webnovel

ทริป(ไม่)สนุก

พอวันรุ่งขึ้นมาถึง พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะไปหาที่พักอื่นแทนการกางเต็นท์คืนนี้อีกคืนตามที่วางแผนไว้

พวกเขาออกมานอกเต็นท์ หลังจากที่ทนอุดอู้อยู่ในเต็นท์ทั้งคืน พวกเขามองวิวพระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างดื่มด่ำ

"มันก็สวยดีอยู่หรอก" วาสนาว่า "แต่ยุงมันกวนทั้งคืนเลย"

"เราน่าจะเอายากันยุงมาด้วยนะครับ" กูณฑ์ว่า ขณะที่กำลังเการอยตุ่มจากยุงกัด ครอบครัวภูเขี้ยวต่างมีรอยตุ่มแดง ๆ กันทุกคน โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมากกว่านั้น พวกแมลงนี่ร้ายกาจจริง ๆ มีแต่เคียวที่ไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้ แน่ล่ะสิ ผีมันไม่มีเลือดให้ยุงดูดนี่

"เอามาก็จุดไม่ได้" วาเรศว่า "ไฟไหม้แล้วจะยุ่ง"

"ผมหมายถึงโลชั่นกันยุงต่างหากครับ"

"ช่างเถอะ ฉันไม่เอาแล้วนะ เที่ยวแบบนี้ เหนื่อยก็เหนื่อย" วาสนาบ่น

"แล้ววันนี้เราจะไปไหนกันต่อดีครับ"

"ก่อนจะไปไหน ขอไปอาบน้ำก่อนเถอะ เหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัวแล้ว" วาสนาว่า เธอยกรักแร้ขึ้นมาดมก่อนจะย่นจมูก

"ข้างล่างน่าจะมีห้องอาบน้ำ เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกพวกเขาให้ช่วยยกกระเป๋าลงไป"

"เขาจะตื่นแล้วเหรอครับ พ่อ" กูณฑ์ถาม ปกติถ้าตอนนี้เขาอยู่บ้าน เขาก็คงยังไม่ตื่นเหมือนกัน แต่วันนี้เพราะแปลกที่เขาถึงตื่นมาตั้งแต่หัววัน

"ก็ไม่แน่เหมือนกัน พ่อจะลองโทรดูก่อน" วาเรศว่า ก่อนจะกดโทรศัพท์ วาเรศคุยมือถืออยู่สักพัก ก่อนจะหันมาบอกครอบครัวว่าเดี๋ยวพวกลูกหาบจะขึ้นมา

"งั้นตอนนี้เรามาช่วยกันเก็บของก่อนเถอะ" วาสนาว่า

ถึงแม้วาสนาจะบอกให้ช่วยกันเก็บของ แต่ส่วนใหญ่เธอก็เป็นคนเก็บคนเดียวเสียหมด เพราะพอกูณฑ์กับพ่อจะเข้าไปช่วย พวกเขาก็เงอะ ๆ งะ ๆ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูกนักจนวาสนาต้องไล่ให้พวกเขาไปเก็บเต็นท์ให้เรียบร้อย

พอพูดเขาเก็บเต็นท์เสร็จก็เป็นเวลาเดียวกับพนักงานขนของรับจ้างมาถึงพอดี

"แหม จะไม่อยู่ต่อกันหน่อยเหรอครับ เพิ่งมาวันเดียวก็จะไปแล้ว" ชิดว่า

"ไม่ไหวล่ะครับ" วาเรศพูดกลั้วหัวเราะ "ยุงมันกวนทั้งคืนเลย ต่อไปไปเช่าโรงแรมนอนดีกว่า"

"มาบ้านผมก็ได้นะ ลุง" หน่องว่า "มีบริการยากันยุง แค่คืนละห้าร้อยเท่านั้น"

"ขอบใจนะ" วาเรศว่า "แต่พวกเราจะไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ มีที่ไหนแนะนำบ้างไหม"

