ตอนหัวค่ำ…
วันนี้อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะรีบกลับให้ถึงบ้านตั้งแต่ตอนเย็นๆแล้วเชียว แต่ก็มีเหตุให้มัวแต่คุยกับลุงป้อมยามประจำบริษัทเรื่องน้องเอก แถมคุณลลนาเธอโทรมาให้ฉันแวะไปเอาของที่บ้านเพื่อนของเธอมาให้หน่อย บวกกับการจราจรที่แสนจะทรหดในกรุงเทพ ในที่สุดกว่าฉันจะกลับมาถึงบ้านก็เล่นเอามืดค่ำจวนเจียนเวลาอาหารเย็นจนได้
และฉันก็ต้องแปลกใจขณะที่เปิดประตูบ้านเข้าไปแล้วเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งคุยกับคุณลลนาแม่ของฉันอย่างออกรส ไม่นึกว่าวันนี้บ้านเราจะมีแขกรับเชิญมาด้วย และก็แน่นอนเสียงเจื้อยแจ้วของหน่วยเสริมที่คอยซักไซ้ผู้มาเยือน… ยัยลิสาหลานสาวของฉัน
เมื่อมองคนที่กำลังนั่งหันหลังนั้นอย่างชัดๆ อา แผ่นหลังกว้างล่ำสันที่ฉันเคยคุ้นในอดีต...
"ก้อง!"
"ลิน!" อดีตคนคุ้นเคยของบ้านฉันหันขวับมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก
"ก้องมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นส่งเมสเสจมาบอกลินก่อนเลย"
ฉันวางกระเป๋าสะพายใบใหญ่ลงข้างโซฟา แล้วนั่งลงข้างๆยัยลิสาอย่างเหน็ดเหนื่อยจากการบรรยากาศที่วุ่นวายบนท้องถนนยามเย็นในกรุงเทพ
"ก้องอยากเซอร์ไพรส์ลิน รู้ว่าลินกลับถึงกรุงเทพเมื่อคืน วันนี้ก้องเลยตั้งใจขับรถตรงจากที่ไร่มาหา" รอยยิ้มใจดีนั้นแม้จะไม่ได้ทำเอาฉันใจเต้นใจสั่น แต่ก็ทำเอาฉันใจละมุนหายเหนื่อยขึ้นมาทันที
ช่วงนี้ฉันกับก้องคุยกันทางวิดีโอคอลเกือบแทบจะทุกวัน ก็เริ่มๆคุยตั้งแต่ตอนที่ฉันอยู่บาหลีแล้ว คือในขณะที่คุณเซนสุดหล่อเขากำลังงอนฉันเหมือนเด็กๆ ก้องผู้อบอุ่นและสุขุมนุ่มลึกกลับเอาใจใส่ฉันอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากก้องรู้ว่าฉันอยู่เที่ยวที่บาหลีคนเดียว แฟนเก่าของฉันเขาก็โทรหาฉันทุกวันด้วยความเป็นห่วง ส่งเมสเสจมาวันละหลายครั้ง ถึงฉันจะตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ก้องเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้มีท่าทีจะงอนเหมือนใครบางคน ฉันบอกก้องว่ามาทำงานที่บาหลีแล้วก็ลาพักร้อนอยู่ต่อเพื่อไปเที่ยวคนเดียว
ฉันไม่ได้โกหกนะ… แค่บอกไม่หมดเท่านั้นเองว่า… เอ่อ… ตอนแรกมีคุณเซนเที่ยวด้วย
"น้าก้องเค้าขับรถมาทั้งวันเลยนะคะ ตั้งแปดชั่วโมงแน่ะ มาถึงกรุงเทพก็ตรงมารอน้าลินที่นี่เลยค่ะ"
หลานสาวของฉันรีบรายงานยาวเหยียด ดูท่าลิสาจะสนอกสนใจเพื่อนคนนี้ของน้าสาวอยู่มาก เด็กน้อยไม่เคยเจอก้องมาก่อน ได้ยินชื่อครั้งแรกก็ตอนวิสกี้พูดถึงตอนเราไปดูดวงกับแม่หมอกัน ก็ฉันเลิกกับก้องไปนานกว่าสิบปีแล้วนี่นะ ตอนเราเลิกกัน ยัยลิสายังเตาะแตะต้วมเตี้ยมอยู่เลย
"นี่ก้องเพิ่งขับรถมาถึงเลยเหรอ ยังไม่ได้พักเลยล่ะสิ เหนื่อยแย่" ฉันมองคนตรงหน้าอย่างตื้นตัน เขาคิดถึงฉันจนถึงกับลงทุนขับรถทางไกลมาขนาดนี้เชียว
"ก้องขับมาแบบสบายๆน่ะ ไม่เหนื่อยมากหรอก"
อา น้ำเสียงแมนๆที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเทคแคร์ดูแลเอาใจใส่แบบนี้ ยังเหมือนก้องคนเดิมเมื่อสิบปีที่แล้วจริงๆ
"ขับรถเก่งนะเราเนี่ย อย่างว่าล่ะนะ ทำงานในฟาร์มในไร่ ก็น่าจะอึดอยู่ไม่น้อย" คุณลลนาเขาเอ่ยสมทบขึ้นมา
ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าแม่ฉันเขากำลังชมก้องอยู่ หรืออะไรยังไงแน่?
