webnovel

คิดไปเอง

บทที่ 15 คิดไปเอง

เมื่อเห็นอัศวินรับคำสั่งจากไปแล้ว โรแลนด์ก็กลับมานั่งข้างโต๊ะอีกครั้ง “เจ้ารักษาสัตว์ตัวเล็กๆ ได้ เหตุใดจึงคิดว่าแม่มดเป็นสิ่งชั่วร้ายเล่า”

“เพราะอาจารย์บอกหม่อมฉันว่า แม่มดสามารถทำเรื่องที่คนธรรมดาทำไม่ได้ บางครั้งอาจดูไม่ชั่วร้าย แต่จริงๆ แล้วเป็นกับดับที่ปีศาจวางไว้เพื่อหลอกล่อคนให้มาเป็นแม่มดเพิ่มขึ้น...” เสียงของสาวน้อยเบาลงไป “แต่หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เคยเห็นปีศาจจริงๆ นะเพคะ หม่อมฉันสาบานได้”

“เจ้าย่อมไม่เคยเห็นอยู่แล้ว เพราะนั่นคือคำลวงของศาสนจักร อาจารย์ของเจ้าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกหลอกลวงเช่นกัน” โรแลนด์ปลอบ

“ศาสนจักรหลอกพวกเราหรือเพคะ” นาน่าอ้าปากค้าง “เพราะเหตุใด”

โรแลนด์ส่ายหน้า ไม่ได้อธิบายอะไร ต่อให้เขาพูดไป พวกนางก็ไม่มีวันเข้าใจ ในยุคที่ความเจริญยังพัฒนาได้ไม่ถึงระดับที่น่าพอใจ เรื่องราวประเภทนี้มักปรากฏให้เห็นเสมอ ต่อให้ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ มาจูงใจ มนุษย์ก็ยังคิดว่าภัยธรรมชาติ ภัยมนุษย์ ตลอดจนปรากฏการณ์​ที่ยากจะเข้าใจเหล่านี้ เป็นฝีมือของสิ่งเหนือธรรมชาติที่ตัวเองจินตนาการขึ้นเองอยู่ดี...ดูจากประวัติศาสตร์เอาก็ได้ ผู้หญิงมักถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของหายนะทั้งนั้น

และในโลกนี้ เมื่อแม่มดได้ครอบครองพลังอันไม่ปรากฏที่มาแล้ว ก็ย่อมกลายเป็นเป้าโจมตีของศาสนจักรไปอย่างง่ายดาย แค่คิดก็เดาได้แล้ว ศาสนจักรไม่มีทางปล่อยให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดนี้ขึ้นโดยไม่ทำอะไรแน่ หากไม่ยกฐานะแม่มดขึ้นเป็นนักบุญโดยอ้างว่าเป็นบัญชาของพระเจ้า ก็ต้องไล่ล่าแม่มดโดยอ้างว่าพวกเธอเป็นทูตของปีศาจ ทว่า หากพวกเขาเลือกทางแรก ความศักดิ์สิทธิ์ของเอกเทวนิยมก็จะถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง...เพราะการปรากฏตัวของแม่มดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับศาสนจักร และหากศาสนจักรอื่นที่นับถือพระเจ้าองค์อื่นก็ยกแม่มดขึ้นเป็นนักบุญเหมือนกัน ทุกคนก็จะกลายเป็นคนที่พระเจ้าเลือก อย่างนั้นพระเจ้าของใครจึงจะเป็นพระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวกัน

ส่วนพหุเทวนิยมนั้นคงอยู่ได้ก็เพราะสมมติฐานที่ว่าพระเจ้ามีหลายองค์ และแต่ละองค์มีอำนาจควบคุมกันได้ แต่ในเมื่อพระเจ้าไม่มีอยู่จริง ทว่าเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ตั้งขึ้นลอยๆ เท่านั้น แล้วเหตุใดจึงต้องยอมให้อีกฝ่ายมาร่วมแบ่งปันโลกนี้ด้วยเล่า ดังนั้น เอกเทวนิยมใดๆ ก็ตามก็จะประกาศว่าพระเจ้าที่ตนนับถือคือพระเจ้าที่แท้จริง คนที่นับถือศาสนาอื่นจะต้องถูกกำจัดทิ้งสถานเดียว ทีนี้พวกเขาก็จะเลือกทางหลังเช่นเดียวกัน คือไล่ล่าแม่มดอย่างสุดความสามารถ

เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความชอบหรือเกลียดใดๆ แต่เกี่ยวกับผลประโยชน์โดยเฉพาะ

