บทที่ 11
ผจญภัยในโลกกว้าง 4
ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาที่ป่าอาถรรพ์แห่งนี้ วันนี้ก็เข้าสู่วันที่สี่แล้ว ผมจะไม่อะไรเลยนะถ้าผมหาสมุนไพรไม่เจอด้วยตัวเอง แต่นี่ผมเสียเวลาไปวันนึงฟรีๆ โดยที่ผมเกือบตายโง่ๆกับแค่ต้นไม้ต้นเดียว ละก่อนที่ผมจะออกมาข้างนอกตรงใต้ต้นอี้ฮ่วนที่ผมเข้าไปในแหวนมิติเมื่อคืนผมก็ได้ทำการเปิดตำราต้นไม้ปีศาจดูวิธีกำจัดต้นไม้กินคนนี่แล้ว ง่ายมากเพียงแค่ร่ายเวทย์ไฟศักดิ์สิทธิ์เผาต้นไม้เพื่อปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกฆ่าตายไปโดยไม่รู้ตัว นี่ซะ เป็นอันเสร็จสิ้น แต่บางทีมันอาจจะยากสำหรับคนอื่นก็ได้เพราะต้องเป็นผู้ใช้เวทย์ขั้นจอมเวทย์และปรมาจารย์เวทย์เท่านั้นที่จะร่ายเวทย์บทนี้ได้ผล ตามจริงเวทย์ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ใช้สอนผู้ใช้เวทย์ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นของผู้ฝึกเวทย์แล้ว เนื่องจากงานของผู้ใช้เวทย์ส่วนใหญ่จะเป็นปราบปีศาจ ไล่ภูติผี คล้ายๆพระในบ้านเราเลยครับ และที่ผมบอกว่าง่ายนั้นไม่เกินจริงเลยนะ เพราะเวทย์บทนี้ไม่ต่างจากบทสวดบทนึงที่ใช้สวดส่งวิญญาณเลย ผมที่เคยบวชเณรตอนอายุ 18 ปีบวชแก้เคล็ดไปเดือนนึงเต็มๆ และงานที่ได้ไปบ่อยสุดก็คืองานศพ ฉะนั้นผมถนัดมากบอกเลย อ่อ อีกอย่างที่อยากจะบอกคือชิงหลงหายดีแล้ว บาดแผลก็หายหมดแล้ว ตอนนี้จึงยืนหน้านิ่งสวมชุดสีครามปักดิ้นทองลายเมฆลอยเด่นอยู่เคียงข้างร่างเพรียวบางที่สวมใส่ชุดสีขาวปักลวดลายมวลดอกไม้ ที่ตอนนี้กำลังยืนมองไฟที่กำลังแผดเผาต้นไม้กินคนที่กำลังสะบัดกิ่งก้านไปมา และมีเสียงร้องอย่างโหยหวนทุรนทุรายอยู่เบื้องหน้า จนเมื่อต้นไม้กินคนเหลือแต่ตอก็มีดวงวิญญาณมากมายลอยขึ้นไปบนฟ้าจนเมื่อดวงสุดท้ายขึ้นสู่ท้องฟ้าก็มีแก่นธาตุวิญญาณระดับ 8 ลอยขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าผม
"เอ่อ ชิงหลง แก่นธาตุวิญญารนี้เจ้าเอาไปเถอะ เจ้าคงได้ใช้มากกว่าข้า"เพราะผมคิดว่าอยู่กับผมไม่น่ามีประโยชน์อะไร เลยให้ชิงหลงไปน่าจะดีกว่า อย่างน้อยๆหากนำไปทำเป็นอาวุธ ก็จะเป็นอาวุธวิญญาณที่ทรงอานุภาพมากพอตัวทีเดียว
"เหลียนเอ๋อร์เป็นคนฆ่าต้นอี้ฮ่วนได้ สมควรเป็นเจ้าของมัน"ชิงหลงตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
"แต่อยู่กับท่านน่าจะเป็นประโยชน์กว่าอยู่กับข้านะ"
"ทำไมเหลียนเอ๋อร์คิดเช่นนั้นละ"
"ก็ท่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ น่าจะเอาแก่นธาตุวิญญาณนี้ไปตีเป็นอาวุธที่เหมาะกับท่านได้ยังไงละ"
