"ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก"
"ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า"
"ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า" นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง "และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา"
อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง
"เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน"
อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง
ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!
阿贝 อาเป้ย...
宝贝 bǎobèi (เป่าเป้ย)
ลูกรัก ที่รัก...
ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่ง
เทพอู่เฉินมองเห็นความไม่น่าไว้วางใจของเทพเฟยหลิงและเทพฟางหรง เทพเจ้าแห่งสายน้ำทั้งผู้พี่ผู้น้องอาจไม่ได้พบเจอสตรีในเทวโลกบ่อยนัก ถึงได้ทำตัวเป็นบุรุษเทพเจ้าชู้ชีกอ เล่นหูเล่นตากับนาง แต่นางก็หาได้รู้สึกตัวไม่
อาเป้ยไม่มีจริตมารยาเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำไป ไม่ว่านางจะอ้าปากพูดจาห้าวหาญ กระโจนกายขึ้นเวหาด้วยกำลังภายในหรือนางจะทำอะไร ท่วงท่าสง่างามแข็งแรงเหล่านั้นเฉกเช่นบุรุษนักปราชญ์ อย่างที่นางว่าประพฤติตนเป็นบุรุษมาทั้งชีวิต
เทพอู่เฉินทราบดีทุกเรื่องในระหว่างจำศีล ราวสองตาเห็นโดยแจ่มแจ้ง! จึงไม่ใคร่พอใจนัก เมื่อเหยียบย่างลงบนไอน้ำสีขาวด้วยเท้าทั้งสี่ จำแลงกายกลับร่างเดิมในอาภรณ์สีดำ พร้อมกับมนุษย์และสัตว์อสูร มาถึงไล่เลียกันกับบุตรชายของเทพเจ้าแห่งสายน้ำซึ่งเดินทางมาทางน้ำ ทั้งสองรีบปรี่เข้ามาหานาง
"บัวสีทองมีไม่มาก เบ่งบานเพียงปีละครั้ง ข้าจะลองเข้าไปถามท่านพ่อดู" เทพเฟยหลิงอาสาเป็นธุระให้นางอย่างเต็มใจ อาจเป็นเพราะได้ประลองฝีมือหมากเซี่ยงฉี พูดคุยกันหลายวันจนรู้สึกสนิทสนม
นางยกมือคารวะเทพแห่งสายน้ำเพื่อขอความช่วยเหลือ รบกวนเป็นธุระให้นางด้วย
หากไม่เป็นเพราะว่านางเป็นคนเอ่ยปาก สถานที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับอสูร ปีศาจตนไหนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบแม้กระทั่งพื้นหินดินทรายในเขตของใต้เท้าจีกง
แต่คงจะต้องละเว้นเอาไว้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงครึ่งปีศาจ แลดูเกรี้ยวกราดตลอดเวลา เทพอู่เฉินเห็นอยู่ว่าบุรุษเทพทั้งสองลอบยิ้มกรุ้มกริ่มให้นาง
"สำรวมกิริยาเสียบ้างนะอาเป้ย ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยเจ้าอสูรตนนี้"
อาเป้ยมีสีหน้างุนงง นางไม่ทราบว่าเทพอู่เฉินพูดถึงเรื่องอะไร นางเดินตามเข้าไปในเรือนกว้าง ข้างใต้เรือนล้อมรอบด้วยลำน้ำที่มีไอควันสีขาวลอยไปทั่ว
ใต้เท้าจีกงได้รับสารจากบุตรชายมาก่อนหน้านี้ จึงเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
"ข้าไม่อยากจะมีปัญหาสักเท่าไร หากข้าได้ให้ความช่วยเหลือปีศาจสักตนหนึ่ง อีกมากมายก็จะตามมาขอให้ข้าเป็นธุระช่วยเหลือบ้าง"
"ข้าขออภัยเถิดใต้เท้า อาจารย์ข้าเคยได้เปรยคำหนึ่งกับข้าว่า 'เมตตาธรรมค้ำจุนโลก' พระโพธิสัตว์ยังหาได้ย่อท้อ ถดถอยต่องานช่วยเหลือทุกสรรพสิ่งแม้สักชีวิตหนึ่งเลย ข้ามีความเห็นว่าความเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ คงเป็นเช่นเดียวกับผู้มีเมตตาเยี่ยงเทพ ย่อมยินดีช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง"
ใต้เท้าจีกงหัวเราะเสียงดัง เมื่อสตรีนางหนึ่งแย่งเทพอู่เฉินพูดด้วยกลัวว่าท่านจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยเหลือพยัคฆ์อัคคี จนทุกคนมีสีหน้างุนงงไปเสียหมด
"แต่ข้าหาใช่พระโพธิสัตว์ไม่ ข้ามิบังอาจเทียบเท่าท่านได้ อืม... ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าจากตาเฒ่าฮุ่ยหมิงมามาก อาเป้ย"
"ใต้เท้ารู้จักอาจารย์ข้าด้วยหรือ?"
อาเป้ยท่าทางดีใจ เมื่อใต้เท้าจีกงก้มหน้าลงมองสตรีตัวเล็กเพียงระดับบ่าของเหล่าบุรุษด้วยแววตาเอ็นดู นึกถึงสหายเก่าขึ้นมา
"เจ้าฮุ่ยหมิงน่ะ รู้จักกับข้าเป็นอย่างดี เทพเซียนนักพรตผู้แก่กล้าวิชา เคยข้ามมายังเทวโลกเพื่อบำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงนิพพาน ถึงมนุษย์จะไม่มีใครชอบตาเฒ่านักเพราะชอบจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้าน"
เมตตาธรรมค้ำจุนโลกอย่างที่ว่า เซียนฮุ่ยหมิงจึงถูกเรียกว่าหลวงจีนนอกรีบ้าง ตาเฒ่าบ้าง อีกสารพัดฉายาเพราะดันชื่นชอบการทำความดีเกินตัวไปสักหน่อย
"เอาเถิด... ข้าเห็นแก่เรื่องเมตตาธรรมค้ำจุนโลกอะไรนั่น และเพื่อช่วยชีวิตเจ้าพยัคฆาตัวน้อย ข้าคงมิอาจห้าม แต่พวกท่านจะต้องลงมือเอง"
ปลายเสียงหนักแน่นบอก นัยน์ตาสีมรกตงดงามของเทพเจ้าแห่งสายน้ำฉายประกายมาดมั่น วาดฝ่ามือไปทางบ่อบัวไม่ไกลจากด้านหน้าเรือนไม้กว้างขวาง ในทางฝั่งขวา
"จากตรงนี้ไป ดอกบัวสีทองเบ่งบานอยู่กลางเกาะน้ำ จะเดินไปไม่ได้ ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามไปก็มิได้เช่นกัน"
"ข้อแรก... ฝูงปลาเหล่านี้ก้าวร้าวดุดัน กินทุกสิ่งเป็นอาหารแม้แต่เทพหรือปีศาจก็ไม่เว้น ข้อที่สอง... เพียงฝ่าเท้าแตะลงบนพื้นน้ำหรือกระโดดข้ามอากาศก็ตาม จะถูกแรงลมมหาศาลดูดลงไปในค่ายกลทันที ซึ่งข้าเกรงว่าค่ายกลนี้จะไม่มีทางออก ต่อให้มี ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจะออกมาเยี่ยงไร ไม่เคยมีใครเคยตกลงไปในค่ายกลเทพแห่งสายน้ำแห่งนี้แม้แต่ตัวข้าเอง"