บทที่ 2
เด็กสาวอัจฉริยะแห่งวงการนักเคมีเวทมนตร์
เท้าของวีโอเลตพาร่างไร้วิญญาณนั้นไปหยุดอยู่ที่ห้องพักศาสตราจารย์ วิชาเคมี ซึ่งบัดนี้ด้านในมีศาสตราจารย์และเด็กชายวัยเดียวกันที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดียืนอยู่ด้วยกันบริเวณหน้าห้อง
"อ้าว วีโอเลต เข้ามาสิ" ศาสตราจารย์หนุ่มหันมามองและเรียกเด็กสาวให้เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
"สวัสดีค่ะศาสตราจารย์" เธอกล่าวทักทายก่อนจะเดินเข้าไปพลางหันโบกมือทักทายเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตากลมโตและแว่นตากรอบดำที่สวมใส่เป็นประจำหันมาโบกมือเบาๆตอบกลับอย่างคุ้นเคยกันดี ป้ายชื่อเล็กๆถูกหนีบบนเสื้อแจ็คเก็ตยูนิฟอร์ม 'นิปุณ ลันตา'
"เอาล่ะ พวกเธอก็คงรู้แล้วเนอะว่าพวกเธอได้ทุนการศึกษาจากเอียนโซจนถึงระดับมหาวิทยาลัยในสาขาเคมีเวทมนตร์ หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พวกเธอสองคนก็แค่ต้องคอยรักษาระดับผลการเรียนให้อยู่ระดับสูงที่สุด แล้วก็คอยเข้าร่วมกิจกรรมตามที่เอียนโซส่งคำเชิญมาให้ครบทุกครั้ง กิจกรรมก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเข้าร่วมการแข่งขันที่เอียนโซเป็นคนจัด กับการเข้าร่วมงานวิจัยเพื่อสร้างผลงานให้เป็นโปรไฟล์ติดตัวพวกเธอเอง...เท่านั้นแหละ ถ้าพวกเธอไม่พลาดล่ะก็ ตำแหน่งงานระดับสูงในอนาคตก็จะรอพวกเธออยู่ที่องค์กรเอียนโซแน่นอน" ชายที่ถูกเรียกว่าศาสตราจารย์อธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะหันไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาล2ซองจากบนโต๊ะมาแบ่งยื่นให้นักเรียนตรงหน้าคนละซอง
"พวกเราต้องทำอะไรกับจดหมายเชิญด้วยรึเปล่าคะ?" วีโอเลตเอ่ยถาม
"ในซองนั้นนอกจากจดหมายเชิญแล้วก็ยังมีแบบฟอร์มสมัครลงแข่งขันงานเคมีเวทมนตร์ของเอียนโซที่จะจัดขึ้นในอีก2เดือนข้างหน้าด้วย กรอกข้อมูลแล้วเอากลับมายื่นภายในสัปดาห์นี้ด้วยล่ะ แล้วก็นะ งานนี้จะถือว่าเป็นการเปิดตัวพวกเธออย่างเป็นทางการในระดับโลก เพราะฉะนั้น..."
"ห้ามหลุดจาก5อันดับแรก...ใช่มั้ยคะ?" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยปนเบื่อหน่าย
"ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นทุนการศึกษาของพวกเธอก็มีสิทธิสั่นคลอนเหมือนกัน เข้าใจใช่มั้ย?"
"เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ" เด็กทั้งสองคนตอบรับอย่างว่าง่ายพร้อมกัน
"อ้อ แล้วก็นะ นิปุณ" ศาสตราจารย์หนุ่มหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อ "งานวิจัยของคุณน่ะ ข้อมูลยังไม่สมบูรณ์เท่ากับของวีโอเลต ผมเลยยังยื่นส่งให้ทางเอียนโซไม่ได้ เพราะงั้นยังไงคุณช่วยแก้ไขด่วนแล้วส่งให้ผมภายในวันนี้ทีนะ ขอไม่เกินเที่ยงคืน เพราะผมต้องตรวจสอบอีกครั้งก่อนส่งต่ออีก"
"ภายใน...วันนี้เหรอครับ?" เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งไปพอสมควรกับงานที่ถูกมอบหมายกะทันหัน
"ขอโทษทีนะ ผมเองก็เข้าใจนะว่าคุณน่ะต้องทำงานพาร์ทไทม์ที่ศูนย์วิจัยตั้งแต่หลังเลิกเรียนจนมืดค่ำ แต่คุณเองก็ต้องแบ่งความสำคัญให้ได้อยู่ดี คุณต้องนึกถึงอนาคตที่สดใสที่รออยู่ที่เอียนโซให้มากๆนะ ถ้าคุณหลุดออกจากทุนการศึกษานี้ล่ะก็...อนาคตของคุณจะยิ่งน่าเป็นห่วงกว่าเก่าอีกนะ ผมพูดด้วยความเป็นห่วงนะ นิปุณ"