"อืม ความคิดน่าสนใจนี่เหลียนเอ๋อร์"
"ใช่มั้ยละ หากท่านมีอาวุธวิญญาณที่ทรงอานุภาพขนาดนี้รวมกับฝีมือท่านแล้ว ยากจะหาใครเทียบเคียงได้นะขอรับ"
"อืม งั้นพี่จะรับไว้ เอาไว้หลอมอาวุธเพื่อปกป้องเหลียนเอ๋อร์"ชิงหลงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ผมรู้สึกได้ว่าอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เขาพูดกับผม ยิ่งคำว่าพี่ที่ชิงหลงพูด ผมเหมือนคุ้นเคยแปลกๆจนอดรู้สึกเขินไม่ได้
"เอ่อ..กะ..ก็ได้ หากท่านต้องการแบบนั้น"
"พี่ว่าพี่อายุมากกว่าเหลียนเอ๋อร์นะ เรียกท่านเช่นนี้ดูห่างเหินนัก ยังไงเราก็ต้องสนิทกันมากกว่านี้อยู่แล้ว งั้นเหลียนเอ๋อร์ก็เรียกพี่ว่าพี่หลงเป็นเช่นใด"ชิงหลงคงเห็นผมเรียกเขาท่านตลอดคงจะอึดอัดละมั้ง
"เช่นนั้นก็ได้พี่หลง"ผมเรียกอย่างที่เขาบอก
"ดี…ดียิ่ง"ชิงหลงพูดออกเบาๆพร้อมยิ้มมุมปาก ผมจึงมองรอยยิ้มนั้นอย่างตื่นตะลึง โหย ไม่มองได้ไง ชิงหลงยิ้มหล่อมาก ยิ้มละมุน เวลายิ้มดวงตาเป็นประกายอ่อนโยน ช่างเข้ากันกับหน้าคมเข้มนั้นเสียจริง
"ขะ..ขอรับ"ผมเลยเผลอตอบรับคำชมนั้นไม่รู้ตัว จากนั้นผมจึงยื่นแก่นธาตุวิญญาณให้พี่หลง แต่เมื่อพี่หลงยื่นมือมารับแก่นธาตุจากมือผมทำให้มือเราสัมผัสกัน ความรู้สึกแล่นแปลบจากปลายนิ้วเข้ามาสู่หัวใจ ตึกตักๆๆ มือสัมผัสกัน ตาสบกัน ความรู้สึกนี่ช่างคุ้นเคย เขินแปลกๆแฮะ บ้าจริง ผมเป็นพระเอกจะมาหวั่นไหวกับผู้ชายได้ไง เราจะต้องเป็นของนางเอกเท่านั้นป่ะ
"อะ..เอ่อ"ผมชักมือกลับเมื่อได้สติ
"งั้นเราเดินทางต่อกันเลยดีมั้ยเหลียนเอ๋อร์"พี่หลงทำตัวเหมือนปกติทุกอย่างคงมีแค่ผมนี่ละที่ฟุ้งซ่านไปเอง
"ดี ขอรับ เราไปกันเถอะ"ผมเลยใช้ร่ายเวทย์เหยียบเมฆาแล้วก็ก้าวเดินไปก่อนพี่หลง ซึ่งพี่หลงใช้วิชาเดินอากาศจากแก่นพลังปราณโดยตรงตามผมมาติดๆ ซึ่งตอนออกมาผมได้เล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่เข้ามายังป่าหมอกนี่แล้ว ส่วนพี่หลงก็บอกถึงการหนีตายจากกระทิงดุนั้นให้ผมฟังแล้ว ซึ่งพอผมฟังและคิดถึงรูที่ท้องแล้ว เรื่องราวก็ประจวบเหมาะกันพอดิบพอดีเลย ผมและพี่หลงเดินกันจนเกือบบ่ายคล้อย ผมก็ได้กลิ่นเหม็นลอยมาในอากาศตอนที่กำลังหย่อนตัวนั่งที่กิ่งไม้ใหญ่ที่เรายืนอยู่ ผมจึงเดินไปดูรอบๆตามที่มาของกลิ่นเหม็นจางๆนี่ ไม่แน่ใจว่าจะใช่ดอกต้นพญาเสนมั้ย เดินจนจับต้นทางลมที่พัดกลิ่นมาได้จึงมุ่งหน้าไปทันที
