เมื่อความเครียดพุ่งจนถึงขีดสูงสุด ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของชีฟ ก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าไปหมด ช้าแม้กระทั่งการจิ้มกดโทรศัพท์มือถือ คนขับรถของเจ้าสัวนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหาหมายเลขที่ตนต้องการ นิ้วแต่ละนิ้วที่จิ้มลงไป ล้วนอยู่ในสายตาของชีฟทั้งสิ้น
ภาพของแม่ภาพของน้องสาวภาพของครูน้ำตาล ภาพครอบครัวของเขาหลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่หยุด เขาแค่ต้องการชีวิตที่สุขสบาย ไม่เคยคิดจะมีเรื่องกับใคร ไม่เคยคิดทำร้ายใคร แต่ทำไมคนพวกนี้ต้องมาทำร้ายเขากับครอบครัวของเขาด้วย
คนขับรถเมื่อได้หมายเลขที่ต้องการ ก็นำโทรศัพท์แนบหู ชีฟที่เห็นดังนั้น ความขาดสติก็เข้าครอบงำทันที
แกร๊ก! ปัง!ปัง!ปัง! ปืนกลเบาที่ยึดมาได้แหวกออกมาจากช่องเล็ก ๆ แล้วรัวจนหมดแม็ก
มือธนูล่องหนหายตัวหลบไปอย่างรวดเร็ว ส่วนลูกน้องคนอื่นก็วิ่งหลบกันจ้าละหวั่น เมื่อเสียงปืนเงียบลง ทุกคนต่างพากันก้มมองร่างกายตัวเอง คนขับรถมองเจ้าสัวของตัวเองที่พยายามพาหลบมาอยู่หลังรถตู้ด้วยกัน กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้าศีรษะของเจ้าสัวเต็ม ๆ เท่านั้นยังไม่พอ ที่รถเบนซ์ยังเต็มไปด้วยรูกระสุน ชีฟไม่ได้ฆ่าแค่เจ้าสัว แต่ฆ่าลูกเมียของเจ้าสัวด้วย
ชีฟตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมและอำมหิตแบบสุดสุด
"คนจ่ายเงินพวกมึงตายแล้ว จะสู้ต่อก็ลองดู ถ้าใครแตะครอบครัวกู มึงจะมีกี่คนรัก กี่ครอบครัว กูจะตามฆ่าให้หมด"
มือธนูที่ล่องหนอยู่เดินไปที่รถเบนซ์ก่อนจะมองเข้าไปที่เบาะหลัง ทั้งคุณนายและคุณหนู ตามตัวของพวกเขามีเลือดอาบอยู่เต็มไปหมด และตอนนี้พวกเขาก็ไม่หายใจแล้ว ซึ่งก็เป็นจริงที่อีกฝ่ายพูด คนจ่ายเงินของพวกเขา ไม่เหลือเลยสักคน
มือธนูรีบวิ่งไปหาคนขับรถเพื่อดูว่าเจ้าสัวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และเมื่อไปถึง ก็พบว่าเจ้าสัวเสียชีวิตแล้วเช่นกัน
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ เมื่อมีคนรับสาย
"ว่าไง"
ในขณะที่คนขับรถกำลังจะพูด มือธนูก็จับไหล่ของคนขับรถแล้วปรากฏตัวออกมา
"อย่า ถึงข้าจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายสู้ข้าไม่ได้ แต่ถ้าวันนี้มันรอดไปได้ มันทำตามที่มันพูดแน่"
คนขับรถเถียงเล็กน้อย
"แต่เรายังมีลูกชายของเจ้าสัว"
"แล้วแกมั่นใจได้ไงว่ามันจะยอมจ่ายเงินให้กับคนที่ปล่อยให้พ่อแม่มันตาย ถึงจะจ่าย แต่ข้าจะไม่เสี่ยงกับความอำมหิตของไอ้เด็กนั่นเด็ดขาด"
"หมายความว่าไงที่พ่อแม่..."
