงบทสนทนากับแม่เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน ตอนที่ฉันเพิ่งออกจากงานมาอยู่บ้านได้ไม่นาน และกำลังเบื่อหน่ายอย่างสุดขีดกับความรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรเลยของตัวเอง แต่แล้วก็มีคำยุยงของยัยลิสาเข้ามาเป็นทางเลือก

คืนนั้นหลังจากตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วว่าจะลองไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่ของก้องดู ฉันก็เคาะประตูห้องแม่เพื่อเข้าไปแจ้งเจตจำนงความประสงค์ให้แม่ทราบโดยทันที ฉันมันคนใจร้อน

"ก็ไปลองดู ไม่ไหวก็กลับมา"

ตอนนั้นแม่พูดหน้าตาเฉยๆ คงนึกดีใจที่เห็นฉันนึกคิดจะทำอะไรบ้างหลังจากที่นอนซังกะตายดูซีรีส์เกาหลี แล้วก็ออกไปตะลอนๆช้อปปิ้งเดินดูอาร์ตแกลอรี่ตามที่ต่างๆทุกวันเป็นเวลาเกือบร่วมสองอาทิตย์หลังออกจากงาน

"หนูยังไม่ได้แต่งงานกับก้อง แล้วจะไปอยู่บ้านเค้าที่ภูเรืออย่างนั้นเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ แม่ไม่กลัวคนเค้าติฉินนินทาเหรอคะ" ฉันลองแหย่แม่ไปเล่นๆ

"กลัวใคร กลัวทำไม แกอายุจะสี่สิบแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว จะทำอะไรมันก็ชีวิตของแก" แม่ยังคงตอบด้วยสีหน้าเฉยๆ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก

"ก็ถ้าพวกลูกค้าไฮโซเค้าถาม เค้าซักไซ้ไล่เลียงแม่เรื่องของหนู แม่จะว่าไงคะ" ชีวิตโสดเสรีของฉันเป็นที่สนใจใคร่รู้ของลูกค้าแม่เสมอ

"ก็ตอบอย่างที่เคยตอบ ว่าเป็นเรื่องของแก ไม่ใช่เรื่องของชั้น"

อือม์... การมีแม่เมื่อพร้อมนี่มันช่างดีงาม

"แล้วถ้าเกิดคนอื่น เอ่อ ผู้ชายคนอื่น เค้ารู้ว่าหนูไปอยู่กับก้องยังงั้น แม่ว่าเค้าจะคิดยังไงคะ"

"คุณเซนน่ะหรือ?" แม่ถามตรงเป้า

อ่า ทำไมแม่รู้ว่าฉันเจาะจงหมายความถึงใคร

"ตอนที่คุณเซนมาทำสปาเกตตีที่บ้านเรา ใครๆทั้งโลกเขาก็มองออกว่าแกกับคุณเซนชอบกัน"

หา ทุกคนมองออกตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ

"อ้อ แล้วตอนที่ตาก้องมาที่บ้านเราคราวนึง ชั้นก็เผอิญเห็นคุณเซนเค้ามาหาแกที่หน้าประตูรั้วด้วย มาค่ำๆมืดๆแอบคุยกันอยู่ที่ประตูรั้วอย่างนั้นไม่น่าจะใช่มาหาเรื่องงานหรอกมั้ง" แม่พูดเรื่อยๆ ท่าทางไม่ได้คิดจะตำหนิอะไรฉัน

"แม่เห็นได้ไงอ่า แม่อยู่ในบ้านนี่คะ"

"ชั้นเผอิญเดินขึ้นไปข้างบน จะไปหยิบอะไรก็จำไม่ได้แล้ว มองลงมาก็เห็นแกทำลับๆล่อๆอยู่กับคุณเซนสองต่อสอง ไม่รู้ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมไม่ให้เค้าเข้ามาในบ้าน"

"แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ"

"ก็ชั้นถึงให้ยัยลิสาออกไปตามไง"

ฉันโคตรจะดีใจที่มีแม่ผู้เป็นห่วงลูก แต่ก็หัวสมัยใหม่และยังมีความเกรงใจลูกอยู่บ้าง

"ที่ผ่านมาชั้นก็ไม่ได้ออกตัวเชียร์ใคร เพราะมันเป็นเรื่องของแกที่ต้องตัดสินใจเอง ชั้นรู้ว่าแกลังเล เลือกไม่ได้ ซึ่งมันก็น่าเห็นใจ เพราะแกโชคดีที่ยังมีคนเข้ามาให้เลือกในตอนที่อายุปูนนี้" เหมือนแม่จะให้กำลังใจและทับถมฉันไปด้วยในตัว

"แต่หนูไม่ชอบสภาวะแบบนี้เลยค่ะ แม่รู้ไหมคะ หนูรู้สึกผิดตลอดเวลาทั้งกับก้องแล้วก็คุณเซน"

"เพราะแกไม่ใช่คนเจ้าชู้ไง แกมันเหมือนพ่อแก ถึงแกจะเปลี่ยนแฟนมาหลายคน แต่ชั้นก็เห็นแกคบทีละคนทุกที จะมีก็คราวนี้ล่ะ ที่เห็นแกลังเลนานหน่อย ซึ่งแกก็รู้ว่านานไปมันก็ไม่ดี"