ทางห้องครัวเตรียมไก่เป็นๆ ไว้แล้ว ตอนที่อัศวินหิ้วปีกมันเข้ามานั้น มันยังดิ้นกระโดดไปมา

เหตุการณ์ต่อมาทำให้นาน่าถึงกับตะลึงตาค้าง โรแลนด์หยิบมีดสั้นสีเงินออกมาจากเอว ให้อัศวินจับไก่ไว้แล้วแทงมัน เสร็จแล้วก็ให้นาน่ารักษา พอมันหายดีแล้วก็ทดลองด้วยวิธีอื่นๆ ต่อ...ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

จนกระทั่งไก่ซึ่งถูกทรมานอยู่ครู่ใหญ่ตายลง โรแลนด์จึงพอเข้าใจพลังของนาน่าอย่างคร่าวๆ

เธอทำให้ส่วนที่ได้รับความเสียหายกลับมาเป็นปกติได้ ไม่ว่าจะเป็นแผลฉีก กระดูกหัก หรือรอยถลอกฟกช้ำ ทว่าถ้าหากส่วนนั้นๆ ขาดหายไป เช่น หากไก่ถูกฟันขาขาด เธอจะไม่สามารถทำให้ขาของมันงอกออกมาใหม่ได้ แต่ถ้าหากเอาขาท่อนที่ถูกฟันขาดไปมาต่อ เธอจะสามารถเชื่อมบาดแผลให้หายดีดังเดิมได้ และสุดท้าย เธอไม่สามารถชุบชีวิตได้ หากไก่ตายไปแล้ว การรักษาใดๆ ก็ไร้ประโยชน์

ตลอดขั้นตอนการรักษา โรแลนด์ไม่เห็น ‘น้ำเหนียวๆ’ อย่างที่เธอบรรยายไว้ เธอเพียงแต่วางมือลงบนบาดแผลบนตัวไก่อย่างง่ายๆ แล้วบาดแผลนั้นก็สมานกันได้ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากการทดลองครู่ใหญ่ นาน่าเสียแรงไปไม่มาก อย่างน้อยก็ไม่มีเหงื่อท่วมหัวเหมือนตอนที่อันนาฝึก

นาน่าเป็นคนเดียวที่ไม่พอใจการทดลองนี้ เธอรู้สึกว่ามันโหดร้ายกับไก่เกินไป จึงเอาแต่บุ้ยปากจ้องโรแลนด์จนจบการทดลอง

“เอาน่า เลิกจ้องข้าได้แล้ว มากินขนมกันดีกว่า” โรแลนด์เห็นอย่างนั้นก็ใช้อุบาย ‘ชายามบ่าย’ มาเบนความสนใจเธอ ลูกไม้นี้ใช้ได้ดีกับอันนาเสมอ เขาคิดว่าคงมีเด็กผู้หญิงในวัยนี้ไม่กี่คนที่ปฏิเสธความเย้ายวนของขนมหวานได้ และเรื่องจริงก็พิสูจน์แล้วว่า เมื่อเผชิญหน้ากับขนมหน้าตาน่ากินพวกนี้ นาน่าก็ไม่ได้ควบคุมตัวเองได้ดีไปกว่าอันนาเลย

โรแลนด์เรียกคนไปส่งนาน่าหลังจากกินขนมเสร็จ อันนาถามเขาอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงรั้งนางไว้เพคะ นางก็เป็นแม่มดเหมือนกัน”

“นางยังมีครอบครัวอยู่ และครอบครัวของนางก็ยังไม่รู้ว่านางเป็นแม่มด”

อันนาพึมพำเสียงเบา “รอแค่เวลาสินะ”

“ถูกต้อง แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น” โรแลนด์ถอนหายใจ “ดังนั้นหากจะช้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้า...คิดถึงพ่อบ้างหรือไม่”

เธอส่ายหน้า ดวงตาที่สงบนิ่งราวกับผิวน้ำทะเลไม่ปรากฏระลอกคลื่นแม้แต่น้อย ดูท่าแล้วการถูกพ่อตัวเองหักหลังคงทำให้เธอผิดหวังอย่างรุนแรง แต่ว่าต่อให้เธอไม่มีคนในครอบครัว เธอก็ยังมีเพื่อนได้

“นาน่าจะมาที่นี่บ่อยๆ ความจริงแล้ว ข้าตั้งใจจะให้นางมาฝึกพลังที่นี่ทุกๆ สองวัน”

พอได้ยินดังนั้น เธอก็กะพริบตาแล้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“เจ้าอยากกลับไปที่โรงเรียนของคาร์ลเหมือนนางหรือไม่ ไปเรียนหนังสือกับเด็กคนอื่นๆ”