มือธนูพยักหน้าให้อีกฝ่ายมองไปที่รถเบนซ์ที่มีแต่รอยกระสุน และตอนนี้ก็มีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด
"คุณนายกับคุณหนูตายแล้ว ตัดสินใจฆ่ายกครอบครัวแบบนี้ ใจมันต้องเหี้ยมพอตัว คนแบบนี้ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว"
คนขับรถหน้าซีด ก่อนจะกดตัดสายทิ้งไป แล้วรถตู้สีดำสองคันก็พากันขับจากไปอย่างรวดเร็ว
คุณพ่อที่มองเหตุการณ์ก็อึ้งกับการตัดสินใจของว่าที่ลูกเขยตัวเองเหมือนกัน คุณพ่อหันไปมองชีฟที่ตอนนี้ยังยืนเล็งปืนอยู่ในท่าเดิม แม้ว่าอีกฝ่ายจะพากันจากไปแล้ว ชีฟหายใจแรงจนตัวโยน ใบหน้าเครียดจัดและเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ จมูกและตาก็มีเลือดไหลซึมออกมา มือทั้งสองข้างที่จับปืนก็สั่นไม่หยุด
"ชีฟ ส่งปืนให้พ่อนะ"
คุณพ่อค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับปืนแล้วดึงออกจากมืออีกฝ่ายอย่างช้า ๆ เมื่อปืนหลุดมือ ชีฟก็ล้มลงไปนอนกับพื้นทันที
ณ ห้องนอนที่แสนคุ้นเคย ชีฟลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของตัวเอง โดยข้าง ๆ เขานั้นมีครูน้ำตาลนอนกอดเขาเอาไว้ ชีฟลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แต่การลุกขึ้นของเขาก็ทำให้ครูน้ำตาลตื่นขึ้นมาด้วย
ครูน้ำตาลสวมกอดชีฟอย่างแนบแน่นพร้อมกับมีเสียงสะอื้นไห้
"ชีฟ"
ชีฟที่ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่กอดตอบแล้วลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยน ชีฟมองครูสาวที่กอดเขาก็แอบแซวเล่นขำ ๆ
"กอดนาน ๆ แบบนี้เดี๋ยวผมก็หื่นอีกหลอก"
ครูน้ำตาลที่เห็นแฟนของเธอยังไม่ตาย เธอก็มีแต่ความสุข
"อื้อ หื่นก็หื่น เธอหื่นทุกเช้าค่ำอยู่แล้วนี่"
"ว่ากันแบบนี้ต้องปล้ำให้เข็ด"
ชีฟดันครูน้ำตาลออก แล้วจับอีกฝ่ายให้นอนลงบนเตียง
พรวด อีฟที่ได้ยินเสียงคนคุยกับก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะตะโกนอย่างดีใจ
"แม่ คุณลุง คุณน้า พี่ชายฟื้นแล้ว"
ชีฟตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างขัดใจ
"อีฟ!"
ตอนที่ชีฟสลบไป พ่อของครูน้ำตาลก็แบกชีฟไปขึ้นรถ แล้วพากลับมาที่บ้าน ก่อนจะนำใบแห่งการรักษาไปบดแล้วให้ลูกสาวนำมาป้อนให้กับชีฟ
ชีฟสลบไปเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ ซึ่งพอตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงของอีกวันแล้ว
หลังจากโดนยัยน้องสาวตัวแสบขัดจังหวะ ทั้งสองก็พากันออกมาจากห้อง แล้วมาร่วมรับประทานอาหารในครัวหลังบ้านกับคนอื่น ๆ
เมื่อกำลังรับประทานอาหารทีวีที่พวกเขาเปิดอยู่ก็ได้รายงานข่าวการตายของเจ้าสัวคนหนึ่ง เสียงนักข่าวสาวที่หวานใสก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้น
"ข่าวด่วน เจ้าสัวอันดับสี่ของรัฐไทย ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับลูกสาวคนเล็กและภรรยา"
นักข่าวหยุดพักหายใจเพื่อรอให้ทีมงานนำภาพข่าวขึ้นมา ก่อนจะรายงานต่อ
"เวลาสิบแปดนาฬิกาสามสิบห้านาที ชาวบ้านคนหนึ่งพบเจอกับรถหรูสีดำและคราบเลือดจำนวนมาก ด้วยความตกใจ เขาจึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรวดเร็ว จากรายงานของเจ้าหน้าที่ ในบริเวณดังกล่าวได้พบเจอกับศพสี่ศพ ซึ่งสามศพที่เจอนั้นจากการตรวจสอบ ก็พบว่าเป็นเจ้าสัวธนะชัย เจ้าสัวที่รวยเป็นอันดับสี่ของรัฐในตอนนี้ โดยที่อีกสองศพคือลูกสาวคนเล็กและภรรยา และศพสุดท้ายก็เป็นนักรบสกิลที่เป็นบอดี้การ์ดของเขา และสาเหตุการตายนั้นคาดว่าน่าจะมาจากบาดแผลถูกยิงบนร่างกาย ซึ่งในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเก็บรวบรวมหลักฐานเพื่อหาว่าใครคือคนร้ายกันแน่