"ครับคุณแม่ เรื่องใช้แรงงานนี่ขอให้บอกผมได้เลยครับ ผมต้องตื่นแต่เช้าทำงานในไร่ทุกวัน สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีมากครับ"
ก้องเขาโต้ตอบคุณลลนาได้อย่างฉะฉานผิดคาด ผิดไปจากก้องในอดีต ดูเหมือนแม่ของฉันเขาก็จะรู้สึกทึ่งๆอยู่เหมือนกัน ก้องเปลี่ยนไปมากนะเนี่ย ภาพเด็กต่างจังหวัดพูดจาโผงผางและเก้ๆกังๆได้หายไปแล้ว กลายเป็นพ่อเลี้ยงที่ดูภูมิฐานและมั่นใจในตัวเอง
แม้ว่าตอนโน้นที่เราคบกัน แม่จะไม่เคยห้ามปรามรักแรกของฉัน เขาตามใจและให้อิสระฉันนั่นล่ะ แต่ฉันก็พอจะดูออกว่าแม่ก็ไม่ได้ส่งเสริมความรักของเรามากนัก เขาเคยบอกว่าก้องเป็นวัยรุ่นภูธรที่ไม่น่าจะมีวิถีชีวิตที่เข้ากับฉันได้ ถึงแม้พ่อแม่ของก้องจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่ก็สไตล์เศรษฐีท้องถิ่นที่รสนิยมต่างจากเรา ฉันรู้ว่าคุณลลนาเขาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกอะไรครอบครัวของก้อง เขาก็แค่พูดไปตามประสาคนที่รู้จักลูกสาวของตัวเองดี ฉันชอบศิลปะ ชอบดูหนังฟังเพลง ชอบเดินมิวเซียม ชอบช้อปปิ้ง ชอบการใช้ชีวิตแบบที่คนเมืองเขาใช้กัน
ฉันว่าตอนนั้นฉันชอบก้องเพราะก้องดูต่างไปจากเพื่อนคนอื่นๆในโรงเรียน เพื่อนผู้ชายของฉันส่วนใหญ่เป็นเด็กกรุงเทพชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง แต่ละคนเหมือนลูกแหง่ มีพ่อแม่หรือคนขับรถคอยรับส่ง ตัดสินใจอะไรเองไม่ค่อยจะได้ ติดหรูและอินโนเซ้นต์ ส่วนก้องเขามามาดเด็ดเดี่ยว พร้อมลุยในทุกสถานการณ์ แปลงผักของฉันในวิชาเกษตรก็ได้ก้องนี่แหละคอยรดน้ำดูแลพรวนดินให้
'ชั้นรู้ว่าแกชอบกินไวน์ แต่ไม่น่าจะชอบขนปุ๋ยขี้วัวไปใส่ในไร่ไวน์' แม่ฉันเขาว่าอย่างนั้น ในตอนโน้นที่ฉันเล่าให้เขาฟังว่าก้องมาชวนไปทำไร่ไวน์ด้วยกัน
สิบกว่าปีผ่านไป ก้องก็ยังพยายามจะชวนฉันให้ไปทำไร่ไวน์ด้วยกันเหมือนเดิม…
ฉันนึกไปถึงคำพูดของก้องในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เราคุยกัน