"อย่าเพิ่งเข้าไปใกล้มากนะเหลียนเอ๋อร์ อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ เดี่ยวให้พี่เข้าไปดูให้แน่ใจก่อนว่าใช่ต้นพญาเสนมั้ย"พี่หลงเดินมาขว้างหน้าผม ก่อนที่ผมจะทะเล่อทะล่าเข้าไป เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย
"แต่ข้าว่าใช่อยู่แล้วนะพี่หลง"ผมมั่นใจว่าคือต้นพญาเสน ไม่น่ามีอันตรายอะไรหรอก
"ให้พี่เข้าไปดูให้ก่อนดีกว่า เพื่อความปลอดภัย เหลียนเอ๋อร์รอพ่ตรงนี้ละห้ามไปไหน"พอพี่หลงห้ามผมเสร็จก็รีบไปที่จุดหมายที่คาดว่าจะเป็นต้นสายปลายเหตุของกลิ่นเหม็นนั้นทันที จะใช่มั้ยนะผมก็ลุ้นรอ ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำตามที่พี่หลงบอกด้วย
"เป็นอย่างไรบ้างพี่หลง ใช่ต้นพญาเสนมั้ย"เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูปก็เห็นพี่หลงเดินออกมา ผมจึงถามอย่างตื่นเต้น
"เป็นต้นพญาเสนที่เหลียนเอ๋อร์ตามหาอยู่จริงๆ"
"งั้นข้าไปเก็บก่อนนะขอรับ"ผมบอกอย่างดีใจที่สกิลพระเอกผมช่วยผมอีกแล้วแน่เลย ก็ไม่กี่วันได้มาจะเกินครึ่งแล้วนี่น่า ผมจึงหยิบถุงเก็บสมุนไพรโดยเฉพาะออกมาเพื่อเก็บดอกพญาเสนที่เหม็นคละคลุ้งนั้น ก่อนจะร่ายเวทย์ป้องกันรอบตัวเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นนั้นแล้วก็เดินเข้ามาใกล้ต้นที่มีแต่ซากกิ่งก้านแห้งดำสนิททัี่ตอนนี้มีดอกสีดำสนิทผลิบานส่งกลิ่นเหม็นออกมา แต่เวลาต้องแสงสว่างสีดำจากดอกกลับส่องแสงระยิบระยับออกมาราวกับอัญมณี ผมจึงโยนถุงครอบดอกมันไว้แล้วร่ายเวทย์ตัดออกจากขั้วดอกทันที แล้วเก็บดอกพญาเสนลงไปในแหวนมิติทันที
"ตอนนี้ก็ยามเว่ยแล้ว (เวลา13.00-14.59น.) พี่ว่าเราเร่งรุดออกจากป่าหมอกมรณะนี้ก่อนค่อยหาที่พักกันดีมั้ยเหลียนเอ๋อร์"พี่หลงที่ตามหลังผมมา เมื่อเห็นผมเก็บดอกพญาเสนแล้วจึงวางแผนเดินทางต่อให้ทันที
"ดีขอรับ เช่นนั้นเราไปทางไหนดีขอรับ"ผมจึงตอบรับไปโดยไม่คิดอะไร
"หากเราเดินตรงไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ ยามเซิน (เวลา15.00-16.59น.) เราก็น่าจะถึงแนวเขตป่าเหมันต์แล้วละ"
"เช่นนั้นเรารีบเดินทางกันเถอะพี่หลง"ผมบอกแบบนั้นก่อนที่จะให้พี่หลงเดินนำทางไป จนเมื่อเดินทางมาเรื่อยๆด้วยความเร็วคงที่ ผมก็เริ่มหนาวสั่นขึ้นมาจนเมื่อก้าวเข้าเขตป่าเหมันต์เท่านั้นละ อห โอ้โห้ไปเลยสิครับก็ที่ผมเห็นเบื้องหน้านี่คือเกล็ดน้ำแข็งและกองหิมะขาวโพลนขนาดใหญ่เต็มไปหมด เต็มจนมองไม่เห็นพื้นดินและต้นไม้ใบหญ้าสักต้น หนาวจนตอนนี้ผมน่าจะเริ่มปากคล้ำไปละ ดึงพลังปราณออกมาให้ร่างกายอบอุ่นก็ช่วยได้นิดเดียว ด้วยความที่ร่างกายนี้เพรียวบางไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากทำให้ร่างบางหนาวง่ายกว่าร่างสูงหนานี่นัก
