webnovel

ตอนที่ 11 : รถไฟ

"ไอ้ธี ไอ้ธี"

เสียงสิงห์ร้องเรียกวิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ ขณะที่ธีรพละกำลังวกเกวียนมุ่งหน้ากลับบ้าน

"เกือบคลาดกันแล้วเชียว" สิงห์เอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนจะยืนเกาะเกวียนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

"มีอะไรอีก หรือเฮียจวงมันส่งคนมาทำร้ายเอ็ง" ธีรพลเร่งถาม

"ไม่ใช่" สิงห์โบกมือส่ายหน้าตอบปฏิเสธ

เมื่อไม่ได้เป็นเรื่องขอขาดบาดตาย ธีรพลจึงเบาใจลงเอ่ยถามสิงห์กลับอย่างใจเย็น "แล้วมันเรื่องอะไร?"

"ก็เรื่องที่ตกลงกันว่าจะทำงานล้างหนี้ให้เฮียจวงอย่างไรเล่า" สิงห์ที่หายเหนื่อยลงบ้างแล้วจึงรีบเฉลยเอ่ยเหตุผลของการมาหาธีรพลในครานี้

"เอ็งต้องเป็นคนทำไม่ใช่หรอกหรือ? เหตุใดจึงมาหาข้า?" ธีรพลเอ่ยถาม

"มันก็ใช่อยู่ แต่เฮียจวงมันบอกข้าว่าอยากให้เอ็งตามติดไปด้วย" สิงห์กล่าว

"แล้วงานที่ว่านี่ มันคืองานอะไร?" ธีรพลถามขึ้นอีกครั้ง

"ถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าเฮียจวงจะให้ทำงานใด ที่รู้ก็เพียงแต่ว่าต้องเดินทางไปยังเขลางค์นคร[1]เสียก่อน จึงจะค่อยกำหนด" สิงห์ทบทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยบอกขึ้น

"ไอ้ธี เอ็งช่วยเหลือข้าอีกคราหนึ่งได้หรือไม่?" สิงห์อ้อนวอน

"หากช่วยแบ่งเบาเอ็งได้ ข้าย่อมจะทำ อีกอย่างหากเดินทางไปไกลแบบนี้ ข้าก็ไม่อาจวางใจให้เอ็งไปลำพังได้…ตกลง ข้าจะไปกับเอ็ง" ธีรพลที่กระโดดลงจากเกวียน ยืนตบไหล่เกลอรักเอ่ยบอกอย่างจริงใจ

"ขอบน้ำใจเอ็งอีกครั้ง" สิงห์ยิ้มตบไหล่อีกฝ่ายตอบกลับด้วยความรู้สึกซึ้งใจ

"แล้วต้องออกเดินทางเมื่อใด?" ธีรพลถามไถ่รายละเอียด

"พรุ่งนี้เช้า" สิงห์ตอบกลับสั้นๆ

"ไยรวดเร็วปานนั้น!"

ธีรพลที่ยังไม่ทันได้เตรียมการใดๆ ไม่คาดคิดว่าจะต้องออกเดินทางแทบจะทันทีที่ได้ทราบข่าว ดังนั้นจึงเร่งรีบถามรายละเอียดจากสิงห์ พร้อมกับนัดแนะสถานที่นัดพบในวันพรุ่งนี้ แล้วจึงรีบกลับบ้านไปในทันที

หลังจากจัดเตรียมข้าวของที่จำเป็นสำหรับการเดินทางจนแล้วเสร็จ ธีรพลก็ออกไปอธิบายเหตุผลพูดคุยขออนุญาตลุงมั่นและป้าแก้ว ซึ่งทั้งสองท่านก็เข้าใจและตอบตกลงเป็นอย่างดี จากนั้นจึงได้มีโอกาสออกไปเดินเล่นพูดคุยความหลังกับลุงทองใบที่สวนหลังบ้าน

"เจ้าธี ตอนนี้อายุเจ้าได้เท่าใดแล้ว?" ทองใบเอ่ยถาม

"สิบเก้าปีครับ" ธีรพลยิ้มตอบ

"เจ้าโตมากแล้วจริงๆ" ทองใบเอ่ยพร้อมกับทอดถอนใจราวกับมีเรื่องราวหนักใจบางอย่างที่กักเก็บไว้

"ตลอดเวลาลุงไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวพ่อแม่แท้ๆให้เจ้าฟัง แต่นั้นไม่ใช่เพราะมันไม่สำคัญ เพียงแต่ลุงกลัวมาโดยตลอดว่า ความทรงจำเหล่านั้นมันจะย้อนกลับมาทำร้ายเจ้า" ทองใบสาธยายอย่างช้าๆ

"แต่ตอนนี้ควรจะถึงเวลาที่เจ้าสมควรได้รับรู้เรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นกับพ่อและแม่ของเจ้าแล้ว" ทองใบเอ่ยพร้อมกับแสดงสีหน้านึกคิดย้อนรำลึกถึงความหลัง

"ลุงบังเอิญพบเจอกับพ่อเจ้าตั้งแต่สมัยตอนที่อยู่ละโว้[2] ในตอนนั้นพ่อเจ้าเดินทางมาปฏิบัติภารกิจบางอย่าง ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับลุงที่มีเป้าหมายเดียวกัน พวกเราทั้งสองจึงได้ต่อสู้ช่วยเหลือเคียงบ่าเคียงไหล่แผ่ใจให้กันจนผ่านพ้นอุปสรรคในครั้งนั้นมาได้ และนับจากวันนั้นพวกเราจึงตกลงเป็นเกลอที่ดีต่อกันเสมอมา แต่อยู่มาวันหนึ่งหลังจากที่เจ้าเกิดมาแล้ว พ่อเจ้าได้ไปพบความลับของกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งเข้า ซึ่งนั้นก็ทำให้ชีวิตของเจ้าสามคนพ่อแม่ลูกพลิกผันเป็นหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน จนเหตุการณ์ร้ายในวันนั้นเกิดขึ้น ลุงรู้แต่เพียงว่าพ่อและแม่เจ้าเป็นสมาชิกของภาคีใดซักแห่ง แต่ไม่ว่าจะสืบค้นอย่างไรก็ไม่สามารถรู้เบาะแสของคนกลุ่มนี้ ส่วนคนที่พยายามฆ่าพ่อแม่เจ้า ลุงก็รู้เพียงชื่อคนผู้หนึ่งที่ชื่อ หลง เท่านั้น"

ทองใบพยายามอธิบายความในใจที่อัดอั้นเก็บไว้มานานให้ธีรพลได้รับรู้ สำหรับเขาในตอนนี้เสมือนว่าได้ยกภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับร่างเขาอยู่นานนับสิบกว่าปีออกแล้ว ส่วนทางด้านธีรพลจะตอบสนองอย่างไรต่อไป เขาก็จะคอยยืนสนับสนุนเคียงข้างธีรพลไปจนสุดทาง

"หรือว่าจะเกี่ยวพันกับหยกชิ้นนี้!"

ธีรพลคิดขึ้นในใจ พร้อมกับลูบคลำตราหยกรูปดอกบัวขนาดเท่ากำปั้นชิ้นหนึ่ง ที่อยู่ติดตัวมาตั้งแต่แม่เขาเสียชีวิตลง

"จำไว้ หากยังไม่เก่งกล้า อย่าไปสืบค้นเรื่องราวของคนลึกลับกลุ่มนี้เป็นอันขาด ขุมกำลังของพวกมันลึกล้ำสุดหยั่งคาด สุ่มสี่สุ่มห้าไปเจอยอดฝีมือเข้า มีแต่ได้ตายอย่างไร้ที่กลบฝังเป็นแน่" ทองใบกล่าวเน้นย้ำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

"แล้วลุงจะกลับเมื่อใด?" ธีรพลเปลี่ยนหัวเรื่องเอ่ยถามขึ้น

"คงอยู่ดื่มกินเป็นเพื่อนไอ้มั่นมันอีกสองสามวันแล้วค่อยกลับ" ทองใบกล่าวตอบก่อนจะทิ้งท้ายให้ธีรพลรับรู้ว่าหากมีเรื่องต้องการที่จะพบเจอเขาแล้วละก็ ให้ไปหาเขาได้ที่ละโว้พร้อมกับเอ่ยบอกสถานที่ติดต่อไว้อย่างคร่าวๆ