'ไร่ไวน์ที่นี่รอต้อนรับลินเสมอนะ หากลินเบื่อชีวิตที่กรุงเทพ ก้องอยากให้ลินมาลองใช้ชีวิตที่นี่ แล้วลินจะรู้ว่าชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติมันดีต่อใจขนาดไหน'
คำชักชวนอย่างไม่อ้อมค้อมของก้องทำเอาฉันชักจะเคลิ้มๆ และยิ่งกลับจากบาหลีมาเจอสภาพฝุ่นควันและการจราจรในกรุงเทพด้วยแล้ว…
และที่สำคัญกว่าก็คืออาการรุกหนักของก้องตอนนี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงมาที่ฉันคนเดียว แต่ตอนนี้ก้องพยายามจะเข้าทางครอบครัวของฉันด้วย
"ผมอยากชวนทุกๆคนไปเที่ยวไร่ไวน์ของผมกันนะครับ นั่งเครื่องบินแค่ชั่วโมงเดียวไปลงที่สนามบินจังหวัดเลย แล้วเดี๋ยวผมขับรถมารับ นั่งรถต่อไปอีกแป๊บเดียวก็ถึงไร่ที่ภูเรือแล้วครับ"
"ว้าว น่าสนใจมากเลย ลิสายังไม่เคยไปเที่ยวภาคอีสานเลยค่ะ อยากเดินดูไร่ไวน์ อยากดูโรงบ่มไวน์ของน้าก้องด้วย" ฉันรู้ว่ายังลิสาต้องตื่นเต้นกับคำชวนของก้องแน่ๆ หลานสาวคนสวยของฉันสนใจไปเสียทุกเรื่อง
"แล้วที่นั่นมีที่พักดีๆไหม" และนี่ก็คือแม่ฉัน คุณลลนาเขาติดความสะดวกสบายหรูหรานิดนึง ให้ไปแบบลุยๆบ้านๆเขาไม่ยอมแน่ๆ
"ผมมีที่บ้านพักรับรองแขกหลังเล็กแยกต่างหากอยู่ในไร่ด้วยครับ สร้างไว้เพราะมีคนไปเยี่ยมชมไร่บ่อยๆ รับประกันความเพียบพร้อมและความสะดวกสบายได้เลยครับ"
"แต่ลิสาอยากนอนเต็นท์ค่ะ เรากางเต็นท์ในไร่ได้ไหมคะ อยากตื่นมาตอนเช้าๆดูพระอาทิตย์ขึ้นจากในเต็นท์" ส่วนหลานสาวฉันเขากลับอยากลองใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ ช่างต่างไปจากคุณยายจริงๆ เขาเลี้ยงกันมายังไงวะเนี่ย
"ได้สิครับ น้าก้องมีเต็นท์เตรียมไว้แล้วด้วย ลิสาจะได้ไปหัดขี่ม้าในไร่ ไปเก็บผักออกานิกส์จากแปลงผักในเรือนกระจก ไปเก็บไข่เป็ดไข่ไก่ในฟาร์มตอนเช้าๆด้วย น้าก้องรับรองว่าลิสาต้องชอบแน่ๆ"
ว้าว! ฟังแล้วดูเท่จังเลย มีสวนมีไร่เป็นของตัวเอง ปลูกผักกินเอง ใช้ชีวิตพอเพียงอยู่กับธรรมชาติ ตื่นเช้ามาจิบกาแฟฟังเสียงนกร้อง และค่ำลงก็นั่งชมดาวชมพระจันทร์จากระเบียงบ้าน
นี่มันเป็นชีวิตในฝันของหนุ่มสาวชาวกรุงยุคนี้ชัดๆ!
