webnovel

วันนี้เราต้องคุยกัน

ผมยืนคิดอะไรใต้สายน้ำจนตัวเปื่อยได้ที่ แล้วก็ออกจากห้องน้ำมาเปิดตู้เสื้อผ้า ขณะหยิบชุดนอนตัวโปรดออกมาสวมสายตาผมก็กวาดมองไปทั่วตู้ คุณมะพร้าวนี่รู้ใจผมจริงๆเลย ให้แม่บ้านจัดเรียงเสื้อผ้าไล่ตามโทนสีอย่างที่ผมกำชับไว้ คือ… แม้อันที่จริงเสื้อผ้าของผมจะมีอยู่แค่สามสีคือ น้ำเงิน เทา และดำ แต่ยังไงเสื้อผ้าที่แขวนหรือวางพับไว้ในตู้ของผมก็ต้องมีการแยกจัดวางตามโทนสีอย่างชัดเจน

ผมชอบความเรียบง่ายและมีระเบียบ!

ไอ้เวฟมันพูดถูก ผมเปลี่ยนไปเยอะ!

หลังจากสวมชุดนอนผ้าเนื้อนุ่มเรียบร้อย ขณะกำลังเดินไปเลือกหนังสือที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอีกเช่นกันที่ชั้นหนังสือข้างผนังห้องเพื่อมาอ่านก่อนนอน

'ก๊อก ก๊อก' เสียงเคาะประตูนั่น ผมเดาออกว่าเป็นใคร แล้วผมก็รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร

"ครับพ่อ" ผมเดินไปเปิดประตูรับคนที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะงอนผมอยู่

"อย่าลืมไปคุยกับลูกด้วย พ่อไปนอนล่ะนะ" พ่อบอกผมสั้นๆยิ้มๆ แล้วก็ตบบ่าผม แล้วก็เดินจากไป ง่ายๆอย่างนั้นเอง เขาล่ะคุณราเชนทร์ คนที่พูดน้อยแต่เด็ดขาด และตัดสินใจเร็ว

'ก๊อก ก๊อก' หลังจากนั้นไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมก็รู้อีกว่าคือใคร

"ครับคุณมะพร้าว" ผมเดินไปเปิดประตูรับคนที่ผมนึกไม่ออกว่าหากขาดเขาแล้วครอบครัวเราจะเป็นอย่างไร

"คุณเซนอย่าลืมไปคุยกับคุณเรนด้วยนะครับ ผมว่าคุณเรนเธอรอคุณอยู่ ผมไปนอนล่ะนะครับ" คุณมะพร้าวพูดยิ้มๆ แล้วเดินจากไป

ผมยืนถอนหายใจอยู่ที่ประตูนั่นเอง มีเสียงเตือนถึงสองเสียงอย่างนี้ ผมก็คงต้องเดินไปที่ห้องเจ้าลูกชายตอนนี้แล้วสินะ

แต่เผอิญได้ยินเสียงวิดีโอคอลเรียกเข้ามาที่มือถือเสียก่อน ผมจึงหันหลังกลับเข้ามาในห้อง

"ครับ น้องพลอย" ผมยิ้มให้กับเพื่อนรุ่นน้อง คนสนิทอีกคนในชีวิตนอกเหนือไปจากไอ้เวฟ

น้องพลอยเป็นคนน่ารักเสมอต้นเสมอปลาย เราเป็นเพื่อนข้างบ้านกันมาตั้งแต่เด็ก เธอยังคงติดต่อผมมาโดยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมามานี้ ทั้งๆที่ผมไม่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยเลย

"พี่เซนเป็นไงบ้างคะวันนี้ เหนื่อยมั้ยคะ ตอนบ่ายเห็นพี่เซนไปโรงงานทั้งวันเลย" เสียงใสๆหวานๆ ที่บวกหน้าตาใสๆหวานๆนั้น ทำให้ผมชื่นใจ

