webnovel

ตอนที่ 016

ตอนที่ 16 ฝ่ามือที่แสนอบอุ่น

“คะ...ใครจ้องคุณกัน...” ใจจริงเย่หนิงอยากจะปฏิเสธ แต่ตัวเธอเองกลับรู้สึกเหมือนกำลังกินปูนร้อนท้อง จึงรีบพูดความจริงออกมาทั้งหมด “ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่า จริง ๆ แล้วคุณเป็นผีหรือเป็นคนกันแน่ ! เหอะ !”

“อ๋อหรอ” เสิ่นอี้เขยิบเข้ามาหาเธอ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณรู้หรือยังล่ะ ?”

เย่หนิงจับมือของเขาขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็นิ่งไปชั่วขณะ

มือของเขา มันรู้สึกอุ่น ไม่ได้เย็นเฉียบ

มันเป็นไปไม่ได้หรอกน่า !

เย่หนิงจับมือของเขา มองสำรวจไปมา แขนเสื้อสีขาว กำไลสีเงิน แต่พอเทียบกันแล้วมันไม่เหมือนเขาคนนั้นที่มีผิวขาวเนียนสวยดั่งหิมะ มีออร่าสะดุดตา แต่ผิวตอนนี้ของเขาดูอบอุ่น อ่อนโยน ราวกับหยกไขมันแพะ

นี่ก็เป็นไปไม่ได้ !

สีหน้าของเย่หนิงแสดงออกว่าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด เธอจับใบหน้าของเขา แล้วลูบไล้หน้าอกของเขาไปมา...

“อะแฮ่ม ๆ...” ลู่เว่ยทนมองไม่ไหวแล้ว ! นี่มันชักจะโจ่งแจ้งเกินไปแล้วนะ ! ถึงขั้นผลักเขาติดกำแพง ลูบไล้ลำตัวของเขา......ลวนลามศาสตราจารย์เสิ่นอี้อย่างไม่อายฟ้าอายดินเล้ย !

คุณหมอเย่นี่ช่างใจกล้าเสียจริง ๆ

ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงนะ ควรจะรักนวลสงวนตัวสักนิดไม่ใช่หรือไง ? อย่างน้อยก็หันไปดูสีหน้าที่เอือมระอาของเสิ่นอี้บ้างสิ

เธอเป็นถึงคนที่มีการศึกษา ได้รับการอบรมมาอย่างดีนะ ถึงจะรู้สึกอย่างไรแต่ก็ไม่ควรแสดงออกมาอย่างชัดเจนขนาดนี้สิ

เย่หนิงรีบปล่อยมือออก หันไปมองใบหน้าที่อดกลั้นมานานของหยางปินและลู่เว่ยที่ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดีอย่างกระอักกระอ่วน แล้วพูดขึ้นช้า ๆ “พวกเรากำลังโต้ตอบปัญหาวิชาการกันอยู่ค่ะ ศาสตราจารย์เสิ่น คุณว่าอย่างนั้นไหมคะ ?”

เสิ่นอี้ไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงแต่ปิดปากเงียบ แต่ใบหน้าของเขาที่ขึ้นสีแดงกล่ำแบบนั้นมันหมายความว่าอะไรกัน ! เมื่อเห็นท่าทางของเขาแบบนั้นแล้ว เย่หนิงก็เริ่มที่จะสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอทำอะไรผิดไปนะ และเมื่อได้เห็นสีหน้าที่ใสซื่อของเสิ่นอี้......เมื่อกี้เขาเรียกว่าโรคหลงตัวเองใช่ไหม ?

ถึงแม้ในใจของหยางปินอยากจะบันดาลโทสะออกมามากแค่ไหนก็ตาม แต่ยังไงเสิ่นอี้ก็ยังอยู่ตรงนี้ พอมาอยู่ต่อหน้าทั้งสองฝ่าย เขาก็ไม่กล้าจะพูดอะไร เขาเพียงแต่กระแอมขึ้นมาเล็กน้อย “เว่ยเจี้ยนกั๋วกับจางลี่มาถึงแล้ว”

นอกจากนักศึกษาเหล่านั้นแล้ว กุญแจสำคัญของคดีนี้ก็คือสามคนนี้ เว่ยเจี้ยนกั๋วที่เป็นคนขับรถ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จางลี่ แล้วก็กู่ซานหมิง ผู้ใหญ่บ้านของว่างยาชุน

