"โห พัฒน์ ดอกกุหลาบสวยเชียว เฮียซื้อให้เหรอ"
สวยที่ไหน ดอกกุหลาบออกจะเหี่ยวน่าเกลียด เสียงแง้ว ๆ ที่เคยคิดว่าน่ารักเหมือนแมวก็ฟังง็องแง็งน่ารำคาญ โก้ขึงตาใส่ทั้งคนถามและคนที่เดินมา เขาลุกเดินออกไปไม่รอคำตอบ
พัฒน์มองตามคนที่พึ่งผลุนผลันไป ในความสะใจแฝงความไม่สบายใจไว้ลึก ๆ แวบแรกแรงทิฐิทำให้คิดจะตอบว่า คนเดินมาด้วยซื้อให้ หากแต่เมื่อนึกถึงสายตาคนที่เดินไปเมื่อครู่ เขาจึงอธิบายอย่างตั้งใจ
"เปล่า ไม่ใช่ของเรา วันนี้มีแข่งโต้วาทีระหว่างคณะ ดอกไม้นี่ซื้อมาให้น้องที่แข่ง ตอนพูดก็จะให้แบ่ง ๆ กันเอาไปให้น้องเป็นกำลังใจ"
"เห็นถือมาด้วยกันแบบนี้ เราก็นึกว่าเฮียซื้อให้"
"มีคนซื้อให้ก็ดีน่ะสิ เฮียแค่ออกไปเป็นเพื่อนช่วยเลือก"
"ไม่บอก ถ้าพัฒน์อยากได้ เดี๋ยวเฮียออกไปซื้อให้"
ประธานคณะบอกแล้วจะเดินกลับออกไป อธิพัฒน์รีบดึงตัวไว้
"ไม่ต้องเลยเฮีย ไม่ต้องไปฟังไอ้วี มันพูดไปเรื่อย"
"ถ้าอยากได้เฮียซื้อให้ได้นะ"
"ไม่ต้องเลย เฮีย เปลือง หนูก็พูดไปงั้นแหละ "
พัฒน์หันมาขึงตามองวีระ หากคนโดนจ้องทำเป็นไม่สนใจแล้วบอก
"พรุ่งนี้มีแข่งบอลกลุ่ม จะมาเชียร์ไหม"
"เรื่องพรุ่งนี้ไว้ก่อน แต่วันนี้ถ้าว่างก็ไปดูน้องแข่งหน่อยนะ ชวนกันไปหลาย ๆ คนเลย จะได้มีคนช่วยกันเชียร์ ช่วยกันให้ดอกไม้น้องด้วย"
ท้ายประโยคเหมือนจะให้บอกผ่านไปยังบางคนให้รู้ว่า ดอกไม้เอามาให้รุ่นน้องจริง ๆ แล้วพัฒน์ก็รีบเดินกลับไปเพื่อเตรียมเวทีสำหรับกิจกรรมตอนเย็น
เมื่อพัฒน์กลับออกไปพร้อมเฮีย โก้จึงเดินกลับมาหาวีระ สีหน้าหงุดหงิดของคนที่เดินเข้ามา ทำให้วีระรีบบอกโดยไม่ต้องถาม เพื่อไม่ให้เรื่องราวผิดไปจนอาจพลาดในสิ่งที่ต้องการจากความสัมพันธ์นี้
"ดอกกุหลาบนั่น เฮียไม่ได้ซื้อให้พัฒน์"
สีหน้าที่ขึงตึงผ่อนลง สายตาที่มองมาคำถาม คนเล่าจึงอธิบายช้า ๆ
"ดอกกุหลาบนั่น เป็นดอกไม้ที่จะให้น้องที่จะแข่งโต้วาทีเย็นนี้ พัฒน์เขาว่า ตอนที่น้องแข่งจะให้ช่วยกันเอาไปให้น้องเป็นกำลังใจ เฮียแค่เดินไปซื้อเป็นเพื่อนพัฒน์ ไม่ได้ซื้อให้พัฒน์"
"ใครจะซื้อให้เขาเกี่ยวอะไรกับเรา"
แม้จะพูดเช่นนั้น หากความหงุดหงิดที่เห็นเมื่อครู่ก็ลดลงไปไม่น้อย
"แล้วนายนายจะไปดูน้องแข่งโต้วาทีไหม"
"ไม่ล่ะ ไม่ชอบ"
"พัฒน์ให้มาชวนนะ"
"ไม่เห็นบอกสักหน่อย"
"ทีงี้บอกเขาไม่มาชวนเอง พอกันเลยนายสองคน นายก็บอกพัฒน์ไม่ชวนมาดูโต้วาที พัฒน์ก็บอกนายไม่ชวนเขาไปเขาใหญ่ด้วย ตามสบายเหอะ ไปไม่ไปเราไม่เกี่ยวแล้ว"
ประโยคนั้นทำให้คนฟังฉุกคิด วีระบอกต่อ
