webnovel

6-3 众神之宝 สมบัติของเทพ

ใต้เท้าจีกงหัวเราะ ในความเป็นจริงแล้วท่านเพียงมองการณ์ไกล หวังสงบศึกระหว่างเทพกับปีศาจ หากมารดาพยัคฆ์คาบข่าวเรื่องหยกพันปีไปบอกพรรคพวกเสียว่ามันไม่ได้อยู่ที่เกาะเทพอุดร เหล่าเทพยังต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อช่วยเหลือเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย เทพอู่เฉินอาจไม่ต้องวุ่นวายกับงานสู้รบ ไปอีกพักใหญ่ ๆ

"เจ้าตัวเล็กอยากอยู่วิ่งเล่นในเรือนข้าไหมเล่า ท่านแม่ของเจ้าจะได้ไปจัดการธุระกงการเสียให้เรียบร้อย"

"ไม่... ข้าจะไปกับท่านแม่"

"เจ้าไม่ได้เป็นใบ้หรอกหรือ? ข้านึกว่าท่านแม่ของเจ้าไม่ได้สอนให้เจ้าพูดเสียอีก"

พยัคฆ์อัคคียังตัวเล็กนัก มันอ่อนต่อโลกเกินกว่าจะติดตามมารดาของมันไป และสัญชาตญาณของสัตว์อสูรเติบโตด้วยตัวของมันเอง

"ต่อแต่นี้ไป เจ้าต้องเอาตัวรอดด้วยตัวของเจ้า ไม่มีแม่คอยคุ้มกันภัยอีก พวกเราเหล่าอสูรเป็นเช่นนี้ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไร้ซึ่งความผูกพันใด ๆ" พูดจบ ผู้เป็นแม่เพียงเดินไป ปล่อยลูกน้อยไว้ในเรือนใต้เท้าจีกง

มันไม่แม้แต่จะกอดลาลูกด้วยซ้ำ หันมาคำรามลั่นเมื่อบุตรชายวิ่งตามหลังมัน ในความหมายว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไป มันจะถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ มิใช่ว่ามารดาโกรธมันเพราะทำตัวซุกซน แต่นี่เป็นสัญชาติของอสูรและปีศาจ พวกมันแตกต่างจากเทพโดยสิ้นเชิง

ในสายตาของเทพอู่เฉิน มารดาพยัคฆ์อัคคีไม่ต่างจากมารดาของเขาสักเท่าไร วันที่นางจากไปก็พูดเช่นนี้ ลาก่อนลูกชาย เจ้าต้องอยู่ด้วยตัวของเจ้าเอง ถึงมารดาปีศาจจะไม่ได้ทิ้งเขาไปจริง ๆ นางยังคงเหลือเยื่อใยต่อเขา กระทั่งบุตรชายได้ไปฝึกตนถึงเทวโลกชั้นฟ้า ได้รับความเมตตาเอ็นดูจากเหล่าเทพ กลายเป็นเขาเสียเอง ไม่อยากจะพบนาง

"ข้าขอ ๆ!" เสียงแหบพร่าตะโกน อาเป้ยเดินกระย่องกระแย่งมาคว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นอุ้ม มันพยายามดิ้นรนจากอ้อมแขนเล็ก ๆ ด้วยความโศกเศร้าอาลัยอยากตามมารดาของมันไป แม้รู้ดีว่าสี่เท้าที่เหยียบย่างไปพร้อมเปลวไฟสีน้ำเงินหมายความว่าคำไหนคำนั้น

"ข้าชอบเจ้าตัวเล็กนี่เหลือเกินใต้เท้า ข้าเกรงว่าเรือนท่านจะไม่มีสถานที่ดูแลสัตว์อสูร ท่านคงยุ่งวุ่นวายกับงานปลูกบัวปลูกต้นไม้เป็นแน่ ให้ข้าดูแลเจ้าพยัคฆ์น้อยเถิด"

"จริงอย่างที่เจ้าว่านะอาเป้ย ข้ามีธุระประปรังต้องจัดการมากมาย ทั้งเรื่องวุ่นวายบนโลกมนุษย์ก็ยังไม่ได้สะสาง"

มีผู้หนึ่งไม่เห็นด้วยกับนาง เทพอู่เฉินถอนหายใจออกมา "อาเป้ย... ไยเจ้าแสนดันทุรังไม่รู้จักเจียมสังขาร สภาพของเจ้าตอนนี้ยิ่งเสียกว่ามนุษย์ใกล้ตาย เจ้าควรรักษาตนให้รอดก่อน"

"ข้าไม่เป็นไร ข้าเดินไหวแล้วเห็นไหมเล่า?"

ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากสั่นระริกของนาง เปล่งเสียงออกมาแต่ละคำแผ่วเบาราวกระซิบ ทำให้เทพอู่เฉินพยายามยื้อแย่งเจ้าพยัคฆาน้อยจากนาง แต่นางกลับไม่ยอมอ่อนข้อต่ออีกฝ่าย สะบัดชายอาภรณ์รัดเจ้าตัวเล็กไว้กับมือของนางด้วยเชือกสีเหลืองทอง

"อาเป้ย! เจ้ายังไม่หายดีห้ามใช้เวทเซียนโดยเด็ดขาด" 

"ก็ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าขอเจ้านี่ ท่านไม่มีสิทธิ์มาแย่งชิงพยัคฆ์อัคคีไปจากข้า ข้าพบมันก่อนท่าน ครานี้ข้าจะชักดาบออกจากฝักมาต่อสู้กับท่านแน่..."

"อาเป้ย..."

ในน้ำเสียงเคร่งขรึมปราม ทั้งสีหน้าท่าทางเทพอู่เฉิน ผู้ใดมองก็รู้ว่ากำลังหวงแหนนางแม้กระทั่งกับอสูร แต่พอถูกทำหน้าตาเกรี้ยวกราดใส่ ประหนึ่งว่าพร้อมประกาศตัวเป็นศัตรู กลับไม่กล้าขัดใจนาง

"ข้าจะตามใจเจ้าสักครั้ง แต่อย่าให้มีปัญหามาถึงข้า มิฉะนั้นข้าจะขังทั้งเจ้า ทั้งอสูรกำพร้านี่เอาไว้ไม่ให้เห็นแม้แสงตะวันทีเดียว"

 

อาเป้ยวางพยัคฆ์อัคคีเอาไว้บนพื้นไม้กลางห้องพัก นั่งยองลงพูดกับมันด้วยเหตุผล ด้วยลักษณะนิสัยของนางมักพูดจาด้วยเหตุผลเสมอ เจ้าตัวเล็กจึงยอมฟังนาง บอกกับมันว่าถึงเวลาเติบใหญ่เมื่อใดค่อยไปก็ย่อมได้ ในเมื่อมันคงไม่มีทางเลือกมากมายนักหากออกไปเผชิญเทวโลกเพียงลำพัง มารดาของมันเป็นอสูรสร้างศัตรูไว้มาก ตัวมันมีแต่ตายกับตาย มันจำเป็นต้องอยู่กับนางก่อน เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตและเอาตัวรอด

นางทิ้งตัวลงนอนได้สักพักหนึ่ง ลืมตาตื่นแล้วจึงลุกขึ้นจากที่นอน ชะโงกคอมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นเหล่าเทพกำลังช่วยกันซ่อมแซมเรือนใต้เท้าจีกงให้กลับมางดงาม บ่าวเทพงูของเทพอู่เฉินตามมาสมทบ เหล่าเทพแห่งสายน้ำช่วยกันใช้เวทเซียนฟื้นฟูบ่อบัว สำเร็จไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

กำไลบนข้อมือนางกลายเป็นกำไลหยินหยาง มีทั้งลูกประคำสีขาวและสีดำตอนไหนไม่รู้ได้

อาเป้ยคงไม่ได้โกรธอะไรเทพผู้แสนดีต่อนางถึงเพียงนี้ แต่ปากว่านินทาเป็นปกตินาง

"เป็นเทพประสาอะไร วาจาร้ายกาจนัก มาว่าผู้อื่นกำพร้า ข้าเองไม่ต่างจากกำพร้าทั้งพ่อแม่ อยู่เป็นข้ารับใช้นักพรตมาทั้งชีวิต เจ้ารู้ไหม?"