เพียงแต่ก้องแฟนเก่าของฉันเขาเป็นผู้มาก่อนกาล ก้องเขาฝันอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว หลังจากจบมหาวิทยาลัยเขาไม่ต้องตามหาความฝันอะไรอีกแล้ว เขาแค่ลงมือทำให้มันเป็นจริง
แต่สำหรับฉันในตอนนั้น…
ตอนที่ก้องชวนฉันให้ไปอยู่ด้วยกันที่จังหวัดเลยเพื่อเริ่มทำไร่ ตอนนั้นฉันกำลังเป็นสาวขบเผาะ ติดเที่ยว ติดแสงสี ความสนใจด้านการรักธรรมชาติไม่มีมาเยี่ยมกราย ไม่สนใจจะรู้ความต้องการจริงๆในชีวิตของตนเอง รู้แต่ว่ายังมีโลกกว้างให้ต้องค้นหา ยังอยากจะใช้พลังให้เต็มที่กับการทำงาน ใช้เวลาในการท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆอย่างใจหวัง
ในตอนนั้นฉันได้แต่บอกให้ก้องรอไปก่อน ฉันยังไม่พร้อมจะลงหลักปักฐาน ซึ่งฉันจะพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกไม่ได้ และก็แน่นอนท้ายสุดก้องเขาก็ไม่รอ เขามีความคิดเป็นผู้ใหญ่นำหน้าฉันไปหนึ่งสเต็ปเสมอ ก้องเป็นคนจริงจังและช่างวางแผน เขาเดินหน้าทำฝันให้เป็นจริง แล้วมันก็สำเร็จ แถมสำเร็จไปไกลมากกว่าที่เคยฝันไว้เสียอีก
ตอนนี้ฉันเริ่มที่จะเข้าใจความรู้สึกของก้องในตอนนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว การที่เราเลิกกันอาจไม่ใช่ว่าเราไม่ได้รักกัน แต่แค่จังหวะเวลาในชีวิตของฉันกับก้องที่ไม่ตรงกันมันทำให้เราไปต่อด้วยกันไม่ได้
แต่เอ… หรือนั่นมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ในตอนนั้นเรายังรักกันไม่พอ
แล้วในตอนนี้ล่ะ…
'คราวนี้ก้องจะไม่ใจร้อนหนีลินไปก่อนอีกแล้วนะ ก้องรอได้ จะรอวันที่ลินพร้อมจริงๆ ลินรู้ไหม วันที่ก้องได้เจอลินอีกครั้งที่งานเลี้ยงรุ่น ก้องรู้ใจตัวเองเลยว่าลึกๆแล้วก้องยังมีลินอยู่ในใจเสมอ'
คำสัญญาหนักแน่นที่ก้องเอ่ยออกมาตอนเราคุยกันทำให้ฉันรู้สึกสับสน ไม่เคยคิดหวังไว้ขนาดนี้ว่าแผนแฟนปลอมๆของวิสกี้เพื่อนฉันจะสำเร็จอย่างรวดเร็วขนาดนี้
แต่จะเป็นเพราะแผนของวิสกี้หรือเป็นเพราะก้องเขายังรักฉันอยู่ ฉันรู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ถ่านไฟเก่าของเราสองมันกำลังปะทุขึ้นแล้วจริงๆ
ฉันไม่แน่ใจว่าควรจะดับมันหรือไม่
เพราะมันอาจจะปะทุขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมอดลงไปตลอดกาล…
"เราจัดโต๊ะกันอาหารเลยไหมคะคุณยาย นี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว น้าก้องกับน้าลินมาเหนื่อยๆคงจะหิวแล้ว นี่น้าก้องขนเอาไวน์เอาผักจากในฟาร์มมาฝากเราด้วยนะคะน้าลิน มื้อเย็นนี้ลิสาเลยว่าจะทำสลัดเพิ่ม"
เสียงลิสาดังขึ้นดึงฉันให้ตื่นจากภวังค์ หลานสาวสุดที่รักของฉันเขาเป็นคนดูแลเรื่องทุกอย่างภายในบ้านได้อย่างดีเยี่ยมเสมอ
"ก้องอยู่ทานข้าวด้วยกันใช่ไหม"
"อ้าว แน่นอนสิคะน้าลิน ลิสาถามน้าก้องตั้งแต่มาถึงแล้วค่ะ ลิสาบอกให้ป้ากะทิเตรียมอาหารเผื่อน้าก้องเรียบร้อย" จอมวางแผนประจำบ้านดูท่าทางจะปลาบปลื้มชื่นชมแฟนเก่าของฉันคนนี้นะเนี่ย
"ยินดีเลยครับลิสา น้าก้องชักหิวแล้วสิ ให้น้าก้องเข้าไปช่วยอะไรในครัวด้วยไหมครับ" ก้องเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสนิทสนม แฟนเก่าฉันเขาเป็นคนน่ารักแบบนี้เอง นิสัยติดดินและเข้ากับคนง่าย
"ไม่ต้องหรอกก้อง ให้ลิสาเขาจัดการเองเถอะ" แต่ดูเหมือนแม่ฉันเขาจะยังไม่ยอมรับความสนิทสนมนั้นง่ายๆ
"ไม่เป็นไรค่ะน้าก้อง เดี๋ยวลิสากับป้ากะทิจัดการเอง น้าก้องอยู่คุยกับคุณยายและน้าลินเถอะค่ะ ป้ากะทิ! เตรียมตั้งโต๊ะเลยค่า!"