"แต่น่าไปดูน้องแข่งนะ ครั้งนี้ พัฒน์เป็นโค้ชช่วยน้องเตรียมแข่ง ถ้าชนะเขาคงดีใจน่าดู ไม่ได้เป็นแค่กำลังใจให้น้องหรอก เป็นกำลังใจให้เขาด้วย"
"ดูก่อนล่ะกัน ถ้าว่างก็ไป"
โก้บอกแล้วเดินกลับไปที่สนามบอล วีระมองคนที่เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีต่างกับเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด สายตาเขาวาวขึ้นเมื่อเรื่องราวเป็นไปอย่างที่ต้องการ
"เสร็จซะที เฮ้อ เรากลับแล้วนะ"
หลังจัดเก็บสถานที่เรียบร้อย พัฒน์กับคณะกรรมการก็แยกย้ายกันกลับบ้าน กว่าจะเก็บอุปกรณ์จัดห้องเสร็จก็เกือบสองทุ่ม เดือนตุลาคม ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ ยิ่งตอนนี้มีนักศึกษาอยู่จนค่ำน้อยมากเพราะใกล้ช่วงสอบปลายภาค ยิ่งทำให้มหาวิทยาลัยดูเงียบเหงากว่าปกติ พัฒน์เลียริมฝีปากอย่างกระหายจัด ตั้งใจจะแวะซื้อน้ำ แต่พอเห็นซุ้มที่ขายน้ำปิดแล้ว หน้าใสผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง เขาหันกลับจะเดินออกไปทางประตูใหญ่
"น้ำ หิวไม่ใช่เหรอ"
คนตัวโตที่ยืนรออยู่แถวนั้นส่งแก้วน้ำอัดลมสีแดงให้ พัฒน์มองอย่างงง ๆ หากใจกลับเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ คนยืนรอทำท่าหงุดหงิดเมื่อเห็นคนที่ตั้งใจส่งน้ำให้ไม่รับ
"ไม่กินใช่ไหม รู้งี้ไม่ซื้อให้หรอก"
"กิน กิน ขอบใจนะ เรากำลังหิวน้ำเลย"
พัฒน์รับน้ำไปดูดอย่างกระหายจัด ทำไมวันนี้น้ำอัดลมหวานกว่าปกตินะ น้ำเย็นจัดทำให้ตาคนดื่มวาวเป็นประกาย พัฒน์มีความเคยชินอยู่อย่างคือ ชอบดื่มน้ำเย็นจัด ถ้าน้ำไม่เย็นต้องใส่น้ำแข็งถึงจะยอมกิน แล้วยังชอบดื่มน้ำอัดลม แทบจะเรียกได้ว่า ตั้งแต่รู้จักกันมา โก้ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายดื่มน้ำเปล่าธรรมดาเลย เขายิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีความสุขอย่างยิ่งกับสิ่งที่ให้ เขารู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วที่ยอมเสียเวลามารอจนถึงตอนนี้
ตอนที่มาดูน้องแข่งโต้วาที เมื่อเห็นพัฒน์แบ่งดอกกุหลาบให้เพื่อนช่วยกันเอาไปน้องที่แข่งขัน เขาก็รู้สึกว่า ดอกกุหลาบนั้นไม่น่าเกลียดเท่าที่เห็นตอนแรก ยิ่งหลังแข่งเสร็จ พัฒน์บอกให้เฮียไปส่งน้อง ๆ กลับบ้าน แล้วตัวเองอยู่ช่วยทีมงานเก็บเวที ความรู้สึกหนักหน่วงที่ทับอยู่ในใจก็หายไป จนตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าถามตัวเองให้ชัดเจนว่า ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น