แต่ก็แค่ชื่นใจ ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น…

"ก็เหนื่อยนิดหน่อยครับ นี่พี่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาเลยนะครับ"

น้องพลอยเข้าทำงานแผนกบัญชีในบริษัทผมทันทีหลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านการเงินจากอเมริกา ก็ตามคำแนะนำของพ่อผมนั่นล่ะ ผมรู้ว่าพ่อคิดอะไรอยู่ แต่ก็ปล่อยเค้า อยากคิดอะไร อยากทำอะไรก็ทำไป

ผมแก่กว่าน้องพลอยสองปี บ้านเรามีประตูรั้วเล็กๆริมสนามข้างบ้านที่เปิดไปมาหาสู่กันได้โดยไม่ต้องไปอ้อมเข้าทางประตูใหญ่ สมัยนั้นผมมักจะเป็นผู้นำเด็กผู้ชายในละแวกบ้านไปเล่นที่โน่นที่นี่กันอยู่เสมอ และลงท้ายเราก็จะพากันที่ไปกินขนมที่บ้านของน้องพลอย ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่พอช่วงวัยรุ่นตอนต้น ผมค่อนข้างจะมีสังคมส่วนตัว ทำให้ต้องเหินห่างจากน้องพลอยไปบ้าง แต่น้องพลอยก็ยังหาโอกาสแวะมาหา และเอาขนมมาให้ผมที่บ้านเป็นประจำสม่ำเสมอ

"พี่เซนรู้มั้ยคะ สาวๆทั้งบริษัทกรี๊ดกร๊าดพี่กันใหญ่เลย ถามพลอยกันใหญ่ว่าพี่เซนมีแฟนหรือยัง นี่พลอยต้องพยายามบอกให้เค้าเก็บความรู้สึกกันบ้าง เพราะพี่เซนเป็นถึงท่านประธานบริษัท"

หน้าใสๆผิวสวยๆในชุดนอนสีชมพูอ่อนนั้นแม้จะปราศจากเครื่องสำอางก็ยังดูน่ารักน่าทะนุถนอม น้องพลอยคงจะเตรียมตัวนอนแล้ว และคงจะโทรมาทักทายผมก่อนนอนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ

"แหม ถ้าพี่มีน้องสาวขี้หวงอย่างนี้ พี่คงขายไม่ออกนะครับ"

คำพูดทำนองพี่น้องน่ารักกุ๊กกิ๊กแบบนี้ ผมเคยพูดย้ำกับน้องพลอยมาแล้วหลายครั้งหลายครา ผมดูออกว่าน้องพลอยคิดยังไงกับผม ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะอ่อนไหวกับเรื่องผู้หญิงง่ายๆอีกต่อไป บทเรียนจากการมีเจ้าเรนนั่งหัวฟ้าอยู่ตรงนั้น ทำให้ผมกลายเป็นคนไร้ใจไปเสียแล้ว

"แหม พี่เซนก็ ถ้าพี่เซนขายไม่ออกจริงๆ พลอยรับซื้อต่อนะคะ" ตาแบ๊วๆของน้องพลอยทำเอาผมแอบถอนหายใจข้างในใจ แต่ต่อหน้าผมก็ต้องทำตาใสซื่อปากยิ้มตอบน้องพลอยไป

"อย่าเลยครับ ของมีตำหนิ ไม่เหมาะกับผู้หญิงดีๆแบบน้องพลอยหรอก"

"พลอยยินดีนี่คะ ยิ่งมีตำหนิมากเท่าไหร่ พลอยว่ายิ่งน่าสนใจออกค่ะ แปลว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ประสบการณ์ชีวิตสูง"

หากเป็นผู้ชายคนอื่นได้ยินน้องพลอยพูดเช่นนี้ คงหลงใหลได้ปลื้มกับความเข้าอกเข้าใจของผู้หญิงคนนี้ที่มีในตัวของเขา