หลังจากนั้นทองใบและธีรพลก็พูดคุยกันอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนที่ทองใบจะเน้นย้ำวิธีแต่ละขั้นตอนการฝึกใช้พลังงานชีวิตให้ธีรพลจดจำอีกครั้ง จากนั้นจึงแยกย้ายกันพักผ่อนนอนหลับ

เช้าวันรุ่งขึ้น ธีรพลที่เดินทางมารอยังจุดนัดหมายตั้งแต่เช้ามืดก็ได้พบกับสิงห์ตรงบริเวณหน้าสถานีรถไฟ พร้อมกับเฮียจวง ไอ้ใหญ่ และลูกน้องใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยอีกสามคน

แม้จะมีความบาดหมางกันมาก่อน แต่ขณะนี้ไอ้ใหญ่ที่ทำตัวกร่างอยู่เป็นนิตย์ กลับดูสงบเสงี่ยมหมอบราบคาบแก้ว อีกทั้งเวลาที่ชำเลืองสายตามาทางธีรพลยังบังเกิดจิตระย่นย่อก้มศีรษะลงอย่างลืมตัว ปราศจากความคิดเป็นอริศัตรูเช่นดั่งเคยแต่อย่างใด

เมื่อไร้ซึ่งปัญหาในการร่วมทาง หลังจากตรวจความพร้อมของสัมภาระเป็นครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น เฮียจวงก็พาทั้งหมดเดินไปยังห้องตีตั๋ว[3]

ปัก! ปัก! ปัก!

เสียงเครื่องแสตมป์ตั๋วกดกระแทกลงบนกระดาษแข็งสีแดงจนเกิดเป็นตัวอักษรชุดหนึ่ง ที่ระบุสถานีปลายทาง ชั้นที่นั่ง วันที่ และราคาค่าโดยสารไว้

"เอานี่ ตั๋ว เก็บไว้ให้ดีอย่าให้หาย"

หลังจากจ่ายเงินรับตั๋วโดยสารมา เฮียจวงก็นำออกแจกจ่ายในทันที

"ไปพระนคร ชานชะลาที่สอง อีกสิบนาทีรถไฟจะออกแล้ว"

เสียงพนักงานรถไฟที่ชานชะลาร้องตะโกนเรียกเตือนให้ผู้โดยสารที่มีตั๋วบนเส้นทางให้รีบขึ้นรถไฟ

สำหรับธีรพลและสิงห์ ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขาเลยก็ว่าได้ ที่มีโอกาสได้ขึ้นโดยสารรถไฟ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขาเป็นพิเศษ ดังนั้นครั้นพอถึงเวลาที่ควรจะขึ้นขบวนรถก็พลันหันรีหันขวางไม่ทราบว่าชานชะลาที่ว่านั้นมันอยู่ทิศทางใด แต่เมื่อมีเฮียจวงงูเจ้าถิ่นคอยช่วยเหลือนำทางทุกอย่างจึงผ่านราบรื่นไปได้ด้วยดี

"ชั้นสาม ไปขบวนหลัง"

หลังจากยื่นตั๋วให้พนักงานบนชานชะลาดู ธีรพล สิงห์พร้อมลูกน้องเฮียจวงอีกสามคนก็ถูกแยกออกเป็นชุดหนึ่ง เดินไปยังท้ายขบวน ส่วนเฮียจวงและไอ้ใหญ่ที่มีตั๋วที่นั่งชั้นพิเศษก็ได้แยกออกไปยังห้องส่วนตัวที่หัวขบวน

ปู๊น!