"...ครับศาสตราจารย์ ผมจะรีบส่งงานให้ทันครับ" เด็กหนุ่มซ่อนความกดดันเอาไว้ แม้ว่าจะซ่อนไม่มิด และตกปากรับคำอย่างง่ายดาย
"โอเค งั้นก็เข้าใจกันแล้วตามนี้เนอะ ถ้างั้นก็ไปกันได้แล้วล่ะ"
จบประโยค เด็กทั้งสองคนก็พากันเดินออกมาด้านนอก เด็กสาวมีสีหน้าที่นิ่งสงบ ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนกลับคิ้วขมวดจนแทบจะชนกันโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
"ปุณ มาทางนี้ด้วยกันหน่อยดิ" วีโอเลตเอ่ยปากชวนพลางชี้นิ้วโป้งไปทางห้องสมุดขวามือ
แม้จะยังเครียดอยู่ แต่นิปุณก็เดินตามเธอเข้าไปในห้องอย่างง่ายดาย ร่างเล็กของสาวผมสั้นเดินนำไปหาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ที่เค้าน์เตอร์อย่างคุ้นเคย
"สวัสดีค่ะ จะขอเปิดห้องอ่านหนังสือส่วนตัวครึ่งชั่วโมงค่ะ" เธอว่าพลางยื่นบัตรประจำตัวนักเรียนให้เจ้าหน้าที่
"วี เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานแล้วนะ แกมีอะไรเนี่ย?" เด็กหนุ่มทักท้วงด้วยเสียงกระซิบเบาๆ
"เออ รู้น่า ขอคุยด้วยในห้องส่วนตัวแค่แปบเดียว…อ๊ะ ขอบคุณค่า" วีโอเลตตอบกลับเบาๆก่อนจะหันไปรับคีย์การ์ดแล้วเดินนำไปอย่างชำนาญทาง
จนกระทั่งทั้งคู่เข้าไปอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาด22ตร.ม.ที่มีทั้งโต๊ะอ่านหนังสือและเฟอร์นิเจอร์อำนวยความสะดวกทั้งตู้กดอาหารและเครื่องดื่ม
"อ่ะ มีอะไรถึงต้องมาแอบคุยกันด่วนแบบนี้เนี่ย?" เมื่อจัดการล็อคห้องเรียบร้อย นิปุณก็รีบเปิดประเด็นอย่างใจร้อน ทว่าเด็กสาวตรงหน้ากลับจ้องมองเพียงที่หน้าจอแท็บเล็ตในมือที่เดียวจนน่าสงสัยและน่าหงุดหงิดไปพร้อมกัน
"เช็คอีเมลดู ฉันส่งเอกสารไปแล้ว"
จบประโยค เด็กหนุ่มก็ยังไม่หายงง ได้แต่หยิบแท็บเล็ตของตัวเองขึ้นมาเปิดดูตามคำพูดของเธอ ก่อนจะเบิกตาโพลงอย่างสับสนและตกใจ
"อย่าบอกนะว่า...แกแก้เล่มงานวิจัยมาให้ฉันเหรอ?" เขาเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างฉงนหลังจากได้กดเข้าไปดูไฟล์งานในหน้าจอแล้ว
"เออ ฉันรู้อยู่ว่าศาสตราจารย์จะมาไม้นี้ เมื่อคืนก็เลยทำกันพลาดไว้ให้"
"แต่นี่มันงานฉันนะเว้ย แกมาทำแทนแบบนี้ได้ยังไง?" เขาดูหงุดหงิดไม่ใช่น้อย แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้
"ก็มันไม่ยุติธรรมนี่หว่า มองก็รู้แล้วว่าศาสตราจารย์ตั้งใจจะเขี่ยแกออกแล้วให้เด็กตัวเองมารับทุนแทนใจจะขาด ติดแค่ผลการแข่งรอบที่แล้วมันค้ำคอเลยทำไม่ได้ไง พอใกล้ถึงเวลาส่งวิจัยก็จะอ้างนู่นอ้างนี่แล้วก็ไม่ยอมส่งงานแกไปไง ทีนี้แกก็จะชวดทุน แล้วเด็กคนอื่นก็เข้ามาเสียบแทนได้เลย มันใช่เหรอวะ?"
"แต่ถึงยังไงฉันก็ควรทำด้วยตัวเองอยู่ดี ถึงจะอะไรยังไง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คืองานที่ฉันส่งไปมันไม่ถึงมาตรฐานไง"
"มาตรฐานวัดจากอะไรล่ะ? ถ้ามาตรฐานของเอียนโซล่ะก็ แกผ่านฉลุยไปนานแล้วย่ะ ตอนนี้ศาสตราจารย์น่ะกำลังเอามาตรฐานจากงานของฉันมาวัดให้แกอยู่ต่างหาก แกก็รู้นี่นาว่าฉันมันอัจฉริยะเกินหน้าคนอื่น ใครมันจะมาแตะมาตรฐานงานเคมีเวทฯกับฉันได้กัน? ฝันไปเถอะ"
พรืด!
