webnovel

0166

บทที่ 165 จางเย่ร้องเพลง ‘ขอเราอายุมั่นขวัญยืน’!

___________________________________________________

ทำไมถึงไม่ขาย?

ทำไมจางเย่ถึงดื้อดึงขนาดนี้?

ก็เพราะในโลกของจางเย่ ‘ลำนำทำนองวารี-จันทร์กระจ่างจะปรากฏยามใด’ ถือเป็นเพลงอมตะมากเพลงหนึ่ง — มีชื่อว่า ‘ขอเราอายุมั่นขวัญยืน’ ผู้ขับร้องคนแรกคือเติ้งลี่จวิน[1] เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอ ทำให้เธอดังระเบิดไปทั่วสารทิศ ผู้ประพันธ์บทเพลงคือเหลียงหงจื้อ[2] ต่อมาสตาร์ควีนเฟย์ หว่อง[3] ได้นำมาขับร้องใหม่ หากจะต้องตัดสินระหว่างเติ้งลี่จวินและเฟย์ หว่องว่าใครร้องดีกว่ากันก็คงประเมินไม่ถูก เพราะในหมู่คนรุ่นเก่าเติ้งลี่จวินจะเป็นที่นิยมมากกว่า ส่วนในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ‘ขอเราอายุมั่นขวัญยืน’ ของเฟย์ หว่องมีชื่อเสียงกว่า เทียบกันแล้วเสียงของเฟย์ หว่องจะใสกระจ่างและสง่างาม เหมาะสมกับบทกวีของซูตงปอเป็นอย่างมาก

เพลงนี้ฝังรากลึกอยู่ลงไปในจิตใจของจางเย่ และเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของเขา แล้วเขาจะทิ้งขว้างให้นักดนตรีตาบอดพวกนี้ได้อย่างไร?

ลองฟังสามเพลงนั่นดูก็รู้แล้ว

เพลงหนึ่งป็อปเกินไป อีกเพลงก็เข้าใจยากเหลือเกิน อีกเพลงก็ร็อคเกินทน

ไม่ได้เรื่องห่วยแตกทุกเพลงเลย จะปล่อยให้พวกนายทำลายลูกรักฉันป่นปี้แบบนี้ไม่ได้!

แน่นอนว่าบางทีอาจเป็นจางเย่ที่สุดโต่งเกินไป เขาไม่ใช่คนของโลกนี้ ในใจจึงมีความรู้สึกพิเศษต่อสิ่งที่เป็นของโลกเก่า ก็คงไม่ต่างกับความรู้สึกผูกพันต่อถิ่นกำเนิด ข้าวของที่มาจากบ้านเกิดของตัวเองมักจะทำให้รู้สึกดี รู้สึกภาคภูมิใจ จึงทำให้จางเย่นึกดูถูกมาตรฐานดนตรีของโลกนี้ ซึ่งอันที่จริงหากมองอย่างเป็นกลาง เพลงทั้งสามต่างไม่ได้แย่ขนาดนั้น โดยเฉพาะเพลงแรกที่หวังเกอเป็นผู้แต่ง ฟังแล้วสดใสติดหูมาก จัดว่าเป็นเพลงที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว

แต่จางเย่กลับคิดว่ามันยังไม่ถึงขั้น ห่างชั้นไปมากเลยด้วย!