ฉันมองตามคนสวยที่เดินอย่างกระฉับกระเฉงเข้าครัวไป มีหลานสาวดีก็เป็นศรีแก่บ้านเช่นนี้เอง เอ ใครเลี้ยงมาน้า เลี้ยงดีจังเลย คริคริ
นี่หลังจากกินข้าวนอกบ้านมาหลายวันตอนอยู่ที่บาหลี ฉันมีแอบคิดถึงกับข้าวบ้านตงิดๆนะ บางทีการแค่ได้นั่งกินข้าวแบบสบายๆกับครอบครัว ขอแค่ข้าวไข่เจียวง่ายก็อร่อยๆแล้ว
และโดยเฉพาะวันนี้… เมื่อมีหนุ่มใหญ่เจ้าของไร่อดีตคนคุ้นเคยมาร่วมมื้ออาหารด้วย
"แล้วก้องจะอยู่กรุงเทพนานมั้ย มีธุระต้องทำที่นี่ด้วยหรือเปล่า" ฉันหันไปทางก้องอีกทีก็พบสายตาละมุนกำลังมองมาที่ฉันอยู่แล้ว ฉันนิ่งงันไป
ได้ยินถึงเสียงของอดีต…
ได้กลิ่นของความทรงจำเก่าๆกำลังลอยพลิ้วมา…
อดที่จะมองก้องอย่างเต็มๆตาอีกทีไม่ได้ วันนี้แฟนเก่าฉันเขามาด้วยเสื้อยืดสีดำเข้ารูปกับกางเกงยีนสีเข้ม
เหมือนเดิม เหมือนแต่ไหนแต่ไร ยืดยีนก็เป็นชุดยูนิฟอร์มประจำตัวเขาล่ะนะ เป็นการแต่งกายที่ส่งให้ท่าทางอขงก้องดูง่ายๆสบายๆในทุกครั้งที่เจอกัน และการทำงานทุกวันในไร่นั้นก็คงส่งให้ผิวคล้ำนั้นดูคล้ำมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็เหมาะสมกันดีกับร่างกายที่สูงใหญ่ล่ำสันของก้อง อา… ดูแมนมาก
ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายวัยเกือบสี่สิบจะยังสามารถดูมีเสน่ห์ได้ขนาดนี้ คงเพราะความครบเครื่องเพียบพร้อมมั่นคงทั้งทางจิตใจและทางการเงินแน่ๆ
ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง!
เสียงกริ่งที่หน้าประตูรั้วดังขึ้นขัดจังหวะการจ้องมองก้องของฉัน เสียงกริ่งที่ไม่คาดหมายในช่วงเวลาค่ำมืดแบบนี้ทำเอาคนในบ้านสะดุ้งกันเป็นแถว
"เอ๊ะ ใครมาตอนนี้กันนะ กลางค่ำกลางคืนค่ำมืดอย่างนี้" แม่ฉันเขาเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่
"เดี๋ยวผมออกไปดูให้ครับ " นี่คือก้องตัวจริงเสียงจริง ก้องที่ใส่ใจความเป็นไปและพร้อมจะบริการทุกคน
"ก็ดีนะ ก้องออกไปดูให้หน่อย" ฉันถือโอกาสทันที ก็คนมันขี้เกียจเดิน
"อูย ไม่เอา ไม่เอา นี่เขาเป็นแขกนะยัยลิน เกรงใจเขาบ้าง แกลุกเดินออกไปดูเดี๋ยวนี้เลย" เสียงแม่ของฉันปรามมาพลางพยักพเยิดไปทางประตูรั้ว ฉันเองไม่แน่ใจว่าเพราะแม่เกรงใจก้องจริงๆ หรือแม่ยังคงไม่อยากให้ก้องแสดงความสนิทสนมกับครอบครัวเราขนาดนั้น
คือตอนที่เราคบเป็นแฟนกัน แม้ก้องจะมาส่งหรือมาหาฉันที่บ้านเป็นครั้งคราว แต่ก็เป็นเพียงแค่การมาแป๊บๆ ไม่เคยได้เข้านอกออกในหรืออยู่นั่งเล่นตามอำเภอใจ แม่ฉันเขาขึ้นชื่อเรื่องความไว้ตัว เพื่อนๆฉันทุกคนที่มาบ้านต่างได้รับพลังแห่งความเว้นระยะนี้กันถ้วนหน้า เห็นจะมีก็แต่วิสกี้เพื่อนสุดที่รักของฉันเท่านั้น ที่คุณลลนาเขายอมให้ความสนิทสนมมากกว่าคนอื่นๆ แต่นั่นก็เป็นเพราะแม่ฉันรู้จักกับพ่อแม่วิสกี้เป็นอย่างดี เขาอยู่ในแวดวงสังคมเดียวกัน
"อย่ามาทำขี้เกียจต่อหน้าแขก ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดีหน่อย"