นิปุณถึงกับหลุดขำออกมาอย่างเก็บทรงไม่อยู่ เขาถึงกับต้องหันหน้าหนีไปขำไหล่สั่นทางอื่นเพื่อจะกลั้นขำและกลับมาคุยกับเด็กสาวตรงหน้าให้จบ
"โอเคๆ แกมันอัจฉริยะล้ำโลก"
"ก็ใช่ไง" เธอตอบรับหน้าตาเฉยก่อนจะใช้มือซ้ายปัดปลายผมเบาๆเป็นการขิงใส่ แล้วถึงหลุดขำออกมาด้วยเช่นกัน "นั่นแหละ ทางเดียวที่จะทำให้แกหลุดจากทุนนี้ได้ก็มีแค่ต้องใช้งานของฉันเป็นข้ออ้าง แล้วฉันบอกได้เลยนะว่าถ้าเขี่ยแกทิ้งได้สำเร็จแล้วล่ะก็ เด็กที่เข้ามาเสียบแทนแกน่ะจะได้รับการวัดมาตรฐานใหม่เอาแค่พอผ่านมาตรฐานเอียนโซก็พอแหงๆ ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ ว่ากันตามตรง ถ้าไม่มีฉันทั้งคนล่ะก็แกได้ขึ้นเป็นที่หนึ่งไปนานแล้ว"
"คำพูดคำจาน่าหมั่นไส้จริงๆเลยนะแกเนี่ย" เขาหยอกล้อกับท่าทีอวดเก่งของเด็กสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
"ตกลงว่ายังไง? เอาไม่เอา?"
"ไม่..."
"ถ้าไม่เอาฉันจะไปขอร้องให้แม่ไปรับแกมาอุปการะเป็นลูกบุญธรรมเดี๋ยวนี้แหละ"
"..."
เพียงประโยคพูดที่ออกมาด้วยหน้าตาและน้ำเสียงจริงจังจากเด็กสาวตรงหน้าประโยคเดียว นิปุณก็ถึงกับนิ่งไป
"เอาไง?"
"ก็บอกไปแล้วนี่นาว่าแบบนั้นมันวุ่นวาย บ้านแกก็ไม่ได้อยู่กันสบายขนาดที่จะมาเลี้ยงฉันเพิ่มได้อีกคนสักหน่อย เรื่องเดือดร้อนชาวบ้านแบบนั้นฉันไม่เอาเว้ย"
"ก็เพราะแกไม่โอเคไง ฉันถึงห้ามแม่เอาไว้ไม่ให้ไปรับแกมาจากสถานสงเคราะห์เด็กเฮงซวยที่แกอยู่ตอนนี้น่ะ ฉันยอมทำแบบนั้นก็เพราะแกขอร้องฉันไว้ว่าแกอยากจะพยายามด้วยตัวเองจนกว่าจะถึงวันบรรลุนิติภาวะแล้วแยกออกมาอยู่เอง...โอกาสเดียวที่แกจะหลุดพ้นจากที่นั่นได้แบบลอยตัวก็คือต้องคว้าทุนของเอียนโซเอาไว้ให้มั่น ไม่ใช่รึไง?"
"..."
"ฉันส่งงานไปให้แล้ว แกก็เลือกเอาเองละกันว่าจะส่งงานนั้นไปตอกหน้าอีตาศาสตราจารย์เฮงซวยที่จ้องแต่จะยัดเด็กตัวเองมารับทุน หรือจะยอมชวดทุนนั้นไปแล้วรู้ตัวอีกทีก็ได้กลายมาเป็นพี่น้องบุญธรรมของฉันแบบไม่เต็มใจ" เธอยื่นคำขาดพลางมองตากับชายหนุ่มอย่างมุ่งมั่น
และสุดท้ายนิปุณก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจแล้วยอมพยักหน้ารับความช่วยเหลือแต่โดยดี
"เออๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง ทีนี้ฉันไปได้รึยัง?"
"ไปสิ เดี๋ยวไปสายแล้วโดนหักเงินขึ้นมาแกจะมาโทษฉันอีก" เธอยักไหล่เบาๆแล้วผายมือไปทางประตูด้วยท่าทีหยอกล้อ
"...วี...ขอบใจนะเว้ย" เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่แอบฟังดูสั่นคลอนเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังเก็บอาการให้นิ่งไว้ ก่อนจะเดินไปทางประตู
"ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องยกยออะไรเยอะหรอก ฉันมันก็แค่เพื่อนสนิทที่ทั้งสวย เก่ง อัจฉริยะ แล้วก็นิสัยดีที่สุดในโลกก็แค่นั้นเอง ไม่ต้องปลื้มใจไปนะเพื่อนรัก" เธอไม่วายหยอกเอินทิ้งท้ายอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะของเพื่อนสนิทได้ในทันที
เด็กหนุ่มหันมาหรี่ตามองทิ้งท้ายแต่พูดอะไรไม่ออก แล้วจึงเดินออกไปด้วยท่าทางอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนที่เข้ามามากมาย
หลังจากแผ่นหลังของเด็กหนุ่มลับตาออกไปแล้ว แววตาของวีโอเลตพลันกลับมาเย็นยะเยือกอีกครั้งเมื่อเธอกลับมาอยู่กับตัวเอง...