อันที่จริงนั้นพวกเขาควรจะต้องไปเยี่ยมที่บ้านของนักศึกษาทั้งสามสิบเอ็ดคนที่หลงเหลืออยู่เพื่อที่จะได้ทราบถึงเหตุการณ์ตอนนั้นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนที่จะไปนั้น หยางปินก็ได้ตัดสินใจที่จะพบผู้ที่เป็นกุญแจสำคัญทั้งสามคนนี่เสียก่อน

เว่ยเจี้ยนกั๋วกับจางลี่ที่อยู่ในห้องทำงานของหยางปินก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ทั้งสองก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้

เมื่อได้คิดวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาก็ได้ตัดสินที่จะแยกสอบปากคำทั้งสองคน โดยที่จะเริ่มจากเว่ยเจี้ยนกั๋วก่อน

พอเห็นว่าเว่ยเจี้ยนกั๋วมีสีหน้าที่ตึงเครียด หยางปินจึงถามเขาด้วยท่าทีสบาย ๆ ว่า “พวกเราแค่อยากจะทราบถึงเหตุการณ์เหล่านี้เท่านั้นเอง พวกคุณไม่ต้องกดดันนะครับ เสี่ยวลู่รินน้ำให้คุณเว่ยหน่อยสิ”

เว่ยเจี้ยนกั๋วรับแก้วน้ำมา เขายิ้มอย่างเจื่อน ๆ “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หยางปินถามต่อ “คุณเว่ยครับ ได้ยินมาว่าคุณขับรถไปผิดทาง จึงทำให้หลงมาที่หมู่บ้านว่างยาชุนใช่ไหมครับ ?”

“ใช่ครับ” เมื่อเว่ยเจี้ยนกั๋วพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ถ้าไม่เป็นเพราะว่าเขาประมาทเลิ่นเล่อจนขับรถมาผิดทาง เหตุการณ์เหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร เขาคงต้องรับผิดชอบ

เย่หนิงอ่านเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีของเว่ยเจี้ยนกั๋ว เว่ยเจี้ยนกว๋อ อายุสี่สิบปี มีประสบการณ์การขับรถมายี่สิบปีแล้ว เป็นคนขับรถที่มากประสบการณ์ เริ่มขับรถขนสินค้าตั้งแต่อายุสิบเก้าปี ก่อนหน้านั้นเจ็ดปี เขาเข้าทำงานที่บริษัทขนส่งมวลชน ขับรถทางไกลมาตลอด ถนนจากเมืองซีอวิ๋นจรดเมืองตงไห่เส้นนี้ เขาขับมาแล้วสามสี่ปี

รถที่นักศึกษามหาวิทยาลัยซีอวิ๋นเหมามานั้น จางลี่เป็นคนออกหน้าติดต่อบริษัทขนส่งให้หามาให้ ทั้งรถและคนขับก็เป็นทางบริษัทขนส่งที่จัดหามาให้โดยไม่ได้เฉพาะเจาะรถและคนขับจงเป็นพิเศษ อีกทั้งก่อนหน้านั้นเว่ยเจี้ยนกั๋วก็ไม่รู้จักนักศึกษากลุ่มนี้มาก่อน ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรเลย ในเบื้องต้นเขาจึงหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยได้

หยางปินรู้สึกว่าเว่ยเจี้ยนกั๋วไม่น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยที่ก่อคดีนี้ได้ เขาจึงปลอบเว่ยเจี้ยนกั๋ว ไม่ให้เขาต้องรู้สึกตึงเครียดและกดดันเกินไป หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ถามขึ้นอีกครั้ง “คุณเว่ยครับ ระหว่างที่เดินทางกันนั้นคุณรู้สึกว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้มีเหตุการณ์อะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ? ผมหมายถึงว่า พวกเขาได้มีปัญหาอะไรกับใครบ้างไหม ? มีการปะทะกันหรือเปล่าครับ ?”