"อยากไปแนวไหนล่ะ" ชิดถาม

"ผมอยากไปเล่นน้ำ" กูณฑ์ว่า ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของแม่แล้ว เหนียวเหนอะหนะไปหมดแล้วยังร้อนด้วย นี่ขนาดพระอาทิตย์เพิ่งขึ้นแท้ ๆ ไม่คิดเลยว่าต่อไปจะร้อนได้ขนาดไหน

"งั้นไปอ่างซับเหล็กไหมล่ะครับ กว้างพอ ๆ กับทะเลสาบเลย ลงเล่นน้ำได้แถมมีบานาน่าโบ๊ทบริการด้วย ใกล้ ๆ นี่เอง"

กูณฑ์ดึงแขนพ่อ "ไปกันนะพ่อ กูณฑ์อยากเล่นบานาน่าโบ๊ท" ตอนนี้กูณฑ์ลืมไปเสียสนิทว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่น แต่มาเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณของเคียวให้ไปสู่สุคติ กูณฑ์เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เมื่อได้มาเที่ยวก็ลืมภาระหน้าที่ของตัวเองไปหมด

"บานาน่าโบ๊ทคืออะไร" เคียวถาม

"เรือกล้วย เป็นเรือรูปร่างเหมือนกล้วย เรานั่งกันบนเรือแล้วก็มีเรืออีกลำลากไป เร็วสะใจสุด ๆ ยิ่งตอนคว่ำนะยิ่งวิเศษ มันมาก" กูณฑ์อธิบายอย่างตื่นเต้น แววตาเป็นประกาย เขาจำการนั่งบานาน่าโบ๊ทครั้งหลังสุดได้ดี ถึงจะกินน้ำไปหลายอึกก็นับว่าคุ้มค่า

"ท่าทางนายอยากเล่นมากนะ" เต้แซว "นายพูดอย่างกับจะขายให้เรางั้นแหละ เราไม่มีเวลาไปเล่นหรอก"

กูณฑ์หน้าแดง เขาลืมไปเสียสนิทว่าไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเคียว ดังนั้นตอนนี้ก็เหมือนเขาพูดเพ้ออยู่คนเดียว โชคยังดีที่ไม่มีใครสงสัยอะไร

"แล้วมันจะอันตรายหรือเปล่า" วาสนาถาม

ชิดหัวเราะ "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มีเสื้อชูชีพให้ใส่ รับรองปลอดภัยแน่"

กูณฑ์ดึงแขนแม่ "นะครับ แม่ ไหน ๆ มาเที่ยวกันทั้งที"

"เอาก็เอา" วาสนายอมแพ้ ก่อนจะหันไปถามคนพื้นที่ "แล้วไกลไหมคะ"

"ไม่หรอกครับ แค่หกกิโลกว่า ๆ เท่านั้น เดินไปก็ยังได้"

"คงเดินไม่ไหวหรอกครับ" วาเรศว่า กำลังของคนที่ออกกำลังกาย ใช้แรงงานเป็นประจำจำอย่างชิด จะเดินได้หกกิโลก็ไม่น่าแปลก แต่สำหรับครอบครัวของเขาที่เป็นสัตว์เมือง ออกกำลังกายอย่างมากก็แค่เดินขึ้นลงบันได เห็นทีก็คงไม่ไหว

"ถ้าอย่างนั้น ขับรถไปไม่ถึงสิบนาทีหรอกครับ รถไม่ติด มันไม่ใช่หน้าเทศกาล"

"เดี๋ยวก่อนครับ แล้วอ่างมันจะเปิดเหรอครับ" กูณฑ์ว่า คิดหวั่นว่าพอไปถึงจะมีแต่อ่างเก็บน้ำ ไม่มีกิจกรรมอะไรให้เล่นเลย เหมือนหลาย ๆ สถานที่ที่กูณฑ์เคยผิดหวังมาแล้ว แต่จะตำหนิคนพื้นถิ่นก็ไม่ถูก กิจกรรมพวกนี้ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวก็ไม่มีใครสนเอาเสียเลย เมื่อลงทุนลงแรงไปแล้วไม่คุ้มก็ย่อมต้องเลิกทำกันไป