ณ บ้านรอจเจอร์
เด็กสาวเดินกลับมาอย่างใจลอยจนถึงหน้าบ้านตัวเองที่เป็นบ้านชั้นเดียวซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านขนาดกลางใกล้กับโรงเรียน เธอยืนนิ่งมองประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วปรับเปลี่ยนแววตาของตัวเองให้ดูสดใสขึ้นมาพลางเดินตรงเข้าไปในบ้าน
"แม่จ๋า! กลับมาแล้ว" วีโอเลตตะโกนทักทายด้วยความสดใสสายตามองหาร่างของหญิงสาวที่คุ้นเคยในบ้าน
"วันนี้กลับมาไวจัง แม่กำลังจะออกไปทำงานพอดีเลยนะเนี่ย" หญิงสาววัยกลางคนเจ้าของดวงตาสีบลูเบอร์รี่แบบเดียวกันกับเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะกับข้าวที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณประตูนัก มือของเธอดูเหมือนกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่
"อย่าเพิ่งๆๆ ลูกสาวมีของจะอวดด้วยล่ะ" เด็กสาวรีบวิ่งตรงไปหาแม่พลางค้นเอาซองเอกสารในกระเป๋านักเรียนออกมา ก่อนจะหยิบเอาจดหมายเชิญที่ประทับตราองค์กร 'เอียนโซ' ออกมาโชว์พร้อมส่งยิ้มหวาน
"ก็ไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่นะ ลูกสาวแม่เก่งขนาดนี้จะไม่ได้ทุนจากเอียนโซได้ยังไงล่ะ?" คุณแม่หันมาหยอกล้อกับเด็กสาวอย่างขี้เล่น
"โหย ทำเป็นตื่นเต้นกับเราสักหน่อยสิ" เด็กสาวยู่ปากบ่นกะปอดกะแปด
"ใครว่าแม่ไม่ตื่นเต้นล่ะ? นี่แทบอยากจะปิดหมู่บ้านฉลองให้ลูกสาวเลยเนี่ย" เธอว่าพลางรีบปรี่เข้ามากางแขนและกอดร่างของเด็กสาวไว้ด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะพูดต่อ "แล้วค่าเทอมของเทอมนี้ตกลงเขาให้เราจ่ายสำรองไปก่อนระหว่างรอทุนจากเอียนโซใช่มั้ย? กำหนดจ่ายได้ถึงวันไหนล่ะ?"
"...ก็...อาทิตย์นี้จ้ะ" เด็กสาวตอบด้วยสีหน้าอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยพลางแอบชำเลืองตามองสีหน้าของแม่ที่ยังโอบกอดร่างของเธอเอาไว้ไม่ปล่อย
"อาทิตย์นี้?" หญิงวัยกลางคนมีท่าทีครุ่นคิดไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบเก็บอาการอย่างรวดเร็วแล้วจึงลูบหัวเด็กสาวเบาๆแล้วผละตัวออกมา "โอเค เดี๋ยวแม่จัดการให้นะ"
แม้ว่าคุณแม่จะเก็บอาการให้ดูเป็นปกติได้เป็นอย่างดี แต่ลูกสาวที่ช่างสังเกตอย่างวีโอเลตก็ยังดูออกได้ไม่ยากนัก
"แม่...หาทันรึเปล่า? เดี๋ยววีคุยกับศาสตราจารย์ขอเลื่อนไปก่อนก็ได้นะ"
"ทันสิ ไม่ต้องลำบากไปขอเลื่อนเขาหรอก ไม่เห็นจะยากเลย" คุณแม่ยังคงมีท่าทีสบายๆไม่แปรเปลี่ยน เด็กสาวจึงยอมพยักหน้ารับเหมือนว่าเธอเชื่อคำพูดนั้น "อ้อ เดี๋ยววีออกไปซื้อข้าวสารให้แม่หน่อยสิ หมดพอดีเลยเนี่ย เดี๋ยวนี่แม่ต้องรีบเก็บของออกไปทำงานแล้ว" เธอเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน แต่เด็กสาวก็ดูไม่ได้แปลกใจกับท่าทีนั้นสักเท่าไหร่นัก และทำเป็นเออออตกลงไปง่ายๆ
เด็กสาวทำเป็นเดินออกจากบ้านไปตามคำขอของแม่ และเดินไปจนพ้นรั้วบ้านเพียงนิดเดียว...ก่อนที่จะค่อยๆถอยหลังกลับช้าๆพลางสอดส่องสายตามองเข้ามาในบ้าน และพบว่าร่างของหญิงวัยกลางคนกำลังเปิดประตูเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
วีโอเลตเดินกลับเข้าบ้านด้วยฝีเท้าที่เบามากจนคนในบ้านไม่อาจรู้สึกได้ และเปิดประตูออกเงียบๆ ร่างของเธอเคลื่อนไปจนถึงประตูห้องที่แม่ของเธอเพิ่งจะเข้าไปและเปิดประตูแง้มเอาไว้เล็กน้อย
ภายในห้องนั้นเป็นห้องนอนส่วนตัวที่ทั้งเธอและแม่ไม่ได้ใช้งาน แต่แม่ก็ไม่เคยปล่อยให้ห้องนั้นมีสภาพเก่าเลยแม้แต่น้อย บนโต๊ะทำงานในห้องยังคงมีข้าวของอันน้อยนิดของ 'เจ้าของห้อง' วางทิ้งไว้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะ และไม่ได้ดูมีอะไรสำคัญนัก
บัดนี้แม่ของเธอยืนนิ่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ และค่อยๆเปิดลิ้นชักที่โต๊ะออกมา เผยให้เห็นสมุดบัญชีเล่มหนึ่งที่ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี เธอหยิบสมุดนั้นขึ้นมาถือเอาไว้และมองมันด้วยสายตาลำบากใจ
แหมะ!