ส่วนทางด้านลูกชายคนโตของเจ้าสัวนั้น เมื่อทราบข่าวการตายของครอบครัว ก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกมาพบปะหรือพูดคุยกับใคร"
ติ๊ด สัญญาณหนึ่งดังขึ้นก่อนที่นักข่าวจะรีบพูด
"ตอนนี้ทีมงานภาคสนามได้รายงานดิฉันมาว่า นายวรเวธลูกชายคนโตของเจ้าสัว ได้เดินออกมาให้สัมภาษณ์แล้วค่ะ"
จากนั้นภาพก็ตัดไปที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีประตูรั้วใหญ่โต และมีชายหนุ่มสวมสูทรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่งเดินออกมายืนที่หน้าประตูรั้ว พร้อมกับบอดี้การ์ดอีกหลายคน
เหล่านักข่าวต่างพากันกรู่เข้าไปเพื่อสัมภาษณ์ลูกชายคนโตของเจ้าสัว เหล่าบอดี้การ์ดรีบวิ่งมาดันประตูรั้วเอาไว้ เมื่อเห็นว่านักข่าวพากันดันเข้ามาจนประตูรั้วทำท่าจะพัง
เมื่อสามารถเข้าใกล้ตัวลูกชายของเจ้าสัวได้ เหล่านักข่าวก็ยิงคำถามชุดใหญ่ใส่ทันที
"คุณวรเวธคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไงคะ"
นายวรเวธตอบพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
"เสียใจครับ เสียใจมาก ครอบครัวของผมไปทำอะไรให้ ทำไมถึงต้องทำกันขนาดนี้"
"แล้วทราบมั้ยครับว่าใครคือคนร้าย"
"ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ แต่ผมเชื่อมั่นในฝีมือเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย ว่าจะต้องหาตัวเจอในไม่ช้าก็เร็ว"
"เหตุการณ์นี้ใช่เรื่องบาดหมางของคุณพ่อกับบริษัทคู่แข่งมั้ยคะ"
"ข้อนี้ผมไม่ทราบครับ เพราะธุรกิจที่คุณพ่อดูแลกับธุรกิจที่ผมดูแลนั้นเป็นธุรกิจคนละอย่างกัน"
"แล้วถ้าเจอคนร้าย คุณวรเวธจะทำยังไงครับ"
"ใจจริงผมอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย แต่คนเราต้องยึดมั่นในกฎหมาย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความยุติธรรมครับ"
"ตอนนี้คุณวรเวธมีอะไรจะฝากถึงคนร้ายมั้ยคะ"
"มีครับ ผมอยากขอให้เขามอบตัวเถอะครับ โทษหนักจะได้เป็นเบา"
นักข่าวต่างพากันพึมพำอย่างชื่นชม
"นิสัยดีอ่า โดนทำขนาดนี้แล้วยังรู้จักให้อภัย" "ถ้าเป็นเราคงแค้นเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว" "ไอ้คนร้ายนี่มันชั่วจริง ๆ ทำไมกับครอบครัวของคุณวรเวธได้ลงคอ"
แต่ในขณะที่ทิศทางของกระแสกำลังไหลไปเข้าข้างนายวรเวธ นักข่าวคนหนึ่งก็ถามขึ้น
"จริงมั้ยครับ ที่มีคนร้องเรียนไปทางองค์กรยุติธรรมแห่งโลก ว่ามีคนพยายามบังคับให้แฟนหนุ่มของเขาโยกย้ายสกิลไปให้น้องสาวของคุณ"
นายวรเวธตอบสวนกลับอย่างรวดเร็ว
"ไม่จริงเลยครับ พ่อแม่ของผมไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่มีสกิลก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ครอบครัวเรารวยอยู่แล้ว พวกเราไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน"
เมื่อฟังจบ นักข่าวคนนั้นก็แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น
"ผมยังไม่ทันได้บอกเลยครับว่าพ่อแม่ของคุณเป็นคนทำ"
นายเวธชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตอบแก้ตัว
"คุณถามผมมาแบบนี้ผมก็ต้องคิดว่าเป็นพ่อแม่ผมอยู่แล้ว ผมมีธุระด่วน ผมขอตัว"
จากนั้นนายวรเวธก็หันหลังแล้วเดินกลับเข้าบ้านหลังใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงเรียกของนักข่าวคนอื่น ๆ เลย
นักข่าวชายที่เป็นเจ้าของคำถามสุดท้ายยิ้มอย่างได้ใจที่เขาทำให้ไอ้ผู้ดีจอมปลอมหน้ากากหลุดออกมาได้ นักข่าวคนนั้นมองซ้ายมองขวาแล้วรีบล่องหนหายไปจากบริเวณดังกล่าว