แต่ไม่ใช่ผม ผมรู้จักตัวเองดีพอ ไม่ได้ต้องการให้ใครมาเข้าใจหรือมาเห็นใจ

"น้องพลอยยังไม่ง่วงหรือครับนี่ จะเที่ยงคืนแล้ว" ผมเปลี่ยนเรื่อง การต่อปากต่อคำหยอกเย้ากันผมทำได้แค่หอมปากหอมคอ มากไปก็น่าเบื่อ

"เดี๋ยวก็จะนอนแล้วค่ะ อยากแค่โทรมาเซย์กู๊ดไนท์กับพี่เซน" น้ำเสียงนั้นออดอ้อน

"ครับ กู๊ดไนท์นะครับ" ผมตอบสนองไปสั้นๆ

"เอ้อ เดี๋ยวค่ะ เสาร์อาทิตย์นี้พี่เซนว่างไหมคะ พลอยว่าจะชวนพี่เซนกับน้องเรนไปดูหนังกันน่ะค่ะ พี่เซนคงเครียดๆกับเรื่องงานช่วงนี้ ผ่อนคลายหน่อยก็ดีนะคะ"

ตั้งแต่ผมกลับมาจากญี่ปุ่น ดูน้องพลอยเธอจะมีโปรแกรมสำหรับพวกเราอยู่เรื่อยๆ

"พี่ยังไม่แน่ใจนะครับ ช่วงนี้มีอะไรต้องสะสางเยอะมาก แต่เจ้าเรนน่าจะอยากไปนะ"

แม้จะไม่ได้อยากให้ความหวังกับน้องพลอย แต่ผมต้องถนอมน้ำใจเธอหน่อย ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอเข้ามาช่วยดูแลเอาใจใส่เจ้าเรนไม่น้อยเลย และเจ้าเด็กนั่นใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ แต่ก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังน้องพลอยดี เอาเข้าจริง คนน่ารักอย่างน้องพลอย ใครได้อยู่ใกล้ ใครก็รัก

เพียงแต่คนคนนั้นไม่มีวันจะเป็นผม…

พูดถึงเจ้าเรน คงต้องรีบไปคุยกับมันก่อนที่มันจะเข้านอน …ก็ตามประสาพ่อที่ดีอ่ะนะ ยังไงก็ต้องเป็นวันนี้

เอ่อ… ถือเป็นการตัดบทน้องพลอยไปในตัวด้วย

"วันนี้เจ้าเรนมีเรื่องที่โรงเรียน เดี๋ยวพี่ต้องไปคุยกับลูกหน่อยนะครับ ไว้เราเจอกันที่บริษัทพรุ่งนี้นะครับน้องพลอย"

"อ้าว เหรอคะ นี่พลอยยังไม่รู้เรื่องนี้เลย น้องเรนยังไม่ได้เล่าให้ฟัง งั้นพี่เซนไปคุยกับน้องเรนเถอะค่ะ เจอกันพรุ่งนี้นะคะพี่เซน"

น้องพลอยยอมวางสายไปง่ายๆ เธอรู้จักผมดีพอ รู้ว่าไม่ควรจะเซ้าซี้ผมต่อ หากเธออยากรู้อะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวเธอก็โทรคุยกับเจ้าเรนมันเอง

ผมยอมรับว่า ระหว่างผมกับน้องพลอยที่เรายังสานต่อกันได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะน้องพลอยเค้ารู้จักคนอย่างผมดีพอสมควร รู้ว่าควรจะรุกผมยังไงหรือถอยตอนไหนไม่ให้ผมได้รำคาญใจ

บางครั้งผมก็แปลกใจในความมั่นคงของน้องพลอยที่มีต่อผม ผมมั่นใจว่าด้วยคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของน้องพลอยต้องมีผู้ชายคนอื่นๆตามจีบเธออยู่แน่ๆ บางครั้งน้องพลอยก็เป็นคนเล่าให้ผมฟังเองด้วย แต่ทำไมเธอยังคงเฝ้ารอแต่ผม

หรือความรักจะเป็นเรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้จริงๆ…

'ก๊อก ก๊อก'