พยัคฆ์อัคคีนอนนิ่งบนพื้นไม้ นางมองมันทำหน้าตาเอื่อยเฉื่อย เผลอคิดอยู่ว่านางทำให้มันสะดวกสบายจนเคยตัวไปหรือเปล่า

"ข้าหายดีเมื่อใด เจ้าต้องดูแลตัวเอง ข้าจะไม่หาอาหารให้เจ้าทุกมื้อหรอกนะเจ้าพยัคฆ์ เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"

พยัคฆ์อัคคีไม่ตอบนาง มันกำลังเศร้าหมองจึงมีเปลวไฟสีน้ำเงินห่อหุ้มอยู่ตลอด หน้าตาของมันบอกว่าไม่อยากรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น

"ตัวเจ้าสว่างไสวดีนัก ซ้ำร้ายวีรกรรมของเจ้าคือพังบ่อบัวเสียราบคาบ เจ้าดอกบัว 蓮 ข้าจะเรียกเจ้าว่าเหลียนเหลียนก็แล้วกัน ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกชื่อข้า เชิญพักผ่อนตามสบายนะเจ้าเหลียนเหลียน"

อาเป้ยเห็นว่าเจ้าตัวเล็กไม่ยอมคุยกับนาง จึงเดินออกไปรับอากาศเสียบ้าง แต่ไม่ทันจะได้ออกไปไหนไกล นางเดินไปเพียงหน้าประตูห้อง ภริยาของใต้เท้าจีกงก็นำเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้นาง จึงต้องกลับเข้าห้องมาเสียก่อน

"ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ข้านำเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามมาให้เจ้าหลายชิ้น" นางฟางเหนียงยกมือปรามอาเป้ยไม่ให้ยกมือคารวะก้มศีรษะ หันไปบอกสตรีข้างกายให้ส่งของมากมายให้นาง

"เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า ทั้งหมดนี่เป็นของเทพอู่เฉินนำไข่มุกทะเลทักษิณมาแลกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เจ้า"

"ข้ารู้สึกไม่เหมาะสมกับสมบัติสวยงามของท่าน ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก" 

"เจ้าควรรับเอาไว้ ข้าได้ยินว่าเจ้าเกือบตายเพราะเทพอู่เฉินคาบเจ้าขึ้นมาจากโลกมนุษย์ วิสัยท่านไม่สนใจไยดีผู้ใด ท่านคงอยากไถ่โทษด้วยการตอบแทนเจ้ากระมัง"

มารดาแห่งสายน้ำพูดพลางสะบัดมือ เปลี่ยนชุดสีสันสดใสให้กับอาเป้ย ทั้งสีฟ้าครามสดสวย สีเขียวมรกตดังสายน้ำในภพภูมิบาดาล เสื้อผ้าอาภรณ์คล้ายคลึงกับผู้คนที่นี่ รวบถักเปียและปิ่นปักผมมุกทะเลลึกให้นางด้วยแววตาเอ็นดู ราวกับว่านางเป็นบุตรสาว แต่แล้วก็เปลี่ยนกลับเป็นชุดสีดำให้นางดังเดิม

"เจ้ามีใบหน้าหมดจดงดงาม สติปัญญาเฉลียวฉลาด น่าเสียดายสำหรับข้าผู้ยังไม่มีสะใภ้สักคน เพราะเจ้าดันเป็นสมบัติของเทพอู่เฉิน..."

อาเป้ยถึงมีปัญญาฉลาดหลักแหลมเท่าไร คงไม่เข้าใจความหมายเรื่องสมบัติของเทพ นางยังสงสัยว่าเทพฟางเหนียงนำเสื้อผ้าสวยงามมาตั้งมากมาย เหตุใดกลับส่งอาภรณ์และเครื่องประดับสีดำให้นางสวม ยังบอกกับนางว่านางเหมาะสมกับสีดำเพียงเท่านั้น

Next chapter