เว่ยเจี้ยนกั๋วส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทางเหม่อลอย “ผมใช้สมาธิขับรถอยู่ตลอด ไม่ค่อยได้สนใจเหตุการณ์ของนักศึกษาเหล่านั้นเลยครับ แต่ว่า...” พอพูดประโยคนี้ออกมา เขาเหมือนรู้สึกลังเล

หยางปินจึงถามขึ้น “คุณเว่ยครับ ถ้ามีอะไรก็พูดออกมาได้เลย ไม่ต้องปิดบัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่อยากเอ่ยถึงก็ไม่เป็นไรครับ”

เว่ยเจี้ยนกั๋วเกาหัวยิก ๆ “มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนาหรอกครับ ก็แค่ตอนที่พวกเราเพิ่งจะมาถึงหมู่บ้านว่างยาชุน หวังจวิ้นคนนั้นแหละ เขาเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ เอาแต่โวยวายว่าจะลงจากรถให้ได้ แถมยังหัวแข็ง ผู้ใหญ่บ้านก็ย้ำเตือนแล้วว่าตอนกลางคืนให้พวกเราปิดประตูหน้าต่างให้ดี แต่เขาดูเหมือนจะไม่สนใจเลย...”

หยางปินรีบถามขึ้นมา “คุณหมายความว่า คืนนั้นหวังจวิ้นอาจจะไม่ฟังคำเตือนของผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็เปิดประตูหน้าต่างออกมา”

“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก......” เว่ยเจี้ยนกว๋อยิ้มเจื่อน “ผมไม่ค่อยเข้าใจนักศึกษากลุ่มนี้จริง ๆ ครับ วันนั้นตอนที่หาตัวหวังจวิ้นไม่พบ พวกเราคิดว่าเขาคงหนีออกไปตั้งแต่กลางดึกแล้วครับ”

เย่หนิงและคนอื่น ๆ ต่างมองเขาเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก คิด ๆ ดูแล้ว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นนั้น ช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับเว่ยเจี้ยนกั๋วก็นับได้ว่าไม่เกินสิบชั่วโมง และถ้านับถึงตอนนี้แล้ว เวลาที่เว่ยเจี้ยนกั๋วกับนักศึกษาอยู่ด้วยกันนั้นก็เป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน นอกจากนั้นแล้วระหว่างพวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ติดต่อกันตามลำพังได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะสนิมสนมกัน

เมื่อเขาไม่รู้ว่าจะถามถึงเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวกับหวังจวิ้นกับเว่ยเจี้ยนกั๋วอีก หยางปินจึงทำได้เพียงยอมแพ้ แล้วเปลี่ยนเป็นคำถามอื่นแทน “แล้วหมู่บ้านนั้นล่ะ สามสี่วันมานี้ที่พวกคุณได้พักอยู่ที่หมู่บ้านว่างยาชุน สังเกตเห็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลในหมู่บ้านนี้บ้างไหมครับ ?”

พอหยางปินถามคำถามนี้ขึ้นมา สีหน้าของเว่ยเจี้ยนกั๋วก็เปลี่ยนไป หยางปินที่รู้สึกได้อย่างทันที จึงรีบถามต่อว่า “คุณเว่ยครับ คุณพอจะนึกอะไรออกบ้างไหมครับ ?”

สีหน้าของเว่ยเจี้ยนกั๋วกลับแย่ลงกว่าเดิมมาก “คุณตำรวจครับ พวกคุณไม่เคยไปที่นั่น ! ถ้าพวกคุณได้ไปที่นั่น พวกคุณก็จะรู้ครับ ! ทั้งหมู่บ้านนี้มีแต่อะไรที่ไม่ชอบมาพากลทั้งนั้นเลย มองไปตรงไหนก็ระแวงไปหมด ไม่มีอะไรที่ปกติเลยแม้แต่นิดเดียว คนในหมู่บ้านก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ปิดบังพวกเราไว้อยู่......”

เว่ยเจี้ยนกั๋วเลียริมฝีปาก “ตอนที่พวกเราไปถึงที่นั่นก็รู้สึกได้เลยว่า ชาวบ้านเหมือนจะไม่อยากต้อนรับพวกเราเลยสักนิด จะพูดว่าไม่มีความเป็นมิตรอยู่เลยก็ว่าได้ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะพวกเราเดินทางไปต่อไม่ได้จริง ๆ พวกเขาก็คงขับไล่พวกเราออกไปแล้ว อีกทั้งยังผู้คนในหมู่บ้านที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกแปลก ๆ อีก......”

หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่คนในหมู่บ้าน ?