จางเย่ให้ความสำคัญกับเรื่องลิขสิทธิ์เป็นอย่างมาก ตอนนี้ชีวิตเขาได้แต่พึ่งพาอาศัยมัน ทั้งยังเป็นรากฐานให้เขาต่อยอดผลงานในโลกนี้อีกด้วย ลิขสิทธิ์ผลงานแต่ละชิ้นจึงมีความหมายกับเขามาก จนมากเกินไปด้วยซ้ำ บางครั้งจางเย่ยังเคยคิดว่าอยากจะลองไม่ทำงานเลยสักเดือน ใช้แคปซูลความจำค้นความทรงจำจากโลกของเขาเพื่อเขียนบทกวี บทเพลงต่างๆ ออกมาให้หมด รวมไปถึงนวนิยายและบทภาพยนตร์ด้วย จากนั้นก็เอามาทุ่มใส่โลกนี้ให้หมด มันจะทำให้เขาจะโด่งดังเร็วขึ้นหรือเปล่านะ? คำตอบก็คงใช่แน่ แต่อีกทีอาจจะไม่ ที่ใช่ก็เพราะงานที่ดีย่อมเป็นที่สนใจของผู้คน ตัวเขาก็จะได้ชื่อเสียงกลับมาเป็นแน่ แต่ในทางกลับกัน นี่เป็นการฆ่าห่านเอาไข่ทองคำ ต่อให้ชื่อเสียงพุ่งทะยานอยู่ชั่วขณะ แต่คนอื่นต่างไม่โง่ การที่เขาสามารถคิดผลงานออกมาได้มากมายขนาดนั้นจะต้องเป็นที่สงสัยอย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องของความชินชาต่อระดับของผลงาน หากภายหลังจางเย่สร้างผลงานอะไรออกมา ทุกคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ทำให้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรอีก และอนาคตของเขาก็มีแต่จะดิ่งลงเท่านั้น ขืนปล่อยลิขสิทธิ์ออกไปหมดจนไม่เหลือผลงานให้เขียนให้ใช้อีก ตัวเขาจะพึ่งพาอะไรได้อีก?

ดังนั้นจางเย่จึงเห็นลิขสิทธิ์แต่ละชิ้นสำคัญมาก เขาต้องการค่อยๆ นำมันออกมาทีละชิ้นๆ ปล่อยให้ผลงานจากโลกของเขาแสดงผลอย่างเต็มที่ก่อน ซึ่งเท่ากับช่วยผลักดันชื่อเสียงให้จางเย่ได้มากที่สุด มากกว่าที่จะปล่อยออกมาทีเดียวตูมเดียว แบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความก้าวหน้าที่ยั่งยืน แต่ละชิ้นงานเขาต้องการจะใช้งานให้เฉียบคมที่สุด

ฟางเว่ยหงขมวดคิ้ว “อาจารย์จาง คุณช่วยพิจารณาดูอีกครั้งเถอะค่ะ ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าเพลงของหวังเกอไม่เลวนะ พี่สาวจางที่เคยฟังมาก่อนยังคิดเหมือนกันเลย”

จางเย่ยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่ว่าผมไม่ช่วย แต่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ”

หวังเกอที่โดนตำหนิอดฉุนเฉียวไม่ได้ “ก็บอกมาสิว่าไม่ได้เรื่องตรงไหน?”

“ทำนองไม่ได้เรื่อง ไม่เข้ากับเพลง” จางเย่พูดไปตามที่คิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาประดิษฐ์คำพูดกันแล้ว

หวังเกอหน้าคล้ำจ้องเขาเขม็ง “อาจารย์จางเย่ หากพูดถึงมาตรฐานวรรณกรรม ผมคงเทียบคุณไม่ได้ ต่อให้ทุกคนในที่นี้รวมกันก็คงเทียบคุณไม่ได้ เรื่องนี้ใครๆ ก็ยอมรับ ไม่มีข้อสงสัย คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอักษร พวกเราต่างเห็นด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องของดนตรี พูดกันเรื่องศิลปะแขนงดนตรีนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้รู้มากกว่าคุณ เข้าใจมากกว่าคุณมากด้วย เรื่องนี้คุณปฏิเสธไม่ได้”

จางเย่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายถึงกับขำ เขาว่าตัวเองว่าไม่รู้จักดนตรีได้ แต่ฟังคนอื่นมาว่าเขาแบบนี้เห็นทีจะไม่ได้ นายเป็นใคร ฉันรู้จักนายไหม “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป”

หวังเกออึ้งไปก่อนจะหัวเราะออกมา “จริงเหรอ? ผมไม่เชื่อหรอกนะ!”