เมื่อหาที่นั่งลงได้ไม่นาน เสียงหวีดหนักๆจากเครื่องจักรไอน้ำก็พลันดังขึ้นพร้อมพ่นไอน้ำสีขาวขุ่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า รถไฟจึงค่อยๆแล่นออกจากสถานีไปในที่สุด

ระหว่างทางกว่าชั่วโมงครึ่ง ธีรพลและสิงห์ที่นั่งอยู่บนเบาะไม้เดียวกัน แทบจะไม่มีบทสนทนาระหว่างกันเลย จะมียกเว้นก็เพียงแต่ตอนที่มีพนักงานมาเดินตรวจตั๋วเท่านั้น นอกจากเวลาดังกล่าวแล้วทั้งสองก็มัวแต่มองเพลินอยู่กับทิวทัศน์แปลกตาที่เบื้องนอก จนเผลอไผลลืมเลือนเวลากระทั่งรถไฟจอดเทียบสนิทที่สถานีขุนตาน

"ไอ้ธี เอ็งรู้หรือไม่ ทางข้างหน้าเป็นทางลอดผ่านถ้ำขุนตาน" สิงห์หลังจากชะโงกหัวออกไปดูสถานการณ์ ก็พลันหันมาเอ่ยกับธีรพลด้วยสีหน้าแตกตื่น

"แล้วมันเป็นอย่างไร เหตุใดเอ็งจึงได้ทำหน้าแปลกๆ?" ด้วยความไม่รู้ ธีรพลจึงพานซื่อเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปตรงๆ

"ก็ไอ้พวกที่ทำงานถ่อเรือ มันเคยเล่าให้ข้าฟังว่า ถ้ำนี้มีคนตายระหว่างขุดเจาะนับไม่ถ้วน ผู้ใดที่กำลังดวงอับได้ลอดเข้าไปก็มักจะเห็นวิญญาณของเหล่าคนงานมาหลอกหลอน จนเป็นต้องจับไข้หัวโกรนไปเสียทุกราย" สิงห์หันซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทำหน้าตาขึงขังป้องปากกระซิบบอกเล่าให้ธีรพลได้ฟังแต่เพียงผู้เดียว

"มันจะจริงหรือ คนโดยสารมีออกถมเถ หากเป็นจริงดั่งที่เอ็งว่า ป่านนี้คงไม่มีผู้ใดกล้านั่งรถไฟสายนี้อีก" ทันทีที่สิงห์เล่าจบ ธีรพลก็แอบไปชำเลืองมองปฏิกิริยาผู้โดยสารโดยรอบ ซึ่งทั้งหมดก็ดูปกติปราศจากความหวาดกลัวเฉกเช่นสิงห์แต่อย่างใด อีกทั้งบางคนยังเพลิดเพลินกับการเลือกซื้ออาหารและสินค้าผ่านช่องหน้าต่างรถไฟเสียด้วยซ้ำ

"ก็แล้วแต่เอ็ง ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ไม่ต้องมาเรียกให้ข้าช่วยเหลือ" สิงห์พูดตัดบทอย่างรำคาญ พลางใช้มือกำพระที่ห้อยคอไว้แน่น ปากขยุกขยิกหลับตาสนิทท่องบทสวดมนต์เป็นการใหญ่

พร้อมกับเสียงระฆังที่ดังขึ้น รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกอีกครั้ง โดยที่เบื้องหน้าเป็นปากอุโมงค์ยาวซึ่งภายนอกทาไว้ด้วยสีแดงสด มองไปดูน่าเกรงขามทรงพลังและลึกลับในเวลาเดียวกันยิ่ง

ทันทีที่รถไฟผ่านเข้าอุโมงค์ที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากว่าถ้ำขุนตานแล้ว ทุกที่ทางก็พลันมืดสนิทในบัดดล ผู้โดยสารจากที่เคยพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจก็กลายเป็นเงียบสนิทเป็นเป่าสาก บรรยากาศจึงดูพิลึกวังเวงอยู่ชอบกล จนพานทำให้จิตธีรพลคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องที่สิงห์ได้บอกเล่าให้ฟัง

"ไม่ได้การแล้ว"

ก่อนที่สติจะหลุดเตลิดไปไกล ธีรพลที่รู้ว่าหากปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำจิตให้คิดทึกทักจินตนาการไปในลักษณะนี้ อาจทำให้เขาเห็นภาพหลอนเข้าจริงๆก็เป็นได้ ยามนั้นจึงพยายามข่มจิตสงบใจลง หลับตาและนึกไปถึงการฝึกสมาธิพื้นฐานในขั้นว่างเปล่าทดแทน

