แม่ตื่นเช้ามากเพราะต้องเตรียมอาหารเอาไว้ให้น้องและพ่อเลี้ยง โชก็ได้ช่วยแม่ของเขาทำให้งานเสร็จไปอย่างรวดเร็วเธอรู้สึกภูมิใจในตัวของลูกชายคนนี้เป็นครั้งแรก
' รู้สึกเหมือนเค้าจะโตขึ้นแล้วนะ รู้จักช่วยแม่ทำกับข้าวด้วย ไม่ได้เอาแต่กินเหมือนแต่ก่อน หรือเราจะคิดไปเอง ' แม่อมยิ้มไปและมองลูกชายคนโตไป เหมือนว่าโชจะดูออกว่าแม่มีความสุข ก็ทำหน้ายิ้มแป้นไป ทั้งสองแม่ลูกจัดแจงแต่งตัวเตรียมออกเดินทางเสร็จก่อนจะหกโมงเช้า และโชก็ไม่ลืมที่จะเอากระเป๋านักเรียนของเขาไปด้วย มันเป็นเป้สีดำใบเก่าๆซึ่งมีรอยเย็บปะไปบางส่วนและมีของสำคัญที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ เค้าสะพายเป้ด้วยความมั่นใจ
" เราคงไปทันรถเที่ยวแรกนะ " แม่หมายถึงรถสองแถวที่วิ่งรับคนในหมู่บ้านเพื่อไปยังจุดหมายเดียวคือตลาดในตัวอำเภอ เพื่อที่แม่ลูกทั้งสองต้องไปต่อรถที่ บขส. ซึ่งสถานีรถขนส่งนั้นอยู่ใกล้ๆกับตลาดในตัวอำเภอ
" ครับแม่ "
" กระเป๋านักเรียนใบเก่านั่นน่ะ จะเอาไปด้วยจริงหรอ ? ไม่อายคนเค้าหรือยังไง " แม่จับเป้ที่โชสะพายอยู่อย่างสงสัย
" อายอะไรกันแม่ ของๆผมยังใช้งานได้ น่าเสียดายออก เห็นไหมยังใส่ของได้อยู่ "
" อืม… ไว้ไปซื้อตอนโรงเรียนใหม่ใกล้จะเปิดเทอมก็ได้เนอะ " แม่ยิ้มให้ลูกชายแบบเอ็นดูที่เค้ารู้จักประหยัด
ทั้งสองคนยืนรอรถสองแถวที่ปากทางตรงหน้าบ้าน ในสมัยนั้นมีแต่ต้นไม้กับพงไม้ขึ้นรกอยู่เต็มไปหมด มีเพียงแค่ถนนลาดยางอยู่เพียงเส้นเดียว สองข้างทางจะเป็นทุ่งนาและบ่อบัว บ้านเรือนของผู้คนในหมู่บ้านนั้นจะอยู่ห่างกันมากๆบางทีไม่มีบ้านคนเลยด้วยซ้ำเป็นเพียงแค่โรงนาเก่าๆที่เอาไว้นอนพักแค่นั้น ถนนเข้าหมู่บ้านยังเป็นทางลูกรังผสมกับดินเลนอยู่เลย บางทีก็เป็นดินโคลน ถ้าวันไหนฝนตกพื้นจะแฉะรถจะวิ่งผ่านไม่ได้ต้องเดินสถานเดียว ขนาดเดินยังต้องถอดรองเท้าเลย เพราะดินจะติดที่รองเท้าเละเทะทำให้ล้างออกยาก
' โชคยังดีที่วันนี้ฝนไม่ตก '
รถสองแถวมาแล้ว สองแม่ลูกช่วยกันหิ้วกระเป๋าคนละใบ ขึ้นไปนั่งบนรถ คนขับเคลื่อนรถไปในความเร็วปานกลางเสมือนว่ารถคันนั้นกินน้ำมันเต่ามา
' ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ไม่ใช่รถจ้าง รถเมล์ รถไฟ ' โชนึกถึงทำนองเพลง เพลงนึงของคาราบาว ใช่เลย!! เอามาใช้ได้เลยแฮะ เขามองสองข้างทางแล้วนึกถึงความเปลี่ยนแปลงต่อไปในอนาคต