"ข้าว่าเราเข้าไปพักกันเถอะพี่หลง ข้างนอกอากาศหนาวเกินไปแล้ว ข้าทนไม่ไหวแล้ว"ผมบอกพี่หลงด้วยเสียงหนาวสั่นที่เวลาพูดมีควันออกปากกันเลยทีเดียว
"อืม"ผมจึงจับมือร่างสูงเข้ามาในแหวนมิติที่มีอากาศอบอุ่นพอดีอยู่เสมอพร้อมทั้งเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วรินชาอุ่นๆให้พี่หลงและตนเองดื่มทันทีเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกาย เมื่อร่างกายอุ่นขึ้นผมก็เริ่มหายสั่นจากนั้นก็เอาอาหารออกมาทานด้วยกันกับพี่หลง แล้วก็แยกย้ายกันพักคนละมุมหลังจากทานอาหารเสร็จ จนยามซวี (19.00-20.59น.) ผมจึงไปแช่น้ำอุ่นก่อนเปลี่ยนเป็นชุดนอนเดินออกมาสวนกับพี่หลงที่จะอาบน้ำต่อ จริงๆผมรักความเป็นส่วนตัวในระดับนึงนะ ถ้าไม่ใช่คนที่สนิทด้วยผมไม่ค่อยอยากให้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวผมสักเท่าไหร่ แต่กรณีพี่หลงเป็นข้อยกเว้นเพราะผมเป็นคนพาพี่เขาเข้ามาเอง แถมอีกอย่างพี่หลงก็ไม่ได้มีแหวนมิติที่อยู่ได้แบบผม มีแค่แหวนมิติที่ใส่สิ่งของได้เท่านั้น จริงๆแหวนมิติก็ทำได้แค่นั้น แต่เป็นผมที่ร่ายเวทย์สร้างสมดุลย์ให้ในแหวนมิตินี้ไม่ต่างจากห้องที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ มีอากาศหายใจ มีทุกสิ่งอย่างที่สะดวกสบายราวกับมีเวทย์มนต์จัดการทุกอย่างในนี้
"เหลียนเอ๋อร์ วันพรุ่งเจ้ามาแผนจะทำสิ่งใดบ้างรึ"ผมที่นั่งพิงผนังฟุกนอนอ่านหนังสืออยู่ เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดนอนขาวบางกำลังเดินออกมาจากฉากกั้นพร้อมส่งเสียงชวนคุยทำลายความเงียบในแหวนมิตินี้ พร้อมกับเดินไปนั่งที่ฟุกของเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผม ทำให้ตอนนี้เหมือนเราสบตากันพูดคุยมาก
"ข้าว่าพรุ่งนี้จะไปตามหาดอกกุ้ยหลางที่ชอบขึ้นอยู่ริมหน้าผาในเขตป่าเหมันต์นะพี่หลง"
"อืม งั้นพี่นำทางเอง"
"ขอบคุณพี่หลงขอรับ"
"วันพรุ่งเหลียนเอ๋อร์ต้องใส่ผ้าคลุมให้หนาหน่อยนะ ดูจากวันนี้ร่างกายเหลียนเอ๋อร์ค่อยข้างอ่อนแอนัก ฉะนั้นหากเราออกไปเมื่อไหร่พี่จะช่วยเจ้าฝึกร่างกายให้แข็งแรงเอง"
"แค่ข้าหนาว ต้องถึงกับฝึกร่างกายเลยเหรอขอรับพี่หลง"เมื่อผมได้ยินที่พี่หลงพูด ผมก็เริ่มงอแงออกมา อุตส่าห์หนีพ้นจากท่านพ่อที่จวนต้องมาเจอพี่หลงที่นี่อีกเหรอ ชีวิตช่างอาภัพ
"หากฝึกร่างกายมากพอ เจ้าจะไม่สั่นไหวแม้หิมะที่อยู่ข้างนอกนั้น"
"โห้ แต่ข้าก็ไม่ได้สั่นขนาดนั้นนะพี่หลง ไม่ฝึกไม่ได้รึ"