หยดน้ำตาร่วงลงบนสมุดบัญชีในมือของเธออย่างไม่ทันรู้ตัว หญิงสาวรีบใช้มือเช็ดน้ำใสๆบนสมุดนั้นออกและรีบปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว แต่ไม่อาจลบสายตาที่ดูโศกเศร้าของเธอออกได้เลยแม้แต่นิดเดียว แม้จะมองเห็นจะด้านข้าง แต่วีโอเลตก็รับรู้ได้ถึงความลำบากใจและความเศร้าที่สะท้อนบนดวงตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน เธอค่อยๆถอยออกมาช้าๆและระมัดระวัง แววตาดูเศร้าตามไปกับหญิงผู้เป็นแม่
เมื่อร่างของเธอถอยกลับมาจนออกมายืนอยู่ที่หน้ารั้วบ้าน เธอก็รีบปรับสีหน้าตัวเองให้กลับมาดูสดใสอีกครั้ง ก่อนจะทำเป็นเปิดประตูรั้วและปิดมันลงโดยจงใจให้เสียงดังเข้าไปข้างใน
"แม่!! วีลืมเอาตังค์ไปอ่ะ แม่ออกไปรึยังอ่ะ!?" เด็กสาวจงใจส่งเสียงดังอีกครั้งหนึ่งพลางเดินดุ่มๆเข้าไปในบ้าน และพบว่าแม่ของเธอยืนอยู่ที่บริเวณใกล้กับประตูด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูเป็นปกติ ต่างกับเมื่อสักครู่ลิบลับ
"ขอโทษที แม่ก็ลืมยื่นให้เลยเนี่ย" เธอรีบหันไปคว้ากระเป๋าสตางค์มาหาเงิน
"เอ้อแม่ เมื่อกี้นี้ศาสตราจารย์เขาเพิ่งจะโทรมาหาวีโดยตรงเลย เรื่องค่าเทอมน่ะ"
"...อ่าฮะ?" คุณแม่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย
"ศาสตราจารย์บอกว่าทางเอียนโซเพิ่งจะติดต่อมาว่าจะดำเนินการไวขึ้นน่ะ ก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่ต้องสำรองค่าเทอมแล้วล่ะ"
ขอโทษค่ะแม่ ขอโทษจริงๆ...
เด็กสาวพูดด้วยหน้าตาใสซื่อในขณะที่กำลังขอโทษขอโพยแม่ของเธออย่างรู้สึกผิดอยู่ในใจ
"จริงเหรอ? อะไรจะสะดวกขนาดนี้เนี่ย?"
"สงสัยลูกสาวแม่จะเป็นอัจฉริยะน่ะสิ เขาก็คงกลัวจะหลุดมือไปไง เลยต้องสนับสนุนให้เต็มที่หน่อย" เธอหยอกล้อตามปกติ
"ก็คงจะจริงแฮะ ลูกสาวใครเนี่ย ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้"
"ทำไงได้ เชื้อแม่มันแรงน่ะสิ" เธอยักไหล่เบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดขำออกมา
"อ่ะๆๆ เรื่องค่าเทอมก็เบาใจไปแล้วเนอะ งั้นแม่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันนะคะลูกสาว" แม่ดูมีท่าทีโล่งใจลงมาก ก่อนจะลูบหัวเด็กสาวเบาๆแล้วเดินออกจากบ้านไป
และในทันทีที่หญิงวัยกลางคนลับสายตาไป แววตาที่แสร้งทำเป็นสดใสของวีโอเลตก็กลับมานิ่งอีกครั้งหนึ่ง เธอรีบเดินตรงเข้าไปที่ห้องเดิมที่แม่ของเธอเพิ่งจะเข้ามา และตรงไปเปิดลิ้นชักเดียวกัน
มือบางหยิบสมุดบัญชีเล่มนั้นขึ้นมา และเปิดออกดูหน้าที่แสดงยอดเงินเข้าบัญชี
16/06/2160 : Deposit 1,000,000,000 USD
สมุดบัญชีมีเพียงข้อความที่แสดงว่าเงินเข้าบัญชีเป็นจำนวนมหาศาล แต่ก็ไม่มีข้อความอื่นอีกเลย เป็นเหมือนข้อความบ่งบอกว่าไม่เคยมีใครไปยุ่งกับเงินจำนวนนั้นเลยแม้แต่น้อย
สภาพสมุดบัญชีที่อยู่มาตั้งแต่สมัยที่วีโอเลตอายุ5ปี จนถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว11ปี แต่ก็ยังดูใหม่เอี่ยมอยู่ เพราะไม่ได้ผ่านการใช้งานมากไปกว่าการที่แม่ของเธอจะเข้ามาหยิบออกมามองแล้วเสียน้ำตาให้กับมัน ก่อนจะเก็บคืนที่เดิมแล้วออกไปทำงานให้หนักยิ่งกว่าเดิม
ตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงวันนี้ แม่ก็ยังไม่สามารถถือสมุดเล่มนี้ออกมาจากห้องๆนี้ได้เลยแม้แต่น้อย...