' อีกหน่อย ความเจริญจะเข้ามา ถนนที่นี่จะดีขึ้น ตรงนั้นจะมีโรงพยาบาลแทนสาธารณสุขในตอนนี้ และรถตู้เข้ากทม. จะผ่านหมู่บ้านนี้ ผู้คนไม่จำเป็นต้องไปต่อรถหลายๆทอด น้ำในแม่น้ำลำคลองก็แห้งหายไป และทางการก็จะขนดินขนหินมาถมที่ เพื่อทำคลองให้เป็นถนนต่อไป '
รถจอดรับผู้โดยสารกลางทางอยู่ประปราย แต่คนไม่ได้เยอะอย่างที่คิด ทั้งรถมีผู้โดยสารอยู่ไม่ถึง 10 คน มีพวกป้าๆที่รู้จักกับแม่ ถามด้วยความอยากรู้ว่าทั้งสองแม่ลูกกำลังเดินทางไปไหนกัน แม่ก็ได้คุยโต้ตอบไปบ้างตามมารยาท รถมาถึงจุดหมายปลายทางก็จอดแบบสนิท คนขับรถลงมาบอกนัดเวลาขับกลับเข้าหมู่บ้านประมาณ 11.00 น. ( คือรถจะวิ่งไปและกลับแค่เที่ยวเดียวเท่านั้น สงสัยจะกลัวรวย ) ส่วนแม่ของโชตอนขากลับคงต้องเหมารถรับจ้างเข้าหมู่บ้าน
" แม่… ตอนขากลับ แม่กลับเข้าบ้านยังไง ให้พ่ออำมารับหรอ.. "
" โอ้ย!! ขานั้นเขาไม่มารับหลอก อ้างนู้นอ้างนี่ แม่จ้างมอร์ไซค์วินแถวนี้ให้เขาไปส่งน่ะ.. ไม่ต้องห่วงหลอกแม่มีขาประจำอยู่ "
' นั่นสินะ คนอย่างพ่อเลี้ยงถ้าไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะก็จะไม่ทำให้ตัวเองลำบากหลอก '
รถตู้จอดเข้าเทียบท่าพอดี แม่และโชลุกขึ้นเดินเข้าไปขึ้นรถ
" ไปกรุงเทพค่ะ 2 คน " ทั้งสองคนเลือกที่นั่งตรงกลางรถและรอผู้โดยสารคนอื่นๆ ดีที่ว่าตอนนี้เริ่มมีรถตู้วิ่งแล้วถ้าไปรถทัวร์จะช้ามาก เพราะรถทัวร์จะวิ่งไปอย่างช้าๆและจอดรับคนตลอดทาง ส่วนรถตู้ในตอนนี้รอคนจนเต็มหรือถ้าผู้โดยสารไม่เต็มก็จะออกวิ่งตามเวลาที่กำหนด อย่างช้าก็ 2 ชั่วโมงถึงแต่ถ้าอย่างไวก็ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงกรุงเทพแล้ว
" เราคงไปถึงกรุงเทพไม่เกิน 10 โมงเช้าหรอกลูก คงได้กินข้าวเที่ยงที่บ้านยาย แต่แม่อยู่นานไม่ได้นะ ต้องรีบกลับเดี๋ยวไม่มีรถเข้าบ้าน "
" ครับแม่ "
แม่ยังคงมองมาที่โช และยังคงสงสัยในตัวลูกชายอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้นิ่งเงียบ และตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหน้าตาของเด็กน้อยในสายตาของผู้เป็นแม่ดูไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เค้าไม่ตื่นเต้นดีใจอะไรเลยด้วยซ้ำ ตามปกติของเด็กทั่วไปถ้าได้ออกไปเที่ยวหรือเดินทางจะต้องตื่นเต้นสิ!! แต่โชกลับทำท่าทางเฉยเมยไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน
โชเหลือบไปมองเห็นแม่ทำหน้าตาสงสัย เลยแกล้งหลับตาเพื่อที่เค้าจะได้ไม่ต้องตอบคำถามของผู้เป็นมารดา แต่ในห้วงของความคิดของเขานั้นกำลังเดินทางอยู่….