จางหย่วนฉีมองเขา “เสี่ยวหวัง ทำไมพูดกับอาจารย์จางแบบนั้น?”

“พี่สาวจาง ผมไม่เชื่อหรอก! ผมทำดนตรีมาตั้งเจ็ดแปดปีแล้ว คนอื่นจะสงสัยผมเรื่องอะไรก็ได้ แต่จะสงสัยมาตรฐานและความสามารถทางดนตรีของผมไม่ได้!” หวังเกอใช้เวลากับเพลงนี้ไปมาก เรียบเรียงทำนองเพลงอยู่ครึ่งค่อนเดือน กว่าจะได้ผลงานที่น่าพอใจออกมา สุดท้ายกลับถูกจางเย่พูดใส่ว่าไม่เพราะเพียงแค่นั้นและไม่ยอมขายลิขสิทธิ์ให้ ทำให้น้ำพักน้ำแรงที่เขาทุ่มเทไปตลอดหลายวันมานี้ต้องสูญเปล่า? เขายังพอใจได้ก็ประหลาดแล้ว!

จางหย่วนฉียามอยู่ต่อหน้าทุกคนเป็นนางฟ้าซูเปอร์สตาร์ที่แสนดี “เอาล่ะ เสี่ยวหวัง ระงับอารมณ์ก่อนนะ นี่เป็นงานของอาจารย์จาง เขามีสิทธิ์ตัดสินว่าเนื้อเพลงนี้จะเป็นของใคร”

หวังเกอยังไม่ยอมรับ “แต่ว่าเขา…”

ฟางเว่ยหงเริ่มหน้าตึง “เห็นพี่สาวจางพูดดีด้วย เธอยังไม่ยอมจบใช่ไหม? มีอะไรมาพูดกับฉันนี่มา!”

หวังเกอไม่ปริปากอีก พวกเขาทุกคนไม่กลัวพี่สาวจาง เพราะรู้ดีว่านางฟ้าซูเปอร์สตาร์ไม่เคยถลึงตาโกรธเคืองใคร ใจดีเป็นพิเศษกับทุกคน แต่ตัวผู้จัดการพี่สาวฟางนั้น ไม่ใจดีอย่างนั้นแน่

จางหย่วนฉีแตะมือของฟางเว่ยหง “เอาล่ะ อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย”

ตำหนิเขาไปหนึ่งประโยคแล้ว ฟางเว่ยหงก็สลับบทตัวดีตัวร้าย หันมาพูดกับจางเย่ “หากคุณไม่พอใจ ก็สามารถบอกเสี่ยวหวังหรือนักแต่งเพลงอีกสองคนให้เปลี่ยนได้ ต้องการให้ปรับเปลี่ยนตรงไหนก็บอกพวกเขาไป รอจนคุณพอใจ เราค่อยมาคุยเรื่องลิขสิทธิ์กันอีกทีก็ได้ค่ะ ไม่ต้องรีบแต่อย่าเพิ่งปฏิเสธ พวกเราชอบบทกวีของคุณมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ทีมงานใช้เวลาตั้งครึ่งเดือนทำเพลงนี้ออกมา”

จางเย่จุปากอย่างขัดใจ “กลอนนี้ผมมีความตั้งใจอื่นอยู่แล้ว ดังนั้น…”

เมื่อเห็นว่าตัวเพลงเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้ผล ฟางเว่ยหงก็เปลี่ยนมาใช้ความรู้สึกแทน “คุณบอกว่าคุณชอบเพลงของพี่สาวจาง ถ้างั้นคุณคงรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว ปีสองปีมานี้ พี่สาวจางไม่มีผลงานเพลงดีๆ เลย กระทั่งยอดขายอัลบั้มหลังเปิดตัวก็กระท่อนกระแท่น แต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ตอนนี้เราต่างพึ่งบุญเก่า มีแต่แฟนคลับเดนตายที่อุดหนุน ยากที่จะยั่งยืน ขืนยังเป็นแบบนี้ ยังไม่มีงานเพลงดีๆ ออกมาอีก แฟนคลับเดนตายพวกนั้นก็คงหายหมด วันหน้าพี่สาวจางคงได้แต่เลิกทำงานเพลง ต้องผันตัวเข้าวงการแสดงอย่างเดียว”

