กระทรวงแพทยา เคยเป็นกระทรวงหนึ่งในสมัยโบราณมีหน้าที่ ชำระคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด หรือการก่อกวนวิญญาณของคนตาย ปัจจุบันกระทรวงนี้หายไปไหน??
ณ ลานสำเร็จโทษ
ลานสนามกว้างล้อมรอบด้วยรั้วไม้เตี้ยๆ มุมซ้ายสุดของสนามมีบัลลังก์ที่นั่งยกสูง ตรงกลางสนามมีเสาไม้ปักอยู่ แต่เสาไม้ไม่ได้ปักอยู่เพียงอย่างเดียว มีนักโทษชายวัยกลางคน ถูกมัดติดอยู่กับเสาไม้ เขานุ่งผ้าสีอิฐ ไม่ใส่เสื้อ เผยให้เห็นรอยสักมากมาย มีเพียงในดวงตาที่ไม่มีร่องรอยของการสัก
ชาวบ้านมากมายต่างมามุงอยู่รอบๆ นอกรั้วเพื่อดูการสำเร็จโทษ
ปกติการสำเร็จโทษก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่ในวันนี้เป็นการสำเร็จโทษของกรมแพทยา ที่ไม่มีให้เห็นบ่อยนัก
ชายชราในชุดราชการเต็มยศเดินขึ้นมาสู่บนบัลลังก์ หนวดยาวถูกตัดเล็มอย่างเรียบร้อย รอยย่นบนใบหน้าบ่งบอกถึงการใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน แววตาดุดันไร้ความเมตตา
"คุณไสยมนต์ดำ ถือเป็นเดียรัจฉานวิชา สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ถูกทำใส่ ยิ่งทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และยังสะกดวิญญาณอีก ความผิดมหันต์นัก เพื่อไม่ให้มีผู้เอาเยี่ยงอย่าง ข้าเจ้ากรมแพทยาขอตัดสินโทษประหาร 7 ชั่วโคตร"
หลังจากที่คำตัดสินออกมา นักโทษชายผู้นั้นกลับหัวเราะ ไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือสำนึกผิดแต่อย่างใด
เพชฌฆาต ถือดาบยาวและเริ่มรำดาบ หลังจากร่ายรำและควงดาบไปมาสักพัก เขาก็ใช้ดาบยาวบั่นลงไปที่คอของนักโทษ แต่กลับฟันไม่เข้า
นักโทษผู้นั้นยังคงหัวเราะไม่หยุด ท่านเจ้ากรมหันหยิบดาบยาวที่วางอยู่ด้านข้าง เดินลงมาจากบัลลังก์
"กับอีแค่มหาอุด มึงคิดว่ากูแก้ไม่ได้รึ" หลังจากท่านเจ้ากรมพูดจบ ก็ชักดาบออกมา ดาบยาวสีเงินสะท้อนแสงอาทิตย์ ใบดาบลงอักขระมากมาย ปลายด้ามจับมีเพชรสีแดงเม็ดใหญ่ฝังอยู่
ท่านเจ้ากรมสวดคาถาและเป่าลงไปที่ใบดาบ ดาบยาวส่องแสงสีทองสว่าง ชาวบ้านมากมายต่างแซ่ซ้องเสียงดัง บางคนก้มลงกราบที่พื้น ในขณะที่ท่านเจ้ากรมง้างดาบกำลังจะบั่นคอนักโทษ
"กูจะตามจองเวรมึงจนชั่วลูกชั่วหลาน" นักโทษชายหันมาพูดด้วยแววตาอาฆาตแค้น
'ฉับ' ดาบยาวบั่นคอ จนขาดกระเด็น แต่สิ่งที่น่าตกใจคือเลือดของนักโทษที่สาดกระเซ็นกลับกลายเป็นสีดำ
หัวของนักโทษคนนั้นกลิ้งไปประมาณ 3 ก้าว ดวงตาเบิกโพลงไปด้วยความอาฆาตแค้น
หลังจากนั้นก็มีตะขาบตัวใหญ่ออกมาจากปาก แล้วมุดลงดินไป....