ผมเคาะประตูห้องลูกชายแล้วยืนรอ ไม่พรวดพราดเข้าไป เราเคารพความเป็นส่วนตัวของกันและกันเสมอ

"ไม่มีใครอยู่ในห้องครับ หรือถึงมี ก็หลับไปแล้ว" เสียงวัยรุ่นหัวฟ้าตอบมาจากข้างใน ฟังเสียงนั่นก็รู้ว่าเจ้าเด็กน้อยยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงในเร็วๆนี้แน่ๆ

"โอเคครับ งั้นแปลว่าห้องว่าง หรือไม่ก็ไม่เป็นการรบกวนใคร งั้นเข้าไปเลยละกันนะครับ" ผมทำเป็นจับลูกบิดประตูหมุน ทั้งๆที่รู้ว่าลูกชายผมมันล็อกประตูอยู่แน่ๆ

"ใจเย็นสิครับ" เสียงตอบดังออกมาขณะที่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ประตู

"มีอะไรครับ" ประตูเปิดออก เจ้าเด็กน้อยยืนจ้องหน้าผมนิ่งๆ ไม่มีทีท่าว่าจะให้ผมเข้าไปในห้อง หูฟังแบบครอบตัวใหญ่นั้นยังคงห้อยค้างอยู่ที่คอ นี่แสดงว่ายังคงนั่งฟังเพลงอยู่

หรือว่าจะนั่งรอผม…

"เออ พูดจาเพราะๆก็ได้เหมือนกันนะครับ คุณเรน" ผมจ้องนิ่งๆกลับไปบ้าง

"ดึกแล้วครับ กรุณาตรงเข้าประเด็นเลยครับ"

ผมไม่อยากจะใช้คำว่า 'เด็กสมัยนี้' เลย แต่ผมก็สงสัยจริงๆว่า 'เด็กสมัยโน้น' ตอนรุ่นผมเด็กๆ พวกผมแก่แดดแก่ลมเท่า 'เด็กสมัยนี้' หรือเปล่า

ความจริงผมหมั่นไส้ท่าทางของไอ้เจ้าลูกชายมาก อยากจะสั่งสอนมันนัก เป็นผู้ชายภาษาอะไรไปรังแกเด็กผู้หญิง แม้จะแค่ดึงผมหางม้าของเค้าเล่นๆก็เถอะ

แต่เห็นโหนกแก้มที่เขียวช้ำของลูกแล้วก็นึกสงสาร ใจหนึ่งอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสความเจ็บช้ำนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้สิ การแสดงความอบอุ่นต่อหน้ากันไม่ใช่สไตล์ผม

"เรน พ่ออยากคุยด้วย" ผมได้แค่ทำหน้าอ่อนโยนลงนิดนึง

เจ้าเด็กน้อยก็ไม่ร้ายกาจใจแข็งเลยซะทีเดียว เค้าเปิดประตูกว้างให้ผมเดินตามเข้ามาในห้อง

"ยังเจ็บอยู่มั้ย เอ่อ ที่โหนกแก้มน่ะ" ผมถามขณะนั่งลงบนเตียงลูกชาย ขณะที่เจ้าของเตียงเลี่ยงไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน ลูกชายผมมันคงกลัวการใกล้ชิดกับผม

ความจริงผมไม่ชอบที่จะมาถามอะไรที่มันมุ้งมิ้งสะเทือนอารมณ์แบบนี้ แต่ก็ต้องกลั้นใจถามไป ตามประสาพ่อที่ดี …มั้ง

"เฉยๆฮะ" คนโดนต่อยทำหน้าเฉยๆจริงๆด้วย หรือมันจะไม่เจ็บจริงๆแฮะ คงแค่เขียวช้ำ เด็กผู้หญิงคงหมัดไม่หนัก …มั้ง

"เอ่อ แล้ว…" ผมไม่รู้จะถามอะไรต่อไปดี ก็ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆนี่นา