"แม่ว่าผู้ชายเค้ารับได้ไหมคะ ถ้าเราลังเลไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์" นานๆทีฉันจะสนทนาเรื่องความรักกับแม่ ก็เพราะทุกทีความรักของฉันจะมาเร็วเคลมเร็วไปเร็ว และฉันก็จะมูฟออนอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลามาอ้อยอิ่งรำพันกับแม่นัก

จะมีก็แต่ครั้งนี้แหละ ที่มันความรักของฉันยืดเยื้อจนได้มีโอกาสมาพร่ำเพ้อกับแม่

"ผู้ชายเค้ารับไม่ได้หรอก โดยเฉพาะคนอย่างคุณเซน ชั้นฟันธง"

"อ้าว แม่คะ คุณเซนเค้าอาจจะรักหนูมาก ยอมรออยู่ตรงนั้นเพื่อหนูคนเดียว เหมือนโกโบริกับอังศุมาลินไงคะ ไม่ว่าแม่อังจะทำงอน ทำเย่อหยิ่งหน้าตาบูดบึ้งกับโกโบริขนาดไหน โกโบริก็ยังรักแม่อังคนเดียว" ฉันทำเสียงเพ้อฝัน

"ยัยลิน!" แม่จ้องมองฉันอย่างประหลาดใจ "นี่แกเชื่อพวกนิยายประโลมโลกพวกนั้นด้วยรึ"

"หูยแม่ นิยายคุณทมยันตีเค้าออกจะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของสังคมไทย อังศุมาลินนี่เป็นไอดอลของผู้หญิงไทยยุคหนูเลยนะคะ แบบหยิ่งๆ ปากแข็งและรักในศักดิ์ศรีไรแบบนี้อะค่ะ" ฉันวาดฝันจินตนาการต่อไป ว่าฉันควรจะทำตัวเหมือนนางเอกนิยายสักหน่อย แบบต้องเล่นตัวนิดๆ ไม่ตกลงปลงใจกับใครง่ายๆ

"เฮ้อ…" แม่ฉันถอนหายใจ ส่ายหน้า และมองฉันอย่างปลงๆ

"ก็ทีพ่อยังยอมรอแม่เลย แม่เคยเล่านี่คะว่ากว่าแม่จะยอมหันไปมองพ่อก็หลายปี"

"ก็ตอนนั้นชั้นไม่ได้เล่นตัว ตอนแรกชั้นไม่ได้ชอบพ่อแก ชั้นชอบคนอื่นอยู่…" แม่หยุดไปนิดนึงเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะเล่าให้ฉันฟังดีหรือไม่ว่าแม่ชอบใคร แต่แล้วแม่ก็พูดต่อไปเรื่องของพ่อและคุณเซน

"และถ้าชั้นจะเอาความจริงมาพูดก็คือ พ่อแกเค้าไม่ใช่คนหล่อ ไม่ใช่ผู้ชายเนื้อหอม ไม่ได้มีสาวๆมารุมตอมอย่างคุณเซน…"

"แล้วแม่รู้ได้ไงคะว่าคุณเซนมีสาวๆมารุมตอม ทำงานหนักซะขนาดนั้น จะมีเวลาที่ไหนไปเอิ้นสาว" ฉันขัดแม่ขึ้นมา ข้างนอกบริษัทนั่นฉันไม่รู้ แต่ข้างในบริษัทนี่ไม่มีแน่นอน คุณเซนวางตัวได้ดี มีระยะห่างกับพนักงานทุกคนเท่าเทียมกัน

"อ้าว แล้วแกรู้ได้ไงว่าเค้าไม่มี แกตัวติดกับเค้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงรึไง ยิ่งสมัยนี้มีเครื่องมือให้ติดต่อสื่อสารกันง่ายดายขนาดนั้น แกจะไปรู้ได้ยังไงว่าวันๆเค้าคุยอะไรกับใคร"

ฉันนิ่งอึ้งไป จริงสิ ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ใช่ประเภทคอยจดจ้องกับทุกย่างก้าวของคุณเซนอยู่แล้ว ฉันคิดถึงเขาบ่อยๆก็จริง แต่วันๆฉันก็ยุ่งขิงหมกมุ่นกับเรื่องราวมากมายของตัวเอง แถมช่วงหลังมีเรื่องงานต้องให้กลุ้ม มีเรื่องก้องต้องให้คิดอีก

"ถ้ายังไม่ได้ลองคบกันอย่างจริงๆจังๆ เราก็ยังไม่มีวันจะรู้ว่าคุณเซนเค้าจะเป็นคนจิตใจดีจริงหรือเปล่า หรือเป็นคนเจ้าชู้ขนาดไหน แต่ที่ชั้นเห็นๆจากภายนอก ยังไงคุณเซนเค้าภาษีดีกว่าพ่อแกแยะ เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง หน้าตารูปร่างก็ดี บุคลิกก็ดี ฐานะทางบ้านก็ดี สาวๆสมัยนี้เค้าก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเข้าหาคุณเซนก่อนเหมือนกัน แล้วคุณเซนเค้าจะมารอแกทำไม" แม่วิเคราะห์เจาะลึกชนิดยาวเหยียดจบในคราวเดียว