นั่นไง คุณลลนาเขายังพยายามจะให้ก้องเป็น 'แขก' อยู่เหมือนเดิม เหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
"ค่า จะรีบออกไปดูเดี๋ยวนี้แหละค่า" ฉันปรายตาทำเสียงประชดประชันไปยังแม่ ก่อนจะหันมาหาก้อง "แป๊บนะ เดี๋ยวมา"
"งั้นให้ก้องเดินออกไปเป็นเพื่อนด้วยไหม" คนร่างกำยำทำท่าขยับตัว
"ไม่ต้อง ไม่ต้อง อยู่คุยกับแม่ไปเถอะ เดี๋ยวคุณลลนาเขาจะหาว่าลินดูแลแขกไม่ดี" รีบล้อเลียนแม่อีกรอบ ก่อนจะรีบเคลื่อนตัวเองออกไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน…
ฉันเปิดประตูเล็กที่อยู่ตรงมุมรั้วของบ้านแล้วก้าวเดินออกมา และโดยไม่ทันตั้งตัว พลันก็มีมือแข็งแรงมาจับต้นแขนฉันไว้แน่นพร้อมกับรั้งตัวฉันเบาๆให้ถอยห่างออกมาจากประตู และพาฉันหลบเข้าเงามืดใต้ร่มไม้ใหญ่ตรงหัวมุมของกำแพงบ้านนั่น
"อุ้ย!" ฉันหันไปมองด้วยความตกใจ
"คิดถึง..."
เสียงนี้ที่ฉันรอคอยมานาน เสียงที่อยากจะได้ยินตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา
พอเข้ามาอยู่ภายใต้เงามืดเขาก็ปล่อยมือจากต้นแขนของฉัน แล้วเปลี่ยนมาเป็นกอดฉันไว้แน่นทั้งตัว
"คิดถึงมากกกก"
เสียงกระซิบด้วยความโหยหาที่ข้างหูทำเอาฉันอ่อนระทวย
"เซน…"
หลังจากตั้งสติได้ ฉันจึงผลักอกเขาออกเบาๆ จ้องคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่สับสน ใจหนึ่งก็อยากบอกเขาเหมือนกันว่าฉันก็คิดถึงเขามาก คิดถึงตลอดเวลา คิดถึงทุกลมหายใจ...
แขนทั้งสองข้างของคนแสนงอนยังโอบฉันไว้หลวมๆ ใบหน้าเรียวที่โน้มต่ำลงมานั้นยังคงมีร่องรอยความคล้ำจากการตากแดดตากลมในบาหลีหลงเหลืออยู่ ดวงตายาวรีนั้นบ่งบอกความคิดถึงฉันอย่างสุดหัวใจ ปากเรียวแดงนั้นคลี่ยิ้มนิดๆ กลิ่นเหงื่ออ่อนๆกระจายอยู่ที่เสื้อเชิ้ตสีเทาเข้ม
คงเพิ่งกลับมาจากโรงงานสินะ เหนื่อยมากไหมคะ…
และแล้วโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากแดงนั้นก็เคลื่อนมาประกบปากของฉันอย่างรวดเร็ว ฉันเผลอเผยอปากรับลิ้นอุ่นๆที่พยายามจะสอดแทรกเข้ามา
แต่เดี๋ยว! ที่นี่กรุงเทพไม่ใช่บาหลี เรากำลังยืนอยู่บนถนนหน้าบ้านของฉัน ซึ่งแม้จะอยู่ลึกสุดในซอยแต่ก็ยังมีคนและรถราสัญจรไปมาอยู่บ้างประปราย
และที่สำคัญ... ก้องแฟนเก่าของฉันยังคงอยู่ข้างในบ้าน! เขาอุตส่าห์ขับรถเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อมาหาฉัน
แม้จะเสียดาย แต่ฉันก็รีบถอนริมฝีปากออกทันที พยายามผลักคนใจร้อนออกห่างจากตัวไปอีกครั้ง ทว่าแขนแข็งแรงนั่นกลับไปยอมคลายจากฉันเสียที
"นี่มันริมถนนนะคะ"
"แล้ว?" หน้าตาเอาแต่ใจตัวเองกลับมาอีกแล้ว
"ที่บาหลีเราก็จูบกันทุกที่"
"แต่เซนคะ! ที่นี่มันกรุงเทพ!" ฉันแสร้งทำเสียงปรามเขา ไม่แน่ใจว่าหมายความอย่างที่พูดจริงๆ หรือกำลังพยายามจะกลบเกลื่อนความรู้สึกสองใจของตัวเองกันแน่
ทำไมวันนี้ใครๆก็พร้อมใจมาเซอร์ไพรส์ฉันกันจังวะ?