ในของสวัสดิการสำหรับคนทำงาน เขาเห็นมีแต่ขวดน้ำไม่เย็นตั้งไว้ให้ ตอนดูอีกฝ่ายจัดสถานที่ก็มั่นใจว่า คนตัวเล็กไม่ได้ดื่มน้ำเลย เมื่อคิดว่ากว่าห้องจะเก็บเสร็จซุ้มน้ำคงปิดแล้ว เขาจึงรีบไปซื้อน้ำใส่น้ำแข็งก่อนที่ซุ้มน้ำจะปิดแล้วมาดักรอ เพราะรู้ว่า อีกฝ่ายต้องกลับบ้านทางประตูนี้
"ค่อย ๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักหรอก"
"ขอบคุณมากนะโก้ โอย...หิวน้ำจะตาย"
"หิวน้ำ แต่ไม่ยอมกินน้ำเปล่า"
"ก็เวลากินน้ำไม่เย็น มันผะอืดผะอมนี่"
เสียงสูงคงแง้ว ๆ หากตอนนี้คนฟังกลับรู้สึกว่า มันไม่น่ารำคาญเหมือนตอนเช้า ยิ่งเมื่อไม่ต้องระวังสายตาใคร คนสูงกว่าก็แกล้งยีหัวคนตัวเล็กเพื่อให้อีกฝ่ายโวยวายเสียงแง้ว ๆ กว่าเดิม
"อย่าเล่น ผมยุ่งหมดแล้ว"
แม้จะทำหน้างอหากก็ไม่ได้ปัดป้องห้ามจริงจัง พัฒน์มองคนที่รออยู่ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้คุยกันแบบนี้ ตั้งแต่เปิดเทอมแล้วกระมัง
"แล้วนายยังไม่กลับบ้านเหรอ"
"ถ้ากลับแล้วใครยืนอยู่นี่ หึ ผีหรือไง เห็นวีบอกมีคนชวนให้มาดูแข่งโต้วาทีก็เลยมา ถ้ารู้ว่าจะถามแบบนี้ ไม่มาหรอก"
"นายมาดูเหรอ แล้วนายอยู่ตรงไหน เราไม่เห็นนายเลย"
"เราอยู่ด้านหลัง นายเก่งนะ ซ้อมน้องจนชนะได้"
"น้องเขาเก่งอยู่แล้ว เราแค่เสริมนิดหน่อยเอง"
แม้พูดแบบนี้ หากตากลมโตก็มีความดีใจแวววามจนคนตัวสูงที่เห็นอดยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ สายตาของคนตัวเล็กแสดงความรู้สึกได้โดยไม่ต้องพูดเลย
"แล้วทำไมวันนี้นายกลับช้าล่ะ"
"จำได้ว่ามีคนไม่ชอบนั่งรถเมล์ดึก ๆ คนเดียว เลยว่าจะรอเป็นเพื่อน แต่สงสัยเราจะจำผิด"
อาจเพราะครั้งนี้ไม่มีใครอยู่ด้วย ทำให้โก้แสดงความห่วงใยได้อย่างไม่ต้องซ่อนเร้น คนฟังมองคนพูดอย่างแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ความตื้นตันเต็มล้นจนตาวาวเป็นประกาย ท่าทางแสนคุ้นเคยที่เห็น ทำให้โก้รู้สึกว่า เขาคงบ้าที่พยายามไม่เข้าใกล้อีกฝ่ายเพราะคำล้อเลียน
"ไป กลับบ้าน เดี๋ยวเรานั่งรถไปเป็นเพื่อน"
คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าแล้วเดินคู่คนที่รออยู่ออกจากมหาวิทยาลัย เมื่อกลับมาเรียนที่ท่าพระจันทร์แล้ว หลายครั้งที่กลับบ้านค่ำ โก้มักนั่งรถไปส่งพัฒน์ที่บ้านก่อน เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบนั่งรถเมล์ตอนค่ำคนเดียว แม้ว่าเขาจะต้องนั่งรถย้อนกลับบ้านอีกรอบก็ตาม