...
มาถึงกทม. แล้ว แม่บอกคนขับรถให้จอดตรงสนามหลวงเพื่อที่จะได้หารถต่อไปบ้านยายได้โดยง่าย มันทำให้โชนึกถึง ' ดำ ' ใช่แล้วเค้าเคยเจอดำที่นี่เป็นครั้งแรกเมื่อตอนครั้งนั้น ดำมาช่วยแม่ของเขาขายน้ำตอนโรงเรียนปิดเทอม เค้าเลยได้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ครั้งนั้น
โชพยายามกวาดสายตาหาเพื่อนรักในวัยเด็กว่าอยู่ตรงไหน พลันเค้าก็เจอเด็กชายตัวเล็กๆผอมๆผิวคล้ำเพราะแดดใส่เสื้อยืดลายๆกับกางเกงขาสั้นกำลังหิ้วถุงใส่น้ำเป็นพวงๆเดินไกล้เข้ามา
" แม่ครับซื้อน้ำหน่อยครับ ผมอยากจะกินน้ำอร่อยๆ "
" มันเป็นยังไงลูก ไอ้น้ำอร่อยๆน่ะ " แม่นึกขำกับคำพูดของลูกชาย
" ก็.. นู้นไงแม่ ที่คนนั้นขายน่ะ " โชชี้ไปที่เพื่อนดำในวัยเด็ก เด็กชายดำได้ยินรีบเดินมาหาลูกค้าในทันที
" น้ำแดง น้ำเขียว โค้ก สไปร์ท ก็มีนะครับ สั่งได้เลย เดี๋ยวผมไปเอามาให้ แม่ผมจอดรถเข็นอยู่ตรงนู้น.. ใกล้ๆเอง "
" ถุงละกี่บาท "
" สิบบาทครับ "
" งั้นเอาน้ำแดงถุงนึงจ่ะ เป็นเด็กดีนะช่วยแม่ขายของด้วย "
เด็กชายผิวคล้ำยิ้มแก้มปริ เขาส่งถุงน้ำให้พร้อมกับรับเงิน โชกลัวไม่ได้รู้จักกับเพื่อนจึงแกล้งถามออกไป
" ชื่ออะไรหรอ เราชื่อโชนะ " เขาพูดพร้อมยื่นมือออกไปให้ดำจับ ดำดูงงๆ มีอาการเคอะเขิน ไม่ค่อยกล้าจับมือแต่โชก็พยักหน้าและยื่นมือไปอีก จนดำจับมือกับเค้าอย่าเสียไม่ได้
" เราชื่อดำ.. เอ่อ… เราต้องไปขายของให้แม่แล้วนะ ไปล่ะ ขอบคุณมากครับ " เด็กชายดำหันไปกล่าวขอบคุณแม่ของโช และออกเดินขายน้ำต่อไป โชคิดว่าไว้วันหน้าค่อยมาหาใหม่เพราะอีกหน่อยก็ต้องได้เจอกัน เพราะเค้าทั้งสองต้องเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน แม่พาโชขึ้นรถเมล์เพื่อเดินทางต่อไปที่บ้านของยาย
จากสนามหลวงไม่ไกลกันเท่าไหร่ก็ถึงบ้านของยาย บ้านของยายเป็นบ้านไม้สองชั้น ไม่มีรั้วกั้นแต่อย่างใดอยู่ในชุมชนเพราะอยู่ติดกับวัด และใกล้กับโรงเรียน บ้านก็อยู่ติดๆกันทำให้ดูเหมือนอยู่ในชุมชนแออัด แต่คนในชุมชนนี้เป็นคนดีนะเพราะเค้าเคยอยู่มาก่อนเมื่อครั้งกระนู้น.. ถึงจะมีพวกติดยาบ้าง ขี้เมาบ้าง ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ ไม่ได้มีใครดูแตกต่างจากกันเลย...
.....