ปัจจุบัน
แสงแดดยามเช้าอันสดใสมันสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง... ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงขันของไก่ แต่ไม่ใช่ไก่ที่ผมเลี้ยงหรอกนะครับ เป็นเสียงของไก่ป่า มันมาขันปลุกผมทุกเช้าถึงผมจะหงุดหงิดแต่ผมก็ต้องลุกขึ้น กิจวัตรประจำวันของผมคือการตื่นมา กิน ออกไปเล่น แล้วก็กลับมานอน พวกคุณอาจจะคิดว่าผมก็แค่เด็กขี้เกียจคนหนึ่ง ไม่เอาไหน ไม่ไปโรงเรียน แต่ผมก็อยากให้เข้าใจหน่อยเพราะสิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงเท่านี้
ผมชื่อ พนา เป็นเด็กชายที่โตมาในป่า อยู่คนเดียวในกระท่อมเล็กๆ เล็กแบบเล็กจริงๆ มีแค่หลังคาและผนังกั้น 4 ด้าน มีระเบียงเล็กๆ ให้นั่งชมนกชมไม้ กระท่อมนี้ยกสูงนิดหน่อยเพื่อกันพวกแมลงมีพิษ ผมมีลุงๆ ป้าๆ สัตว์ป่าคอยดูแล จริงๆ เมื่อก่อนผมอยู่กับพ่อและแม่ของผม แต่พวกท่านตายไปตอนผม 10 ขวบ ตอนนี้ผมก็เลยเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้
วันนี้ผมก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม คือออกมาหาเก็บผลไม้ในป่ากิน แล้วก็เล่นโหนเถาวัลย์กับพวกลิงป่า เสร็จแล้วก็มานอนเล่นใต้ต้นไม้ แต่วันนี้มันไม่เหมือนวันอื่นๆ อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียง 'โฮกกกก' ดังมาจากอีกฝั่งของป่า หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังสนั่น เหล่าสัตว์ต่างตกใจวิ่งไปมา ผมรีบวิ่งไปดู
ภาพที่เห็นคือเสือโคร่งตัวใหญ่กำลังนอนจมกองเลือด มีผู้ชายสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งใส่กางเกงยีนเสื้อยืดสีขาวและมีเสื้อคลุมลายพรางใส่ทับ อีกคนหนึ่งใส่กางเกงขายาวสีดำเสื้อยืดสีเขียวสะท้อนแสงแขนยาว
คนหนึ่งกำลังอุ้มลูกเสือน้อยและเอาไปใส่กรง อีกคนหันปากกระบอกปืนไปทางแม่เสือ ผมไม่มีความรู้เรื่องปืน แต่ที่รู้คือปืนนั้นเป็นปืนยาวคงเป็นปืนที่ใช้สำหรับล่าสัตว์ คนพวกนี้ไม่ใช่กลุ่มแรกที่เข้ามาในป่านี้
ผมโกรธมาก เพราะแม่เสือตัวนี้คือเสือที่คอยดูแลผม เธอจะชอบออกไปล่าพวกกระต่าย หรือไก่ป่า แล้วเอามาให้ผม ตอนนั้นหัวผมขาวโพลน รู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิในหัวมันสูงขึ้น (ใช่ครับ นี่คืออาการหัวร้อน)
ผมพุ่งตัวเข้าใส่คนที่ถือปืน ผมทั้งต่อย ทั้งกัดแขนเพื่อแย่งปืนมา ชายอีกคนชักปืนสั้นออกมาเล็งมาที่ผม แต่ก็มีเงาดำลงมาจากท้องฟ้า นั่นคือฝูงของอีกา มันร้องโวยวาย รุมจิกตีชายคนนั้น ส่วนชายอีกคนที่ล้มอยู่ ตอนนี้เขาลุกขึ้นกำลังจะวิ่งหนีแต่ยังไม่ทันได้วิ่งเขาก็ต้องชะงัก เพราะตรงหน้าเขาตอนนี้ มีหมีควายตัวใหญ่ยืนขวางอยู่
หมีควายคำรามและตบไปที่คอของเขา เลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่ว ส่วนชายอีกคนที่พยายามไล่อีกา ทั้งใช้มือปัด ทั้งใช้ปืนยิง แต่ก็ไม่เข้าเป้าเพราะตอนนี้ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยเลือด และดวงตาของเขาก็ไม่มีลูกกะตาแล้ว เขาพยายามวิ่งหนีด้วยตาที่มืดบอด จนไปสะดุดกับก้อนหินแล้วก็ล้มลง ซึ่งที่พื้นมีเม่นตัวใหญ่หันเอาหนามตั้งรอไว้ ชายคนนั้นร่วงลงไปทับ ขนของเม่นแทงทะลุหลายจุด ทั้งหน้าอก ท้อง และลำคอ
จริงอยู่ครับภาพตรงหน้าอาจจะดูสยดสยองไปหน่อย แต่มันก็คือการลงโทษจากธรรมชาติ หรือก็คือเวรกรรมนั่นแหละครับ เหล่าสัตว์ปกติจะทำร้ายกันก็ต่อเมื่อมันต้องล่าหาอาหารซึ่งเป็นการดำรงชีวิตของพวกมัน แต่ผิดกับมนุษย์ที่เที่ยวทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นหรือทำร้ายกันเอง ด้วยเหตุผลจากกิเลส ทั้งอยากได้เงินทอง ลาภยศ อำนาจ
ผมรีบวิ่งไปดูแม่เสือ ที่ตอนนี้หายใจรวยริน ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนกับผมกำลังจะเสียคนในครอบครัวไป เพราะเสือตัวนี้คอยอยู่ใกล้ๆ คอยหาอาหารมาให้ ตั้งแต่สมัยที่พ่อแม่ผมเพิ่งเสีย และไม่นานเจ้าเสือก็หมดลมหายใจไป ผมร้องไห้กอดศพของเสือตัวนั้น
"หยุดร้องเถอะ มันตายแล้ว" เสียงดังมาจากด้านหลัง เป็นเสียงที่ผมรู้จัก เมื่อหันไปก็เห็นชายชรานั่งอยู่บนโขดหินใกล้ๆ ท่านคือผู้ปกครองป่านี้
บางคนเรียกเจ้าที่ บางคนเรียกเจ้าป่าเจ้าเขา แต่ผมเรียกท่านว่าพ่อปู่
พ่อปู่เป็นเทพแห่งป่า ท่านไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน บางครั้งท่านก็มาในร่างของชายชรา ชุดขาว บางครั้งท่านก็มาในร่างของสัตว์ป่า เสือ สิงโต หรือช้าง ท่านเป็นผู้ที่ดูแลผมตั้งแต่วันที่พ่อแม่ของผมจากไป
ผมยังไม่ได้เล่าใช่ไหมครับ ว่าพ่อแม่ตายเพราะอะไร เหตุการณ์ในวันนั้นผมไม่เคยลืม มันเป็นเรื่องที่ใหญ่โตร้ายแรง เกินกว่าเด็ก 10 ขวบ จะรับไหว