อันนาไม่ตอบ แต่เขารู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายแล้ว

“อีกไม่นานหรอก...ตราบใดที่ข้ายังอยู่ พวกเจ้าจะต้องได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา ไม่ว่าจะเดินไปไหนจะต้องไม่มีใครมาจับตัวพวกเจ้าหรือส่งพวกเจ้าไปแขวนคอ วันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน” โรแลนด์เน้นทุกคำทุกประโยค “ข้ารับรอง”

********************

นับตั้งแต่คาร์ลรับผิดชอบดูแลงานก่อสร้างเป็นต้นมา เจ้าชายโรแลนด์ก็มีเวลาว่างมากขึ้น

ทุกๆ บ่าย เขาจะอยู่ดูอันนาหรือนาน่าฝึกพลังในสวนดอกไม้ของปราสาท เวลานี้ เขาไม่จำเป็นต้องเตรียมชุดสำรองให้อันนาแล้ว ต่อให้เปลวไฟผุดขึ้นมาจากทุกนิ้ว เธอก็ยังควบคุมมันได้อย่างชำนาญ และไม่เผลอทำหมวกตัวเองไหม้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

นาน่าเองก็เปลี่ยนเป็นชุดแม่มดแบบเดียวกัน แม้เธอจะไม่ค่อยเต็มใจฝึกนัก แต่เพราะเห็นแก่ชายามบ่าย จึงยอมเบะปากฝึกอย่างไม่มีทางเลือก โรแลนด์มองดูแม่มดสองคนเดินวุ่นไปทั่วสวน รู้สึกพออกพอใจเป็นการส่วนตัว

เขาไปดูงานก่อสร้างที่เนินเขาทิศเหนือบ้างบางครั้ง หลังจากเริ่มก่อสร้างไปแล้วสองสัปดาห์ กำแพงเมืองก็สร้างเสร็จไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร ในยุคที่ยังไม่มีอุปกรณ์การวัดต่างๆ คาร์ลให้พวกช่างใช้ท่อนไม้ในการกำหนดระยะห่างและความเรียบเสมอกันโดยอาศัยเงาจากแสงอาทิตย์ในเวลาเดียวกันของทุกวัน โดยทุกๆ สิบไม้จะตั้งหอสังเกตการณ์ขึ้นหนึ่งแห่ง เป็นการเสริมความมั่นคงให้กำแพงเมือง

การใช้แรงงานคนจำนวนมากครั้งนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของพวกขุนนางในเมือง ทว่านอกจากไปถามความจากบารอฟแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก ราวกับเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา โรแลนด์เองก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ทรัพย์สมบัติของคนพวกนี้อยู่ที่ป้อมปราการลองซองทั้งนั้น พวกเขาไม่มีวันอยู่ช่วยเขาป้องกันเมืองชายแดนแน่นอน เขาถึงขั้นจินตนาการภาพขุนนางพวกนี้กำลังจับกลุ่มหัวเราะเยาะเขาว่าไม่รู้จักประมาณกำลังตัวเองได้ด้วยซ้ำ

ไม่เพียงแต่พวกขุนนางเท่านั้น พวกพ่อค้าก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน บรรดาพ่อค้าเร่ที่รับซื้อขนสัตว์จากเมืองชายแดนเป็นประจำเห็นว่ารอบนี้ไม่มีของให้ซื้อ ก็เริ่้มทยอยเดินทางกลับป้อมไป ส่วนพวกที่กลับไปมือเปล่าพร้อมความไม่พอใจก็ย่อมโยนความผิดทั้งหมดให้โรแลนด์ ผู้ปกครองเมืองชายแดนคนปัจจุบัน เรื่องโง่เขลาเบาปัญญาอย่างการก่อสร้างครั้งยิ่งใหญ่ตอนใกล้จะถึงเดือนแห่งปีศาจของโรแลนด์ วิมเบิลดัน เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งเกรย์คาสเซิลได้แพร่กระจายไปตามแม่น้ำแดง

ตอนนี้คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะรักษาเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้ คนส่วนใหญ่ไม่แม้แต่จะคิดว่าเขาจะกล้าทำด้วยซ้ำ อย่างไรเสียภาพของเจ้าชายในสายตาทุกคนก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการรบทัพจับศึกอยู่แล้ว ไม่ว่าเวลานี้เขาจะเล่นพิเรนทร์อะไร สุดท้ายก็ต้องลี้ภัยไปที่ป้อมอยู่ดี

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนเหล่านี้ โรแลนด์ก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวเป็นครั้งแรกหลังจากย้อนเวลามา

........................................

Nächstes Kapitel