หลังสูดหายใจเข้าออกปล่อยให้จิตเข้าสู่ขอบเขตว่างเปล่าได้ไม่นาน ธีรพลก็พลันเข้าสู่จุดสมดุลได้อย่างง่ายดาย เขารู้สึกว่าทั้งร่างโล่งโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก นอกจากจะรับรู้ถึงพลังงานชีวิตที่หมุนเวียนในกายอย่างเอื่อยเฉื่อยแล้ว เขายังรู้สึกถึงพลังงานภายนอกที่หนาหนักเข้มข้นมากเสียจนแทบจะล้นทะลักเข้าภายในกายอย่างไม่อาจบังคับแข็งขืน

"เอ๊ะ!"

ด้วยความบังเอิญที่ทำให้ธีรพลได้เข้ามาอยู่ในสถานที่ที่มีพลังงานฟ้าดินหนาแน่น ทำให้เขาได้ก้าวเข้าสู่ขั้นตอนการฝึกระหว่างขั้นว่างเปล่าและขั้นก่อเกิดตามคำอธิบายที่ลุงทองใบเน้นย้ำไว้

นอกจากพื้นฐานในการรับรู้เรื่องกระแสพลังงานที่จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนจนแคล่วคล่องชำนาญดีแล้ว การดูดซับพลังงานฟ้าดินก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ฝึกจะขาดไม่ได้ เพราะหากรู้แต่วิธีการนำพลังงานชีวิตออกไปใช้เพียงอย่างเดียวและรอให้พลังงานฟ้าดินดูดซับเข้าร่างตามธรรมชาติซึ่งเป็นกระบวนการที่เชื่องช้าแล้วนั้น สักวันหนึ่งพลังงานที่ถูกกักเก็บไว้ในบ่อกำเนิดพลังก็จะเหือดแห้งลงเนื่องจากใช้ออกมากกว่านำเข้า

เมื่อคิดได้ดังนั้น ธีรพลจึงเร่งทบทวนวิธีการที่ได้รับการชี้แนะมาจากลุงทองใบ ใช้จิตค่อยๆชักนำพลังงานฟ้าดินดูดซับเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ เฉกเช่นกับการผันน้ำเข้านา ที่ต้องควบคุมทั้งปริมาณและความแรงของน้ำให้พอเหมาะจึงจะไม่ทำอันตรายต่อกล้าข้าวที่อยู่ภายใน

หลังจากพลังงานฟ้าดินไหลเวียนเข้าสู่เส้นลมปราณและหมุนวนภายในกายอยู่หลายรอบจนลดความเชี่ยวกรากลงไปมากแล้ว ธีรพลก็ชักนำพลังงานบริสุทธิ์เหล่านั้นไหลเข้าไปกักเก็บไว้ในบ่อกำเนิดพลังซึ่งเปรียบเสมือนกับบึงน้ำบ่อใหญ่ เปลี่ยนผันมาเป็นพลังงานชีวิตของตนอย่างสมบูรณ์

เมื่อผ่านการทำวนเวียนซ้ำๆอยู่หลายรอบ พลังงานชีวิตในบ่อกำเนิดพลังก็เริ่มพอกพูนขึ้นจนอยู่ในระดับเก้าในสิบส่วน แต่เพราะพลังงานฟ้าดินจากที่เคยมีอยู่หนาแน่นพลันเบาบางลงอย่างกะทันหัน ธีรพลก็จึงต้องจำใจหยุดยั้งการหล่อหลอมพลังงานไว้ชั่วคราว แต่ในขณะจิตที่จะถอนตัวตื่นขึ้นจากสมาธิอยู่นั้น จิตของเขาก็พลันโดนแรงดึงดูดบางอย่างเหนี่ยวรั้งไว้ให้จมลึกลงไปยังก้นบึ้งแห่งภวังค์อย่างไม่อาจบังคับแข็งขืน

คำอธิบาย

[1] เขลางค์นคร หรือก็คือ จังหวัดลำปางในปัจจุบัน

[2]ละโว้ หรือก็คือ จังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน

[3] ห้องตีตั๋ว หมายถึง ห้องจำหน่ายตั๋วรถไฟ

Nächstes Kapitel