ซึ่งในตอนวัยเด็กของโช ( เมื่อ 20 ปีก่อน ) เค้ายังดูหวาดกลัวและไม่คุ้นกับสถานที่เลย เค้าได้หนีออกจากที่บ้านแม่โดยอาศัยรถขนถ่านมาลงที่ตลาดและก็นั่งรอจนธนาคารเปิดจึงขอเข้าไปถอนเงิน เสื้อผ้าที่ใส่อยู่นั้นก็เลยดูมอมแมมและดำดูสกปรก เพราะเขานั่งมาบนรถขนถ่านในตอนนั้น แต่พนักงานก็ไม่ได้ว่าอะไรอาจเป็นเพราะว่าคุ้นชินกับผู้คนที่อยู่ในชนบทที่นี่ พวกเขามักจะไม่ค่อยแต่งตัวกันสักเท่าไหร่นัก โชในตอนนั้นเค้าถอนเงินออกมาจนหมดหรือว่าปิดบัญชีนั่นเองพนักงานมองหน้าหนูน้อยนิดนึง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรทำธุระเรื่องเงินเสร็จ เด็กน้อยกำเงิน 1,200 บาทออกจากธนาคารไปหาข้าวกินที่ตลาด และนั่งรถไปกรุงเทพอย่างหวั่นใจ….
.....
ที่บ้านไม้สองชั้น.. แม่พาโชเข้าไปสวัสดียาย เค้ากราบยายและเข้าไปกอด ยายเอามือลูบหัวหลานชาย
" เอ็งนอนข้างล่างกับยายเนี้ยแหละ ข้างบนมีสองห้องแต่เต็มแล้ว ลุงเค้าอยู่กับป้าสะไภ้ห้องนึง ส่วนอีกห้องนึงน้าเอ็งเค้าอยู่ "
" ครับยาย.. ผมชอบนอนกับยายอยู่แล้ว " โชยิ้มหน้าทะเล้นให้กับยายของเขา
" เอ้า.. ไอ้นี่พูดเหมือนเคยมานอนกับยายยังงั้นแหละ " ยายหัวเราะร่าเริง ดูเหมือนยายจะมีความสุขนะ ก็คงจะใช่นั่นแหละ เพราะที่นี่ ที่บ้านหลังนี้ไม่มีเด็กๆ.. ใช่ในตอนนี้..ยัง ยายของโชเกษียณแล้ว ยายเคยเป็นครูจากโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง จึงทำให้ยายที่เกษียณแล้วนั้นไม่ได้มีเงินบำเหน็จ บำนานอะไร แต่ยายยังโชคดีที่ตอนสมัยสาวๆทำงานและเก็บเงินจนพอมีเงินซื้อบ้านอยู่ในกรุงเทพ ( ซึ่งในสมัยนั้นราคาไม่แพงเลย ) และอยู่กับลูกๆ หลังจากที่ตาเสียไปแล้วนานนับสิบปี ยายเป็นคนสมถะ เจ้าระเบียบพอสมควรด้วยความที่แกเคยเป็นครูมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของยาย ยายจะจัดเก็บไว้ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง โดยที่ถ้าใครหยิบของๆแกย้ายที่หรือเอาไปใช้แล้วไม่ได้เก็บวางที่เดิมล่ะก็.. เป็นเรื่องเลย…
...
แม่อยู่ร่วมคุยกับยายจนถึงเวลาบ่ายสองโมง จึงขอตัวกลับ โดยบอกกับยายว่ามาได้ไม่นานไม่มีคนดูลูกๆ และพ่อเลี้ยงหยุดขับรถได้แค่วันเดียว ไว้โอกาศหน้าวันหยุดยาวจะมาเยี่ยมใหม่ และกลัวว่าจะไม่มีรถกลับด้วย
" อยู่กับยาย อย่าดื้อนะ แล้วแม่จะมาใหม่ "
" ครับ "
" เออ… รีบไปเถอะเดี๋ยวรถหมด มันอยู่กับแม่ไม่ต้องห่วงนะ ไปเถอะ "
โชโบกมือบ๊าย บาย ส่งแม่ของเค้าพร้อมกับรอยยิ้ม ก็ในตัวตนของเขาเป็นผู้ใหญ่นี่นา.. อาการหวั่นเกรงจึงไม่มีปรากฏ
มีแต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และฮึกเหิม..
...