วีโอเลตเก็บสมุดคืนที่เดิมแล้วเดินออกจากห้องมาอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาใครบางคนพลางเดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง
"ฮัลโหลค่ะ คุณลุงคะ วีโอเลตเองนะคะ ที่คุณลุงเลยให้เบอร์ติดต่อไว้เรื่องของประดับเวทมนตร์น่ะค่ะ...ใช่ค่ะ สร้อยเส้นนั้นแหละ" เธอพูดกับปลายสายพลางนั่งลงค้นหาอะไรบางอย่างในกองหนังสือที่ดูค่อนข้างเก่า มีฝุ่นเกาะไม่ใช่น้อยๆ "คุณลุงยังรับในราคาเดิมอยู่มั้ยคะ? …สองเส้นค่ะ...ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยววีรีบเอาไปให้เลยนะคะ ร้านปิด2ทุ่มใช่มั้ยคะ? ...ค่าคุณลุง ไว้เจอกันค่ะ"
เมื่อตกลงจบ เธอกดวางสายแล้วหันกลับมาจดจ่อกับการหาสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ ก่อนจะเจอกับเป้าหมายเป็นหนังสือเล่มหนาขนาดA5ที่คุ้นตาแม้ว่าจะไม่ได้เห็นมันมานานแล้วก็ตาม
เด็กสาวดึงหนังสือเล่มนั้นออกมาปัดฝุ่นออก แสดงให้เห็นชื่อหนังสือบนหน้าปก 'M.A.G.101'
เธอเปิดหนังสือออก เผยให้เห็นซองซิปใสที่แปะเทปใสติดไว้ด้านในปกหนังสือ ด้านในของซองเป็นสร้อยเงินที่ห้อยจี้ลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กจิ๋วสีโลหะ2เส้นอยู่ด้วยกัน
วีโอเลตมองสร้อยด้วยความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย ก่อนจะดึงมันออกมาอย่างลำบากใจแล้วจึงปิดหนังสือลง...เมื่อได้มองหน้าปกชัดๆอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างก็เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ไม่...มันจบไปนานแล้ว อย่าได้ไปรื้อฟื้นมันกลับมาอีกเชียวนะ วีโอเลต
เด็กสาวคิดในใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนจะรีบวางหนังสือเก็บคืนในกองเช่นเดิม แล้วนำสร้อยในซองซิปใส่กระเป๋าเสื้อเดินออกไปอย่างรีบร้อน...
ทำให้เธอไม่ได้เห็นภาพของตัวอักษรบนหน้าปก...ซึ่งบัดนี้กลับมีประกายสีฟ้าส่องไสวขึ้นมาเล็กน้อย...
เด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีบลูเบอร์รี่ออกจากบ้านและตั้งหน้าตั้งตาเดินตรงไปยังจุดหมายซึ่งอยู่ในละแวกตลาดที่ดูจอแจผู้คนเยอะแยะแม้ว่าตอนนี้จะเริ่มค่ำมืดแล้วก็ตาม
วีโอเลตเดินเบียดเสียดตรงเข้าไปยังร้านปริศนาผนังทึบสีดำสนิทที่มีป้ายชื่อร้าน '2040' เธอเงยหน้ามองป้ายตรงหน้าก่อนจะก้มลงมามองนามบัตรที่อยู่ในมือซึ่งปรากฏชื่อร้านชื่อเดียวกันบนบัตรเพื่อให้แน่ใจ แล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ
กริ๊ง!
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นตามการเคลื่อนไหวของบานประตูเหล็กหนาที่ถูกเปิดออก เด็กสาวสอดส่องสายตามองรอบตัว สังเกตเห็นว่าร้านดังกล่าวนั้นไม่ได้มีพื้นที่กว้างนัก ผนังทึบ เพดานร้านก็ค่อนข้างต่ำจนพาลให้รู้สึกอึดอัดทันทีที่เข้ามา หากมองไปทางซ้ายขวาจะพบชั้นวางของสไตล์โมเดิร์นสีทึบเรียงรายกันอยู่ไม่มาก สิ่งของบนชั้นวางถูกจัดแยกตามหมวดหมู่ เช่น ตำราเล่มหนา เครื่องประดับ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งล้วนถูกครอบไว้ด้วยมวลพลังงานบางๆสีฟ้าที่มองแล้วรู้ทันทีว่านั่นคือเวทมนตร์
บริเวณทางเดินจากประตู ลากยาวไปจนถึงเค้าน์เตอร์เบื้องหน้าเป็นเพียงพื้นที่โล่ง วีโอเลตเดินตรงไปยังชายที่ดูมีอายุพอสมควรที่ยืนอยู่หลังเค้าน์เตอร์ แล้วจึงเอ่ยปากถามด้วยท่าทีดูประหม่า
"สวัสดีค่ะคุณลุง..."