"ไม่ต้องห่วงหรอก" หน่องว่า "เขาเปิดทุกวันแหละ"

หลังจากสอบถามเส้นทางกันจนมั่นใจแล้ว ครอบครัวภูเขี้ยวและคนพื้นที่ก็พากันลงมาข้างล่าง

วาเรศโอนเงินค่าขนสัมภาระให้ เสร็จแล้วเขาและครอบครัวก็พากันขึ้นรถ ขับไปทางทิศตะวันตกเพื่อจะได้มุ่งไปอ่างซับเหล็ก

จริงอย่างที่ชิดว่าไม่ถึงสิบนาที พวกเขาก็เห็นป้ายอ่างซับเหล็ก

"ในที่สุดก็ถึงสักที ผมจะโจนลงน้ำให้สะใจเลย" กูณฑ์พูดอย่างคึกคัก เขาเป็นคนชอบเล่นน้ำมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเหตุนี้เองตอนแรกพ่อแม่ถึงสงสัยว่าทำไมถึงเลือกมาปีนเขาแทนที่จะเป็นทะเล

"ไม่ได้" วาสนาว่า "สกปรกแบบนี้ขืนลงไปน้ำก็เสียหมด"

"โห แม่ ยังไงผมก็ต้องล้างตัวก่อนอยู่แล้วน่ะ ไม่ได้สกปรกขนาดนั้นสักหน่อย"

แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อมาถึงอ่างซับเหล็ก

"มันยังไม่เปิดเลย" วาเรศอุทานออกมา เมื่อจอดรถหน้าประตูรั้วที่ยังปิดอยู่

"ลงกันก่อนเถอะ" วาสนาแนะนำ

พวกเขาต่างพากันลงจากรถ กูณฑ์นำเล็บไปขูดประตูรั้วเล่นจนเกิดเสียงดังแกรกกราก วาสนาหันมามองตาเขียว

"มันจะเปิดเมื่อไหร่ครับ" กูณฑ์ว่า พลางพยายามชะโงกเข้าไปดูข้างใน คิดดูสิ แอ่งน้ำเย็นสบายอยู่ข้างในเพียงรั้วกั้น แต่เขากลับเข้าไปไม่ได้

"เดี๋ยวพ่อเปิดแมพดูก่อน" วาเรศว่าพลางเปิดกูเกิ้ลแมพ "ไม่มีบอกเสียด้วย"

"งั้นเราจะอยู่ตรงนี้จนกว่าจะเปิดงั้นเหรอ" วาสนาพูดอย่างไม่พอใจนัก การที่เดินทางสมบุกสมบันเมื่อคืนนี้ อีกทั้งยังไม่ได้อาบน้ำจนเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว อากาศก็ร้อนทั้งที่พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นได้ไม่ถึงชั่วโมง ครั้นจะมาหวังเล่นน้ำคลายร้อน อ่างเก็บน้ำก็ดันปิดเสียอีก

"คงงั้นแหละ" วาเรศว่าพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ นั่นยิ่งทำให้วาสนามีน้ำโหมากขึ้น

"จะทำงั้นได้ไง" เธอแหว "ขืนมันเปิดเก้าโมง สิบโมง ไม่ต้องแห้งตายอยู่ตรงนี้เหรอ ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว"

วาเรศเริ่มอารมณ์เสียแล้วเหมือนกัน "แล้วคุณจะเอายังไง"

"ทำไมไม่รู้จักถามเขาเสียก่อนนะว่ามันเปิดกี่โมงกันแน่ จะได้ไม่ต้องมาเสียเที่ยว" วาสนาเสียดสี

