ตอนที่ 44 ร่างเทพประทับ
“มองข้าทำไมอีก!” เด็กชายน้อยถลึงมองเธอแวบหนึ่ง
เฟิ่งจิ่วหัวเราะ ทันใดนั้นก็หันตัวยื่นมือไปหยิกแก้มเล็กขาวเนียนของเขา “ข้ายิ่งชอบเจ้าขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ ทำยังไงดี?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หงส์ไฟน้อยเบิกตาอย่างตื่นตกใจ ใบหน้าเล็กอันงดงามขึ้นสีแดง เขาพยายามทำท่าทางโกรธ แต่กลับดูกระมิดกระเมี้ยนอยู่บ้าง บนใบหน้ามีความเขินอายเจืออยู่สักสามส่วน ความไม่พอใจอีกเจ็ดส่วน
“เจ้า เจ้าอย่าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วข้าจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเจ้าเชียวนะ เจ้ามันก็แค่คนโง่! ข้าถึงได้ไม่ชอบเจ้า ยังมีอีก เจ้าอย่าได้จับมั่วซั่วเช่นตาแก่บ้าตัณหา ช่างไม่เหมือนผู้หญิงเลยสักนิด!”
เขาหลับตาพูดอย่างหยิ่งยโส ไม่มองไปที่เธอ
เฟิ่งจิ่วหัวเราะ รู้สึกเพียงว่าท่าทางเหนียมอายและไม่สบอารมณ์ของเด็กชายช่างน่ารักเสียจริง
“แม่เด็กน้อย เข้ามาสิ มาให้ข้าลองดูเจ้าดีๆ”
น้ำเสียงซื่อๆ ไร้พิษภัยดังแว่วมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ น้ำเสียงนั้นเปล่งออกมาพร้อมกับแรงดูดที่ดึงทั้งร่างเฟิ่งจิ่วเข้าไปด้านใน
“ผู้หญิงโง่!”
หลังจากกินเปลือกไข่ หงส์ไฟน้อยที่กำลังเช็ดปัดมือก็เห็นเธอถูกแรงนั้นดึงเข้าไปด้านใน เขาร้องลั่นด้วยความกังวลอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเร่งรีบตามไป
เฟิ่งจิ่วรู้สึกแค่ว่าร่างกายขยับไม่ได้ แม้แต่เสียงตะโกนยังไม่ออก เกือบชั่วพริบตาเดียวเธอก็ถูกม้วนมาถึงด้านในตรงเบื้องหน้าโครงกระดูกหัวกะโหลก
เวลาต่อมา มีพลังขุมหนึ่งลุกล้ำเข้ามาในเส้นเอ็นของเธอ ภายใต้การบุกรุกของพลังนั้น เธอรู้สึกว่าทั้งร่างคล้ายถูกเปิดเผยให้โล่งโจ่งอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ เปลือยเปล่าเสียจนไม่มีความลับใดให้พูด
หงส์ไฟน้อยตามเข้ามาก็กลับชนเข้ากับเขตอาคมจนถูกแยกไว้ด้านนอก ไม่มีทางเข้าใกล้เฟิ่งจิ่วที่อยู่ด้านในได้เลย
พอเห็นทั้งร่างเธอยืนอยู่เบื้องหน้าโครงกระดูกไม่ขยับเขยื้อน เขาตะโกนเสียงดังอย่างตื่นกลัวเล็กน้อย “หญิงโง่! หญิงโง่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ร่างเทพประทับ? เป็นร่างเทพประทับจริงรึ? ฮ่าๆๆๆ! นึกไม่ถึงว่าข้าฉู่ป้าเทียนจะได้มาพบร่างเทพประทับที่หาได้ยากในรอบพันปี? ฮ่าๆๆ! สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้า สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้า! ฮ่าๆๆๆ...”
เฟิ่งจิ่วได้ยินเพียงน้ำเสียงที่ทั้งตื่นเต้นและดีใจกำลังหัวเราะร่า เมื่อพลังที่พันธนาการเธอไว้ถูกดึงกลับ ทั้งร่างก็ทรุดลงนั่งบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วสบตากับโครงกระดูกเบื้องหน้าเข้าพอดิบพอดี
เพราะไม่รู้สึกถึงจิตสังหาร และไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้าย ที่มีอยู่ก็แค่น้ำเสียงที่ตื่นเต้นดีใจ ด้วยเหตุนี้เฟิ่งจิ่วจึงไม่กังวลใจอะไร เธอหันไปพูดกับหงส์ไฟน้อยที่ถูกกันไว้นอกเขตอาคมว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็มีพันธสัญญาวิญญาณกัน หลังจากหงส์ไฟน้อยใจเย็นลงก็รู้สึกว่าตอนนี้เธอไม่เป็นอะไรแล้ว เขาจึงส่งเสียงหึขึ้นมาทันใด ก่อนพูดอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย “ใครเป็นห่วงเจ้ากัน?” แต่ดวงตากลับยังคงมองไปด้านในเขตอาคมอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาอยากจะดูอาการเธอสักหน่อย
ด้วยรู้ถึงความปากไม่ตรงกับใจของเขา เฟิ่งจิ่วก็ไม่ถือสา แต่มาให้ความสนใจกับโครงกระดูกตรงหน้าแทน เธอเรียกหยั่งเชิงไป “ผู้อาวุโส?”
และตอนนั้นเอง โครงกระดูกนั้นเผยภาพหนึ่งขึ้นมา ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีดำปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ เขามองเฟิ่งจิ่วที่ด้านล่างด้วยสายตาคมกริบที่มีแรงกดดันแฝงอยู่
“เจ้ามีร่างเทพประทับ แม่เด็กน้อย เจ้าไม่ธรรมดาเลย!”
ไม่เพียงแต่มีร่างเทพประทับที่หาได้ยากยิ่งในรอบพันปี ซ้ำยังเป็นผู้ถือพันธสัญญาของหงส์ไฟสัตว์เทวะโบราณอีก เด็กสาวเช่นนี้จะธรรมดาได้อย่างไร?
เป็นเพราะสวรรค์มีตา ก่อนที่หยดเลือดสุดท้ายของเขาจะสลายสิ้น ยังส่งผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาเช่นนี้มา ให้เขาได้ถ่ายทอดสืบต่อไป...
…………………………………………………….