"มาได้ซะทีนะ วีโอเลต ตอนที่ได้รับโทรศัพท์ว่าเราจะยอมขายสร้อยนั่นน่ะ ลุงดีใจมากเลยรู้มั้ย?" ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะทักทายจบ คุณลุงหน้าตาใจดีตรงหน้าก็ทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
"...อ่า...ค่ะ แล้วตกลงว่าได้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ใช่มั้ยคะ?" เธอดูลำบากใจที่จะพูดถึงสิ่งของที่จะขาย และรีบเร่งรัดเข้าเรื่อง
"อันที่จริง ลุงเพิ่มเงินให้อีกหน่อยน่ะ เพราะคนที่มาขอซื้อเขาดูจะต้องการของมากเลยล่ะ นี่พอลุงโทรไปบอกเขาว่าได้ของมาแล้วนะ เขาก็เพิ่มเงินให้ลุงค่อนข้างเยอะเลย ลุงก็เลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษน่ะ...อ่ะ นี่ ลองนับดูก่อนได้นะ" เขาว่าก่อนจะวางซองปริศนาที่ใส่วัตถุบางอย่างไว้จำนวนหนึ่งบนโต๊ะ
วีโอเลตเลื่อนซองที่ว่ามาใกล้แล้วเปิดแง้มปากซองออกดูเล็กน้อย สอดส่องสายตานับเงินปึกหนาด้านในอย่างคร่าวๆ ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"เอ่อ คุณลุงหยิบผิดซองรึเปล่าคะ? นี่มันเยอะกว่าที่บอกไว้มากๆเลยนะคะ"
"ไม่ผิดหรอก คนซื้อเขากระเป๋าหนักพอตัวน่ะ แถมยังดีใจที่ได้ของมามากๆอีกต่างหาก จะให้ลุงรับเอาไว้ทั้งหมดแล้วให้หนูไปแค่เท่าที่เราตกลงกันตอนแรกมันก็ดูจะยังไงอยู่ แถมจากที่ดูๆแล้ว ของชิ้นนี้ก็น่าจะสำคัญสำหรับหนูพอสมควรเลยนะ การจะตัดใจเอามาขายแบบนี้น่าจะทำใจยากน่าดู...ถ้าหนูไม่รับเงินจำนวนนั้นเพิ่มไปล่ะก็ ลุงคงรู้สึกแย่น่ะนะ"
"..." วีโอเลตไม่พูดอะไรต่อ ในเมื่อชายตรงหน้ายืนกรานแบบนั้น แถมเธอเองก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรด้วย เด็กสาวจึงหยิบเอาซองซิปที่ใส่สร้อยทั้งสองเส้นเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง แล้ววางมันลงที่โต๊ะเช่นกัน
คุณลุงหยิบเอาวัตถุดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดจนพอใจ แล้วจึงเงยหน้ามองวีโอเลตอีกครั้ง
"ของแท้แน่นอน หนูเอาเงินไปได้เลยนะ ขอบคุณมาก"
"ขอบคุณคุณลุงเหมือนกันนะคะ" เธอหยิบซองเงินมาเก็บเข้ากระเป๋าแล้วหันไปโค้งขอบคุณชายตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะรีบร้อนหันหลังเพื่อเตรียมเดินออกจากร้าน
"ต่างหูนั่นน่ะ...ลุงให้ราคาสูงอีกเป็นเท่าตัวได้เลยนะ จะไม่ขายจริงๆเหรอ?" คุณลุงพูดลอย ๆขึ้นมาในขณะที่กำลังสำรวจสินค้าที่เพิ่งได้มา
กึก!
เด็กสาวชะงักไปชั่วขณะ ต่างหูสีทองสายยาวที่ปลายสายเป็นรูปคล้ายกับดาวกระจายสั่นไปตามใบหน้าของเด็กสาวที่เผลอแสดงอาการตกใจและสะดุ้งเล็กน้อย
"...ต่างหูคู่นี้...คงไม่หรอกค่ะคุณลุง" เธอตอบกลับโดยไม่หันกลับไปมองคู่สนทนา สีหน้าดูลังเลขัดกันกับประโยคปฏิเสธของเธอพอสมควร
"สร้อยเส้นนี้เธอก็เคยยืนยันว่าจะไม่ขายนี่นา...เอาเถอะ เอาเป็นว่าลุงให้ข้อเสนอเอาไว้ก็แล้วกันนะ"
สิ้นคำพูดนั้น เด็กสาวก็ไม่ตอบกลับ เธอรวบรวมสติให้มั่นแล้วเดินตรงออกไปที่ประตูอย่างรีบร้อน
กริ๊ง!
ในขณะที่เดินออกไป วีโอเลตก็ได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งเดินสวนทางเข้ามาพอดิบพอดี เด็กสาวเหลือบไปมองร่างตรงหน้าเล็กน้อยเพราะถูกดึงดูดสายตาด้วยออร่าปริศนาที่แผ่ออกมาจากตัวชายคนนี้ เขาใส่เสื้อฮู้ดดี้สีดำ สวมหมวกปิดโครงหน้าและศีรษะของตัวเองไว้มิดชิดจนแทบจะไม่เห็นหน้า ด้วยสายตาช่างสังเกตของวีโอเลต เธอจึงแอบเห็นใบหน้าของเขาพอสมควร ริมฝีปากแดงระเรื่อเข้ารูปกับสันจมูกโด่ง ผิวขาวนวลและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม...