กูณฑ์เห็นท่าจะไม่ดีเลยห้ามไว้ก่อน

"พ่อครับ แม่ครับ ผมว่าเราหาอะไรกินกันก่อนดีไหมครับ"

"ก็ดีเหมือนกัน" วาเรศเห็นด้วย "เดี๋ยวพ่อดูก่อนว่ามีร้านอะไรเปิดอยู่บ้าง"

หลังจากที่หาร้านที่ต้องการได้แล้ว พวกเขาก็ไปกินอาหารกัน เมื่อท้องอิ่ม อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้น

"ฉันขอโทษนะที่โวยวาย" วาสนาว่า "ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ หงุดหงิดบอกไม่ถูก"

วาเรศขมวดคิ้ว "คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า" เขาถามอย่างเป็นห่วง

วาสนายักไหล่ "ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก.." จู่ ๆ เธอก็หยุดพูดเสียกลางคัน ขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด

"แม่เป็นอะไรครับ" กูณฑ์ถาม นึกกังวลขึ้นมาบ้าง

วาสนาเริ่มกระสับกระส่าย "เรศ ฉันขอกุญแจหน่อยสิ" เธอพูดอย่างร้อนรน

วาเรศนึกสงสัย อยากจะถาม แต่ก็ไม่กล้าแหย่แม่เสือ เขาหยิบกุญแจส่งให้แต่โดยดี วาสนารับกุญแจและเดินออกไปด้วยอาการรีบร้อน พอเธอกลับมาก็นำห่อกระดาษมาด้วย สองพ่อลูกยังไม่ทันซักอะไร หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มผจญภัยนี้ก็รีบไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังร้านทันที

"ท่าทางจะปวดหนัก" วาเรศว่าอย่างไม่คิดอะไร เมื่อคนรักกลับมาเขายังแซวเสียอีก "ปล่อยแล้วคงสบายตัวแล้วสินะ"

วาสนาไม่เห็นขันด้วย "อย่าพูดบ้า ๆ น่ะ อึดอัดจะตายอยู่แล้ว อยากจะตีรถกลับกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ"

"อ้าว แล้วจะไม่ไปเล่นน้ำด้วยหรือ" วาเรศถาม

"ไปเล่นไม่ได้แล้วล่ะ 'มัน' มาแล้ว" วาสนาตอบ

วาเรศตบหน้าผากตัวเอง "ให้ตายสิ งั้นเรากลับกันดีไหม" เขาถาม หลังจากแต่งงานกันมาได้สิบกว่าปี วาเรศก็รู้ดีว่าหากภรรยาของเขารอบเดือนมาเมื่อไหร่ก็จะหงุดหงิดและพาลไปทั่ว บางทีก็ร้องไห้ขึ้นมาเฉย ๆ วาเรศพยายามทำความเข้าใจ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเขาไม่มีมดลูก แต่โชคยังดีอยู่อย่างคือแม้ว่าเธอจะหงุดหงิด สภาพจิตใจอ่อนแอแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเจ็บป่วยทางกายเลย ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีภาระยุ่งยากเพิ่มขึ้นอีก

"อุตส่าห์มากันถึงนี่แล้ว ฉันไม่กลับ" วาสนาว่า

วาเรศคิดใคร่ครวญ เขาต้องพูดประโยคต่อไปอย่างระมัดระวังที่สุด ตอนที่ยังไม่มีรอบเดือนก็ช่างเถอะ จะยั่วแหย่อย่างไรก็มองว่าเป็นการล้อเล่นฉันสามีภรรยาได้อยู่ แต่พอมีรอบเดือนแล้ววาสนาก็เป็นเหมือนคนอีกคนเลยทีเดียว

"งั้นเดี๋ยวเราไปกันเลยนะ" วาเรศว่า พอเห็นวาสนาไม่ได้คัดค้านอะไร เขาก็เรียกพนักงานมาเก็บเงินและออกเดินทางกันต่อไป

Nächstes Kapitel