จางเย่ก็รู้สึกไม่ดีนักเช่นกัน “เรื่องนั้นผมรู้ ผมก็เคยเห็นข่าวมาเหมือนกัน แต่ว่าเพลงพวกนี้ผมคิดว่ามันธรรมดาไปจริงๆ”

นักดนตรีอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เรื่องราคาเราคุยกันได้ ตอนนี้ผลงานดีๆ ของนักแต่งเพลงชื่อดัง ราคาคำร้องอยู่ที่ห้าหมื่นถึงหนึ่งแสน ถ้าเป็นเนื้อร้องที่สุดยอดจริงๆ ได้ถึงแสนห้าก็ยังมี”

“ใช่แล้ว” ฟางเว่ยหงกล่าว “เราเสนอค่าสิทธิ์ให้คุณได้ถึงแสนห้า ตราบใดที่คุณให้ลิขสิทธิ์คำร้องกับเรา เพลงนี้พวกเราพร้อมจะทำซิงเกิลออกมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะอัดเสร็จพร้อมปล่อยทีเซอร์ออนไลน์ก่อน เลยต้องรีบนิดหนึ่ง คุณเห็น…”

จางเย่ยังยืนกรานปฏิเสธ “มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เพลงมันไม่ได้เรื่อง”

หวังเกอเอ่ยแทรก “เพลงไม่ได้เรื่อง? ถ้างั้นคุณลองทำเพลงมาให้พวกเราฟังหน่อยสิ ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาบ้าง?”

ฟางเว่ยหงหรี่ตา ตบโต๊ะเสียงดัง “หวังเกอ! เธออยากมีเรื่องกับฉันจริงๆ ใช่ไหม?”

“พี่ฟาง ผมแค่ทนไม่ได้ที่เขาพูดอย่างนั้น! เอาแต่บอกว่าเพลงของพวกเราไม่ได้เรื่อง ข้ออ้างชัดๆ! ผมว่าต้องมีบริษัทอื่นเสนอให้เขาก่อนแล้วแน่ๆ!” หวังเกอกล่าว

ฟางเว่ยหงหันไปมองจางเย่ “จริงเหรอคะอาจารย์จาง?”

จางหย่วนฉีเหลือบตามองจางเย่เช่นกัน

จางเย่บอก “ตอนที่ผมถูกจับ พี่สาวจางกดไลก์กลอนของผม แฟนคลับของพี่จางจำนวนไม่น้อยก็ช่วยผมด้วย ผมถึงได้ออกมาได้เร็วขนาดนี้ พี่สาวจางมีเรื่อง ผมช่วยได้ก็ต้องช่วยอยู่แล้ว แต่กลอนนี่มันไม่เหมือนกัน ไม่มีบริษัทไหนมาติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์จากผมทั้งนั้น พวกคุณเป็นคนแรก แต่กลอนบทนี้มันสำคัญกับผมมากจริงๆ เฮ้อ ดูท่าผมคงอธิบายไม่ชัดเจนใช่ไหม?” จากนั้นเขาก็หันไปหาหวังเกอ “คุณบอกว่าทุกคนที่นี่รู้จักดนตรีมากกว่าผมสินะ? อยากให้ผมโชว์เพลงให้ดู งั้นวันนี้ผมคงต้องยอมขายขี้หน้าแล้วล่ะ”

ฟางเว่ยหงอึกอัก “คุณแต่งเพลงได้?”