"ลิน... ก็ผมคิดถึงลินนี่นา เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ไม่ได้คุยกันเลย" หน้าหล่อๆเรียวๆนั้นบ่งบอกความคิดถึงจริงๆ
คิดถึงแต่ทำไมงอนนานจัง?
"ก็ใครล่ะคะที่แสนงอนเหลือเกิน งอนเป็นอาทิตย์เลย นี่ลินอุตส่าห์ง้อแล้วนะ"
เอ่อ… เอาเข้าจริง ฉันก็ไม่ได้ง้อคุณเซนมากมายอะไรนัก ตอนนั้นฉันห่วงเที่ยวมากกว่า
"ที่งอนก็อยากให้ลินง้อแหละ เป็นใครก็ต้องงอนหรือเปล่า พอผมกลับกรุงเทพปุ๊ป ลินก็หนีเที่ยวปั๊บ ไม่ยอมรอรับโทรศัพท์ผม ผมอุตส่าห์ตั้งใจรอเวลาที่จะได้คุยกับลิน" แววตานั้นแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจเต็มที่
คำสารภาพจากใจตรงๆนั้นทำฉันใจอ่อนยวบ… แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นใจเต้นเมื่อได้ยินเสียงยัยลิสาตะโกนดังมาจากในบ้าน
"น้าลินคะ ใครมาคะ ลิสาตั้งโต๊ะกับข้าวเสร็จแล้วค่า"
นี่ฉันจะทำอย่างไรดี จะชวนคนขี้น้อยใจคนนี้เข้าไปในบ้านดีหรือไม่ ถ้าเข้าไปแล้วเจอก้อง?
คือสำหรับคนอย่างคุณเซนผู้ซึ่งมักจะทำอะไรตามใจตัวเอง ฉันเดาใจไม่เคยถูกเลยว่าเขาจะคิดยังไงและจะทำอะไร ฉันคิดว่าแผนยั่วให้หึงใช้กับคนอย่างคุณเซนไม่ได้แน่ๆ แค่ฉันไม่รับโทรศัพท์เขายังงอนนานขนาดนั้น นี่ยิ่งถ้าเจอก้องกำลังนั่งกินข้าวกับครอบครัวของฉัน คุณเซนเขาจะงอนไปอีกนานขนาดไหน หรือเขาอาจจะเลิกสนใจฉันโดยถาวรเลยก็ได้ โอว ไม่นะ…
ไม่ได้! ยังไงวันนี้ก็ให้คุณเซนเข้าไปในบ้านไม่ได้!
"เซนเพิ่งกลับมาจากโรงงานเหนื่อยๆ ตัวเหม็นเชียว กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนไหมคะ แล้วพรุ่งนี้ตอนเย็นเราค่อยไปหาอะไรอร่อยๆกินกันนะคะ เดี๋ยวลินเลี้ยงเอง นะนะ เดี๋ยวเลี้ยงหรูๆเลย" ฉันพยายามเอาอกเอาใจหว่านล้อมเต็มที่
"ไม่เอาอะ ยังไม่หายคิดถึงเลย ยังไม่อยากกลับ ไม่อยากอยู่คนเดียวด้วย วันนี้พ่อเค้าไปกินเลี้ยงกับเพื่อน เจ้าเรนก็ไม่กินข้าวบ้าน คุณมะพร้าวก็ออกไปกับญาติ ลินเห็นไหม ที่บ้านไม่มีใครรอผมอยู่เลย" น้ำเสียงนั้นออดอ้อนเต็มที่
โอย โอย ใจละลาย…
แต่แหม เอาจริงก็แอบกลุ้มใจนะเนี่ย เกิดจะมาฮอตอะไรในวัยที่เริ่มจะร่วงโรย จะต้องมาสับรางรถไฟในวัยป้า
อือม์ ฉันเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ถ้าเรายิ่งวิ่งตามหา ผีเสื้อนั้นก็จะยิ่งโบยบินออกไป แต่ถ้าเราหยุดนิ่ง มันก็จะเข้ามาเอง ฉันเข้าใจว่าอาจเพราะเมื่อเรามีความสุขกับตัวเอง ประกายแห่งความสุขมันจะฉายออกมาให้คนเริ่มข้างได้รับรู้กระมัง เหมือนฉันตอนนี้ คริคริ
เดี๋ยว! กลับมาที่สถานการณ์ตรงหน้าก่อนค่ะ เอาไงดีวะ ยังไงวันนี้ก็ให้คุณเซนเข้าบ้านไม่ได้แน่ๆ…
"น้าลินคะ ใครมาคะ ชวนเขาเข้ามาในบ้านไหม"
ว้าย! ตายแล้ว! เสียงยัยลิสาใกล้เข้ามาแล้ว คนตัวเหม็นตรงหน้านี่ก็ไม่มีทีท่าจะยอมกลับไปดีๆเสียด้วย
โอเค งั้นเล่นใหญ่ไปเลยก็แล้วกัน ทำเป็นงอนคุณเซนกลับบ้างดีกว่า แล้วเดี๋ยวค่อยไปง้อกันทีหลังก็ได้ ตอนนี้ตัวฉันอยู่กรุงเทพแล้วยังไงก็ได้เจอหน้ากันทุกวันที่ทำงาน ง้อหนักๆหน่อยก็น่าจะหายงอนได้ไม่ยาก
งั้นลุย!