"เรานักกีฬา กลับดึกจนชินแล้ว นายแหละ ไม่ค่อยกลับดึก เราไปส่งก่อน"
หากตั้งแต่ปีสาม นี่เป็นครั้งแรกที่โก้ไปส่งเขาอีกครั้ง ความห่วงใยที่ได้รับคืน ทำให้ความเจ็บร้าวน้อยใจที่เคยรู้สึกเลือนหาย ทางเดินดูสว่างไม่เงียบเหงาเหมือนทุกวัน
"พัฒน์ ปิดเทอมไปเที่ยวเขาใหญ่กัน แล้วไปบ้านเราที่โคราชด้วย"
"ได้สิ ไปวันไหนล่ะ"
แค่คนชวนออกปากอธิพัฒน์ก็ตกลงทันที แต่พอโก้บอกวันที่จะเดินทาง พัฒน์ก็อึกอัก ท่าทางนั้นทำให้เสียงคนชวนเริ่มแข็ง
"ทำไม ไปไม่ได้เหรอ"
"ก็วันที่ไป มันตรงกับวันที่เรากลับจากค่ายระยองพอดี กรรมการนักศึกษาจัดประชุมโครงการ เราเป็นเลขาก็ต้องไปจดบันทึกการประชุม"
"กรรมการเยอะแยะ ให้คนอื่นทำแทนไม่ได้เหรอ"
"ไม่ได้หรอก อันนี้หน้าที่เรา ถ้าไม่ไป เฮียแย่เลย"
ชื่อนั้นทำให้คนฟังหน้าตึง
"เราเข้าใจแล้ว เพราะจะไปช่วยงานเฮีย นายเลยไม่ไปกับเรา"
"ไม่ใช่นะโก้ เราเป็นเลขา ไม่ว่าใครจะเป็นประธานเราก็ต้องไป ไม่ได้เกี่ยวกับเฮียเลย"
"อย่างว่า ไปกับเฮีย ประธานนักศึกษา ดูดีกว่าไปกับนักกีฬาอย่างเราอยู่แล้ว"
แม้จะเสียงแข็งประชด หากน้ำเสียงที่ปิดความผิดหวังไว้ไม่มิด ความชิดใกล้ที่พึ่งได้รับกลับมากลับกลายเป็นห่างเหิน ไม่คิดทบทวนใด ๆ พัฒน์ตัดสินใจทันที
"เอาอย่างนี้ได้ไหม พวกนายไปกันก่อน แล้ววันนั้น เราจะรีบกลับจากระยองแต่เช้า พอมาถึงกรุงเทพฯ เราจะไปหมอชิตแล้วตามไปเลย"
"นายจะตามไปยังไง เคยไปเหรอ"
"ไม่เคยหรอก แต่ไม่น่ายากนะ เอางี้นายบอกรายละเอียดไว้กับที่บ้านว่า พักที่ไหน แล้วจะให้ไปยังไง พอกลับจากระยอง เราจะโทรถาม แล้วก็ตามไปเลย"
คนตอบมั่นใจในสิ่งที่บอก หากคนฟังลังเล เขามั่นใจว่าพัฒน์ไม่รู้ว่าเขาใหญ่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่เดินทางสะดวก การตามไปคนเดียวไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ใจหนึ่งเขาก็อยากจะรอไปพร้อมกัน แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าเพื่อนถ้ารู้ว่า เขาไปช้าเพราะรออีกฝ่าย เขาก็ไม่กล้าจะทำอย่างที่คิด ครั้นจะให้อีกฝ่ายยกเลิกการไประยองก็รู้ว่าไม่ควรทำ เขาอดโมโหตัวเองไม่ได้ที่ไม่รีบชวนอีกฝ่าย
"มันไม่ได้ตามไปง่าย ๆ นะ"
"เอาน่า เราตามไปได้"
"แน่ใจเหรอ"
"แน่สิ เราอยากไปกับนายนะ อีกอย่าง นายเคยเห็นเราผิดคำพูดเหรอ เราตามไปแน่ ๆ จะได้ไปเที่ยวบ้านนายด้วย เราสัญญา"
"โอเค งั้นเดี๋ยวเราทิ้งรายละเอียดบอกไว้ แล้วนายตามมาล่ะกัน"