ผมกวาดมองไปรอบๆห้องของลูกชาย ตั้งแต่กลับมาจากญี่ปุ่น ผมเคยเข้ามาในห้องนี้แค่ไม่กี่ครั้ง ก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา เพราะผมก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมายุ่งกับเรื่องของผมเหมือนกัน

ห้องก็ดูรกๆตามปกติของเด็กผู้ชาย กางเกงที่ถอดแล้วกองอยู่กับพื้น ตะกร้าผ้าที่เสื้อกล้ามห้อยอยู่ ถุงขนมวางเกลื่อนอยู่ที่โต๊ะหนังสือ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือที่ชั้นหนังสือกลับมีแถวของหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นตั้งเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเต็มทั้งชั้น นิสัยชอบอ่านการ์ตูนนี่เป็นกันทั้งบ้าน รวมทั้งผมกับพ่อก็ด้วย

"ถ้าเมื่อเช้าคุณปู่ไม่เผอิญมีนัดหมอฟอกไตอยู่ คุณครูเค้าก็คงไม่โทรไปหาพ่อหรอกฮะ" แม้ตัวคนพูดจะไม่มองหน้าผม แต่ผมก็จับน้ำเสียงประชดประชันได้นิดๆ

ผมไม่ชอบภาวะดราม่าเอาซะเลยจริงๆ

"เรน ลูกเป็นผู้ชายก็ไม่ควรไปแกล้งผู้หญิง" ยังไงเสียผมก็ต้องตักเตือนลูก

"ก็แค่แกล้งสนุกๆ ยัยนั่นเค้าเว่อร์ไปเอง"

"ไม่ได้! ลูกสนุก แต่คนอื่นเค้าไม่สนุกด้วย แล้วอีกอย่าง หากเขาไม่อนุญาต เราไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้องตัวเขา แม้จะเป็นแค่ปลายผมหรือแค่ปลายเล็บก็ตาม" ผมทำเสียงเข้ม แล้วผมก็สังเกตเห็นลูกหน้าจ๋อยไปนิดนึง ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจผมดังเดิม

ผมแอบถอนหายใจ ลูกจะยอมฟังผมบ้างไหม ผมไม่อยากปล่อยหน้าที่การดูแลลูกทั้งหมดให้กับปู่ของเค้า แต่ผมก็ไม่สนิทกับลูกพอ นี่ผมจะทำยังไงดี

ขณะที่ผมกำลังนั่งกระอักกระอ่วนใจอยู่นั้น เผอิญสายตาผมก็เหลือบไปเห็นแผ่นกระดานอะไรแวบๆออกมาจากใต้เตียง

"นี่เล่นสเกตบอร์ดด้วยเหรอ" ผมก้มลงหยิบเจ้าแผ่นไม้ติดล้อลวดลายหัวกะโหลกนั้นขึ้นมาดู

"ก็… นิดหน่อยฮะ" ทำไมเจ้าเรนต้องทำท่าอึกอัก

"ไปเล่นที่ไหนน่ะ วันหลังพาพ่อไปด้วยคนสิ"

เอาล่ะ ผมหาวิธีเชื่อมต่อกับเจ้าลูกชายได้แล้ว

"อย่าเลยฮะ พ่อไม่มีเวลาว่างหรอก" แต่ทำไมเจ้าลูกชายต้องทำท่ามีพิรุธ

"เฮ้ย พ่อเล่นเป็น เล่นเก่งด้วย รับรองไม่อายเพื่อน" ผมพยายามผูกมิตร คิดว่าลูกน่าจะยินดี

"ช่างมันเถอะพ่อ"

แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายกับเจ้าเด็กหัวฟ้าคนนี้ มันเอานิสัยเข้าถึงยากแบบนี้จากใครมาวะ

"เออ ตามใจ งั้นนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปโรงเรียนสาย"

ผมเองก็หมดความอดทนเหมือนกัน ผมลุกขึ้นยืน มองลูกชายอย่างเงียบๆชั่วอึดใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

เราไม่เคยคุยกันได้นานๆ…