ในชั่วพริบตาที่มองไปที่ดวงตาแสนนิ่งสงบคู่นั้น เธอเห็นความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น...ที่ดวงตาข้างขวาของเขาส่องประกายสีฟ้าออกมาเล็กน้อย...
ตาฝาดรึเปล่านะ?
เด็กสาวเพียงคิดในใจ แล้วจึงเลิกสนใจชายผู้มาใหม่ พลางก้าวเท้าเดินออกจากร้านไปตามปกติ...และในพริบตาที่เธอหันกลับไปนั้นเอง ชายหนุ่มก็เหลือบมองมาที่นัยน์ตาสีบลูเบอร์รี่ของเธอด้วยสีหน้านิ่งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปสนใจชายสูงวัยที่ยืนอยู่หลังเค้าน์เตอร์แทน
กริ๊ง!
เสียงที่ประตูดังอีกครั้งเป็นสัญญาณบอกว่าเด็กสาวเดินออกไปจากร้านแล้วเรียบร้อย เป็นเวลาใกล้เคียงกันกับที่ชายหนุ่มปริศนาไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าเค้าน์เตอร์พอดี
"สวัสดีครับคุณวาเลนไทน์" คุณลุงทักทายด้วยความใจดีและแลดูจะคุ้นชินกับชายตรงหน้าพอสมควร
"เด็กคนเมื่อกี้ใช่มั้ยครับ? วีโอเลตที่คุณลุงบอกว่าเป็นคนปล่อยของชิ้นนั้นน่ะ" เสียงทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างสงบนิ่ง
"ใช่แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าเป็นมาไง แต่เด็กนั่นดูเหมือนจะมีของดีติดตัวมาเยอะแยะเชียวล่ะ...อ่ะ คุณวาเลนไทน์จะเช็คของเลยมั้ยครับ?" เขาตอบพลางยื่นสร้อยสองเส้นในซองซิปที่เพิ่งรับซื้อมาให้กับชายตรงหน้า
"ครับ เดี๋ยวผมรีบไปรีบมานะ" เขารับวัตถุดังกล่าวมาแล้วจึงเดินตรงไปที่ห้องเล็กๆลักษณะคล้ายห้องลองเสื้อ ด้านในเปิดประตูเข้าไปมีกระจกบานสูงขนาดเท่าตัวคนตั้งอยู่
ชายที่ถูกเรียกว่า 'วาเลนไทน์' ถอดหมวกฮู้ดดี้ออกให้ไปกองที่ด้านหลังเผยให้เห็นทรงผมสกินเฮดของเขา ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นมาแผ่มวลพลังงานสีฟ้าจางๆรอบฝ่ามือทั้งสอง แล้วจึงใช้นิ้วกลางสองข้างดึงเปลือกตาบนและล่างเอาไว้ก่อนจะจัดการถอดคอนแทคเลนส์ที่ตาข้างขวาออกมาอย่างชำนาญ
เมื่อคอนแทคเลนส์ถูกถอดออก นัยน์ตาข้างขวานั้นก็เผยให้เห็นสีที่แท้จริงของดวงตาซึ่งบัดนี้ส่องแสงสีฟ้าน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับสวยงาม
วาเลนไทน์จัดการกับข้าวของตัวเองเรียบร้อย แล้วจึงแกะสร้อยโลหะผูกติดกับจี้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เพิ่งได้รับออกมาเส้นหนึ่ง นำมาคล้างที่คอของตัวเอง
ทันทีที่คล้อยสายสร้อยลงไป ดวงตาสีฟ้าสุกสกาวของเขาก็พลันเปลี่ยนกลับมาเป็นสีน้ำตาลเข้มสีเดียวกันกับตาข้างซ้ายทันที! ชายหนุ่มมองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกอย่างพึงพอใจ ก่อนจะถอดสร้อยออกแล้วนำเอาสร้อยอีกเส้นหนึ่งมาลองสวมดูบ้าง และแน่นอนว่าผลลัพธ์ปรากฏเช่นเดิม เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับเขา
วาเลนไทน์ปล่อยสายสร้อยห้อยคอไว้เส้นหนึ่ง และเก็บอีกเส้นหนึ่งลงซองซิป ก่อนจะเดินออกไปหาชายสูงวัยที่รออยู่ที่เดิมอีกครั้ง
"โอเคครับคุณลุง นี่เงินตามที่ตกลงไว้ครับ" เขาเดินดุ่มๆไปวางซองเงินลงที่โต๊ะ ชายผู้รับนำมาเช็คจำนวนเงินเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ
"โอเคครับ เรียบร้อย ขอบคุณที่แวะมาอุดหนุนนะครับคุณวาเลนไทน์" เขายิ้มพริมใจพลางโค้งขอบคุณเล็กน้อย ในขณะที่ชายหนุ่มตรงหน้าเองก็โค้งรับเช่นเดียวกัน ก่อนจะเดินออกไปพร้อมของที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนมาเรียบร้อยด้วยท่าทีที่ยังคงดูนิ่งสงบเช่นเดิม