โก้พยักหน้า หากเขายังไม่มั่นใจเลยว่า คนตัวเล็กจะตามไปจริง ๆ การเดินทางขึ้นเขาใหญ่ในปี 2533 ไม่ใช่เรื่องง่าย หากทำได้แต่เพียง เชื่อมั่นในคำสัญญา
บ้านพักในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นบ้านไม้ยาว มีห้องน้ำห้าหกห้องอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าโล่งวางเตียงเรียงอยู่ทั้งสองฟาก แม้จะเจ็ดโมงเช้าแล้วแต่อากาศเย็นสบายทำให้แทบทุกคนยังคลุมโปงไม่ยอมตื่น โก้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่เตียงในสุด เขากำลังคิดว่าวันนี้จะไปเที่ยวที่ไหนที่ใกล้พอให้กลับมาถึงที่พักทันเที่ยง ในความเงียบมีเสียงเคาะประตูดัง ตอนแรกเขานึกว่าหูฝาด แต่สักครู่ เสียงเคาะประตูก็ดังกว่าเดิม คราวนี้เขามั่นใจแล้วว่า มีคนมาเคาะประตูจริง ๆ
"วี วี เปิดประตูหน่อย ดูสิใครมาเคาะ เจ้าหน้าที่หรือเปล่า"
เขาบอกวีระที่นอนด้านนอกสุดเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นแล้วเพราะเสียงเคาะ เขาคิดว่าน่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ถึงมาเคาะเรียกแต่เช้า วีระงัวเงียลุกไปเปิดประตู
"ใครครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ"
เสียงที่ยังไม่ตื่นทำให้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูหัวเราะ เสียงแหลมสูงที่เป็นเอกลักษณ์ดังไปทั้งบ้าน
"เราเอง พวกนายยังไม่ตื่นเหรอ"
พัฒน์เดินเขาเข้าไปในบ้าน วีระที่พึ่งตื่นหายงัวเงียทันที โก้เห็นคนที่วางแผนว่าจะไปรับมาถึงอย่างไม่คาดคิด เขาเด้งลุกจากเตียงพุ่งตรงมาหา
"พัฒน์ มายังไง ทำไมมาเช้าขนาดนี้"
"นั่นสิ ไหนโก้บอกว่า มีรถมาตอนเที่ยงไง ยังคิดอยู่ว่า ตอนนายมาจะกลับมารับทันไหม"
วีระเองก็อึ้ง หากคนพึ่งมาถึงอมยิ้มไม่ยอมตอบ แล้วเปลี่ยนเรื่องโดยการทวงถามของที่ฝากมา
"มาถึงแล้วก็แล้วกัน ว่าแต่เสื้อเราล่ะ โก้"
"หาย"
"หาย หายได้ไง"
เสียงแง้ว ๆ สูงขึ้น คนทำของหายบอกง่าย ๆ
"ก็วันที่นายเอาเสื้อมาฝาก เราวางไว้ที่โต๊ะแล้วออกไปกินข้าว พอกลับมาถุงเสื้อมันหายไปไหนไม่รู้ หายังไงก็ไม่เจอ"
"อ้าว แล้วเราจะใส่อะไรล่ะ เราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลยนะ มีแต่เสื้อที่ใส่ตอนอยู่ระยอง แล้วก็ยังไม่ได้ซักเลยด้วย โอ๊ย ทำไงล่ะ"
ตากลมโตตกใจ เสียงเริ่มกังวล โก้เอามือปิดปากคนที่เสียงเริ่มสูงขึ้น
"ฟังก่อน เราเอาเสื้อเรามาเผื่อให้แล้ว นายใส่เสื้อเราก่อนล่ะกัน"
โก้ไม่สบตาคนที่ยืนงงอยู่ เขาเดินไปที่กระเป๋า หยิบเสื้อสองสามตัวยื่นให้