สตาฟหลายคนต่างก็อึ้งไปเช่นกัน นายไม่ได้เก่งเรื่องประวัติศาสตร์กับเขียนนิยายหรอกเหรอ? แต่งเพลง? นายแต่งเพลงได้ด้วยเรอะ!?

หวังเกอไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ได้ พวกเราจะล้างหูรอฟัง!”

อยากยั่วโมโหฉันดีนักใช่ไหม? นายมันนิสัยเด็กๆ ว่ะ! พี่ชาย...พี่ชายคนนี้ก็ชอบยั่วโมโหคนเหมือนกันโว้ย!

จางเย่ที่ถูกปรามาสเริ่มไฟลุกโชนเช่นกัน ว่าฉันไม่รู้จักดนตรีเรอะ? ได้! วันนี้ฉันจะให้พวกนายได้เห็น! ที่จริงเขาเองอยากจะบอกจางหย่วนฉีเช่นกันว่าสำหรับเรื่องเพลงเขามีตัวเลือกที่ดีกว่าให้ และเพลงนี้เขาตั้งใจจะเก็บไว้ร้องเองในภายหลัง ไม่ได้จงใจจะไม่ขายลิขสิทธิ์ให้ ไม่อยากให้พี่สาวจางเข้าใจผิดเลย

จางหย่วนฉีบอกเขา “อาจารย์จาง ถ้าทีมงานของฉันพูดจาไม่เหมาะสม ฉันก็ขอโทษคุณแทนพวกเขา แต่เรื่องประพันธ์เพลง เสี่ยวหวังพูดไปแบบนั้นก็…”

จางเย่ตอบอย่างหนักแน่น “ไม่เป็นไร ขอกีต้าร์ให้ผมด้วย!”

นักดนตรีกะพริบตาปริบ ก่อนยื่นกีต้าร์ให้ เป็นคนที่เพิ่งจะร้องและเล่นเพลงเอง

จางเย่ยังนั่งอยู่ตรงที่เดิม รับกีต้าร์มาวางพาด ลองดีดอยู่หลายที แต่แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มก็กระแอมออกมา ปลดกีต้าร์ออกยื่นกลับไปให้เจ้าของเดิม

นักดนตรีมึนงง “ทำไมล่ะ?”

จางเย่บอกอย่างเก้อกระดาก “ผมเล่นกีต้าร์ไม่เป็น”

คนทั้งห้องฟังแล้วแทบจะเป็นลมล้มลงกับพื้น เล่นกีต้าร์ไม่เป็นแต่ดันวางท่าอะไรขนาดนั้น!

จางเย่ขยับไมโครโฟนที่อยู่ตรงหน้า ลองพูดเสียงลงไป “ต่อไปผมจะร้องเพลงให้ทุกคนหนึ่งเพลง เพลงนี้มีชื่อว่า ‘ขอเราอายุมั่นขวัญยืน’”

หวังเกอแอบแสยะปาก

นักดนตรีอีกหลายคนต่างใจลอยไม่ได้ตั้งใจจะฟัง

นอกจากจางหย่วนฉีที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ แล้ว สีหน้าของทุกคนที่เหลือต่างเต็มไปด้วยคำถาม คิดว่าจางเย่อาจจะแค่โกรธเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าเขาจะแต่งเพลงอะไรออกมาได้จริงๆ จะแต่งเพลง? ต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญดนตรีเท่านั้นถึงจะทำได้! นายเองกีต้าร์ก็ไม่เป็น ท่าทางบรรทัดห้าเส้นก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ นายสร้างผลงานวรรณกรรม ทำรายการประวัติศาสตร์สามก๊ก เขียนนวนิยายเหนือจริง เขียนเทพนิยายสำหรับเด็ก จะมาแต่งเพลงอะไรของนายกัน!

====================

[1] 邓丽君 (Dènglìjūn) หรือ Teresa Teng

[2] 梁弘志 (Liáng hóngzhì)

[3] 王菲 (Wángfēi) หรือ Faye Wong

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

Nächstes Kapitel