"โห แม่ไม่ให้กำลังใจกันเลยอ่า" ฟังแล้วก็ยิ่งหมดหวัง

"ชั้นก็แค่พูดความจริง ไม่ให้แกเพ้อฝัน แต่อันที่จริงไม่เกี่ยวกับว่าเพศไหนหรอก ถ้าคิดว่าตัวเองมีดี แล้วอีกฝ่ายลังเลในความสัมพันธ์ เราก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่รอ"

อ่า แม่ช่างทันสมัย ไม่แบ่งแยกเพศ ไม่ตกอยู่ภายใต้ความคิดชายเป็นใหญ่ นี่แม่ฉันเป็นเจนเบบี้บูมเมอร์จริงอะ แม่น่าจะเกิดผิดยุคสมัยนะ

"ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนที่ต้องดูแลกัน ไม่ใช่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเสียสละ" แม่พูดอีกก็ถูกอีก

"ว่าแต่คุณเซนเค้าคิดจะจริงจังกับแกจริงๆหรือ"

เปรี้ยง! เป็นคำถามที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจในคำตอบ

หลังๆนี่คุณเซนเองเป็นฝ่ายหายไป…

เราเริ่มไม่ค่อยจะได้คุยกันตั้งแต่ที่ฉันทะเลาะกับคุณเซนครั้งนั้นที่ทำงาน ที่คุณเซนไม่ยอมรับงานบาหลีและไม่ยอมตอบคำถามฉันเรื่องแม่ของเจ้าเรน แต่กลับมาสงสัยโวยวายใส่เรื่องของฉันกับก้องแทน ตอนนั้นฉันเริ่มจะงอนแล้ว และพอฉันเห็นคุณฝนมาหาคุณเซนที่ทำงานบ่อยๆ ฉันก็ยิ่งไม่อยากจะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้ปวดใจ

และยิ่งพอฉันออกจากบริษัทมาแล้ว เราก็แทบไม่ได้ติดต่อกันเลย เหมือนว่าความสัมพันธ์ของเราอยู่ดีๆก็ขาดหายไปซะดื้อๆอย่างนั้น ทั้งๆที่ความจริงแล้วในใจของฉันยังคิดถึงเขาทุกวัน คิดถึงตลอดเวลา แถมฝันถึงบ่อยๆด้วย…

ฉันไม่รู้เรื่องราวอะไรระหว่างเขากับคุณฝน ตอนยังอยู่ในบริษัทก็เห็นแค่คุณฝนแวะเอาขนมเข้ามาฝากเป็นบางวันแล้วก็กลับออกไป ส่วนใหญ่คุณเซนก็ยังกลับบ้านพร้อมกับเจ้าเรน แอบถามๆเจ้าเด็กนั่นก็ไม่ค่อยได้คำตอบอะไร ดูเหมือนตัวคุณลูกชายเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรระหว่างพ่อกับคุณฝน นั่นทำให้ลึกๆในใจฉันก็ยังแอบมีความหวัง ว่ามันอาจจะเป็นแค่ช่วงนี้ ช่วงที่เรากำลังแค่ไม่เข้าใจกัน

"สรุปว่าแม่ไม่ติดขัดใช่ไหมคะ ถ้าหนูจะหลบไปอยู่กับก้องซักพัก ไปพิสูจน์อะไรหลายๆอย่าง"

"แกก็ตัดสินใจเองก็แล้วกัน แล้วก็ยอมรับกับผลที่จะตามมาด้วย แต่ไม่ว่าแกจะตัดสินใจเลือกทางไหน ชั้นก็จะยืนสนับสนุนอยู่ข้างๆแกก็แล้วกัน"

ฉันเคยคิดโมโหแม่ตอนเด็กๆที่แม่มักจะให้ฉันตัดสินใจเองในเกือบทุกเรื่อง คิดว่าลึกๆแล้วที่ฉันอยากให้แม่ตัดสินใจให้ในตอนนั้น ก็เพราะถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่ใจนึก ฉันจะได้โทษแม่ได้

แต่ตอนนี้ฉันโตแล้ว ฉันได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งในโลกนี้มันขึ้นอยู่กับมุมไหนที่ใครจะมอง ท้ายสุดเราก็แค่ต้องเลือกในสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะกับเรา และรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเลือก

ฉันมองผู้หญิงผมสีเทาตรงหน้าอย่างขอบคุณ แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เข้มแข็งผู้ซึ่งเลี้ยงฉันและพี่สาวมาอย่างดีแม้จะไม่มีพ่ออยู่คอยช่วยแล้ว แม่ที่ยืนเคียงข้างและช่วยประคับประคองให้ฉันได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข

แม่ผู้ให้โอกาสให้ฉันได้เป็นฉัน ฉันที่มีอิสระและกล้าหาญที่จะทำตามหัวใจตัวเองอย่างในทุกวันนี้…