"ไม่ได้ เจ้าต้องแข็งแรงแข็งแกร่งกว่านี้ เจ้าจะได้ดูแลตนเองได้ ถึงแม้จะมีพี่ดูแลเจ้าอยู่ แต่เจ้าก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อตัวเจ้าเองอยู่ดี"ร่างสูงพูดออกมาเสียงเข้มพร้อมกับสายตาดุดันที่มองมาอย่างมาดมั่น
"ฝึกก็ได้ แต่ขอไม่หนักมากได้มั้ยอะพี่หลง ข้าอุตส่าห์ไม่อยากฝึกอยู่ที่จวนจนหนีมาศึกษาโอสถที่นี่ แต่ก็ยังต้องมาฝึกกับพี่หลงอีก น่าเบื่อชะมัดเลย"ผมพูดต่อรองออกไป พร้อมกับบ่นงึมงำออกมาท้ายประโยค
"ไว้พี่จะพิจารณาก็แล้วกัน"พี่หลงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแฝงแววขบขันเบาๆที่เห็นคนตัวเล็กดื้อดึงงอแงไม่ต่างจากเด็ก
"ข้าไม่คุยกับพี่หลงแล้ว"ผมพูดเสียงสะบัดท่ีเห็นร่างใหญ่ทำเหมือนเอ็นดูผม มองผมราวกับเด็กอีก ผมโตละนะ แล้วผมก็ควรถูกมองด้วยสายตาชื่นชมสรรเสิรญในความเก่งกาจสิ ไม่ใช่มีคนมาเอ็นดูในความง๊องแง๊งงอแงนี่
"หึหึหึๆๆ เช่นนั้นเหลียนเอ๋อร์ก็พักผ่อนเถอะ ฝันดีละเด็กน้อย"
"ข้าไม่ใช่เด็กละนะ ข้าโตแล้ว"ผมแย้งทันควันที่ร่างใหญ่พูดจบประโยค
"ใช่ เหลียนเอ๋อร์โตแล้ว"ร่างสูงพูดออกมายิ้มๆ
"เช่นนั้น คนโตแล้วก็นอนเถิด"พี่หลงพูดอย่างล้อเลียน
"ก็ได้ขอรับ เช่นนั้นก็พักผ่อนกันเถิดขอรับ ฝันดีขอรับ"ผมจึงบอกฝันดีพี่หลงกลับ ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วห่มผ้า หรี่แสงสว่างจากไข่มุกเวทย์ลงจนมีแค่แสงสลัวๆแล้วนอนหลับไป
เมื่อลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอมั่งคงบ่งบอกว่าร่างเล็กหลับสนิทเข้าสู่ห้วงลึกของนิทรา ร่างสูงใหญ่ก็เดินมานอนลงข้างร่างเล็กพร้มรั้งร่างบางเข้ามาสู่อ้อมกอดแข็งแกร่งอบอุ่นพร้อมจรดริมฝีปากบนหน้าผาก ไล่ลงมาที่เปลือกตาทั้งสองข้าง สันจมูก แก้มนวลชมพูทั้งสองข้าง แล้วหยุดที่ริมฝีปากบางแดงที่ริมฝีปากเข้มกดจูบนานกว่าทุกที่ที่ลากริมฝีปากผ่าน แล้วก็นอนคิดถึงเรื่องราวในวันนี้ที่เขาทำสำเร็จไปอีกขั้น จนเขาสบายใจแล้วว่าร่างเล็กจะไม่สามารถปรุงยาแก้พิษสำเร็จ จากนั้นก็นอนหลับไปพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงประดับอยู่ที่มุมปากทั้งสองข้าง พร้อมกับร่ายเวทย์ผนึกฝันให้ร่างเล็กฝันถึงแต่เขาเหมือนกับทุกค่ำคืนที่เขาทำ พร้อมร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายเมื่อร่างเล็กตื่นร่างเขาจะถูกย้ายกลับฟุกตนเองทันทีก่อนที่ร่างเล็กจะตื่นเต็มตา ทำให้ทุกครั้งที่ร่างเล็กตื่นจึงเห็นว่าเขานอนอยู่ที่ตนเอง ต่างคนต่างนอนคนละมุม ร่างเล็กจึงไม่สงสัยอะไรเลยสำหรับทุกสองสามคืนที่ผ่านมานี้