"นี่เซนเห็นลินเป็นอะไรคะ นึกจะงอนก็งอน นึกจะมาหาก็มาหา นึกจะจูบก็จูบ เซนจะเอาแต่ใจตัวเองไปถึงไหน เคยแคร์ความรู้สึกของคนอื่นบ้างมั้ย!"
"…"
หรือฉันจะเล่นใหญ่เกิน? คนตรงหน้าเขาถึงกับอึ้งชะงักไป มองฉันด้วยสายตาไม่เข้าใจ ที่จู่ๆยัยป้าคนนี้ก็โวยวายขึ้นมายาวเหยียด คุณเซนเขาคงคิดในใจว่าอะไรของมันวะ
แต่เอาน่า ระดับฉันแล้ว เล่นทั้งทีก็ต้องเล่นให้เต็มที่ ให้มันพ้นๆวันนี้ไปก่อน เพราะถ้าเดี๋ยวยัยลิสาออกมาเจอจะยิ่งไปกันใหญ่ รายนั้นยิ่งขี้สงสัยอยู่ และที่หนักก็คือลิสาเป็นเด็กที่สงสัยแล้วต้องพยายามหาคำตอบ
"ลินอุตส่าห์ลางานไปพักร้อน อยากไปเที่ยวแบบสนุกๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่นี่ต้องให้ลินมาตามคอยง้อเซนงั้นหรือคะ ทำไมทำตัวเหมือนเด็กๆ แค่ไม่โทรกลับหาเซนแค่คืนเดียว เซนงอนเหมือนจะเป็นจะตาย" ฉันทำเสียงทำหน้าตาเหมือนเขาเป็นเด็กน้อยเอามากๆ
"…"
คิ้วเรียวนั่นเริ่มขมวดเข้าหากันแล้ว
งั้นก็ต้องต่อด้วยประโยคแทงใจดำ ต้องทำเหมือนว่าเขาเองนั่นล่ะที่เป็นฝ่ายผิด
"เซนงอนลินจริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือที่หายไปก็เพราะกลับมากรุงเทพแล้วได้มาเจอน้องพลอยสุดที่รัก เซนเลยไม่คิดจะสนใจลินอีก"
"…"
เอ่อ… อาการเงียบหน้าเฉยแบบนี้ของคนตรงหน้าทำเอาฉันเริ่มใจคอไม่ดี ทุกคนที่ใกล้ชิดกับคุณเซนรู้ดีว่าอาการหน้านิ่งไม่พูดจาแบบนี้ของคุณเขาคือต้องการตัดบทและใกล้หมดความอดทน
แต่ในเมื่อเล่นใหญ่ไปเยอะแล้วฉันก็ต้องเล่นต่อให้จบ ปิดจ๊อบซะ!
"เซนกลับไปก่อนเถอะค่ะ วันนี้ลินยังไม่อยากคุย" ฉันแสร้งทำท่างอนอย่างจริงจัง แอบเหลือบตามองไปทางประตูรั้วด้วยความกังวลว่ายัยลิสาจะโผล่ออกมาไหม
"…"
ยังคงไม่มีสักคำเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเรียวของคนตรงหน้า
เอาแล้วไง เอาแล้วไง มาแล้ว หน้านิ่งเฉยดวงตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกปรากฏขึ้นชัดเจนแล้ว
แปลว่า…
"เซน…"
ฉันใจหายเป็นที่สุดเมื่อเห็นคนตัวสูงหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะกล่าวคำลา…