ผ่านไปสามราตรีกาลไม่มีอะไรคืบหน้า
ปีศาจนับสิบตนยังพยายามตามหาเทพอู่เฉินในเรือนแต่ไม่พบท่านตามที่นางว่า
ทางด้านฝั่งเทพเลิกต่อต้านอสูรปีศาจ ปล่อยให้เดินไปเดินมาตามใจ ระหว่างรอก็ชักชวนกันฆ่าเวลา นั่งฝึกปัญญาด้วยหมากเซี่ยงฉี เหล่าเทพผู้น้อยช่วยกันซ่อมแซมพื้นเรือนด้านหน้าให้กลับมาสวยสะอาดเรียบร้อยดังเดิมแล้ว บ่าวงูทั้งสองยังกลับมาเอาความกับนางเรื่องเทพอู่เฉินไปอยู่ที่ใด
"หวังว่าเจ้าจะไม่โป้ปดพวกข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว"
"ท่านรอถามเทพอู่เฉินด้วยตัวท่านเองก็แล้วกัน ท่านซื่อหยูอี้ ท่านเซียวอี้หรู ข้าหน่ายจะอธิบายความให้ท่านฟัง เพราะว่าท่านไม่เคยจะฟัง"
อาเป้ยกำลังวัดฝีมือกับเทพแห่งสายน้ำ บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย นางคีบหมากเฉียมุ่งไปดักโจมตีถึงในบ้านของอีกฝ่าย ทว่านางคงไม่ชำนาญงาน จึงไม่ได้ดูเลยว่ามีองครักษ์คอยป้องกันอยู่
"เก็บพลังเวทไว้ใช้ยามจำเป็น กำชัยชนะโดยไม่ต้องออกรบ เจ้าเฉลียวฉลาดนัก อาเป้ย" เทพแห่งสายน้ำเอ่ยคำชื่นชมนาง จากเคยว่านางเป็นสตรีควรนิ่งเงียบเสียก็เปลี่ยนความคิดใหม่
บนโลกของทวยเทพ เทพสตรีออกเรือนแล้วยังต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทสามีเช่นเดียวกับมนุษย์ ในขณะที่บุรุษเทพยอมโอนอ่อนให้ภริยาบ้างเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ ต่างฝ่ายให้เกียรติกัน ครองคู่กันไปตลอดกาลตราบจนกายเทพจะแตกสลาย
"สมกับที่เป็นศิษย์นักพรตฮุ่ยหมิง ข้าเคยได้ยินจากท่านพ่อว่าเซียนผู้นั้นเก่งฉกาจ เดิมทีเป็นนักพรตผู้บำเพ็ญเพียร อุตสาหพยายามอย่างยากยิ่ง จนได้เป็นเซียน มีพละกำลังเยี่ยงเทพ จึงเรียกว่าเป็นเทพเซียน"
บุรุษเทพรูปงามพูดไปเล่นไปอย่างคล่องแคล่ว ตรงข้ามกับอาเป้ย นางขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง คิดแล้วคิดอีกกว่าจะเดินหมากแต่ละตาได้ กระทั่งถึงตาสุดท้าย นางถูกโจมตีย่อยยับไม่มีเหลือ แม้แต่เบี้ยก็ถูกสังหารเรียบ
นางจะไปเก่งหมากรุกได้อย่างไรเล่า!
นอกจากงานดูแลนักพรต ฝึกวรยุทธ์ ทำการบ้านส่งอาจารย์ฮุ่ยหมิงให้ครบถ้วน ด้วยเวลาที่มีจำกัดในชีวิตของนางแต่ละวันก็ว่ายากเย็นแสนเข็ญแล้ว
อาเป้ยยกมือขึ้น ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม เคารพท่านเทพแห่งสายน้ำคนพี่
"ข้าแพ้ราบคาบไม่มีเหลือแม้เบี้ยสักตัวบนกระดาน หมากกระดานหน้า ข้าเดินผิดถูกตรงไหนอย่างไร รบกวนท่านให้คำชี้แนะข้าด้วย เทพเฟยหลิง"
ศึกประลองสมองควรเป็นเรื่องชำนาญงานของนักปราชญ์ ผู้เฉลียวฉลาดเช่นนาง แต่พูดไปใครจะเชื่อ
นางแพ้ราบคาบ!
เหล่าปีศาจและอสูรเริ่มเหน็ดเหนื่อยกับการตามหาหยกพันปี ด้วยความที่เกาะเทพในฝั่งทิศอุดรนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล ในป่าทึบมีพรรณพฤกษามากมายหลากหลายชนิด ท้องนทีสีมรกตยาวสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาทอดยาวเชื่อมต่อไปถึงทิศประจิม
ฝั่งยักษาอสูรวิ่งไปทั่วพื้นหญ้า พื้นหิน พื้นทราย ตามหาในแหล่งหนองน้ำก็หาได้พบไม่ หลายตนถือวิสาสะเข้ามาในเรือน ตามหาเทพอู่เฉินแต่ไม่พบท่านแม้เงา
ฝั่งเทพไม่ได้ออกแรงต่อสู้ แค่คอยเฝ้าดูแลข้าวของให้อยู่ที่เดิมของมัน ของวิเศษชิ้นอื่นนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง ของหายากไปกว่านั้นเทพอู่เฉินก็ไม่ได้วางเอาไว้ให้ใครหยิบง่าย ๆ และเหล่าปีศาจได้รับการให้เกียรติเป็นแขกจึงมีศักดิ์ศรีพอสมควร
อีกหนึ่งราตรีกาลผ่านพ้นไป ปีศาจต่างอ่อนล้าเหนื่อยแรงจึงกลับมาที่เรือนเทพอู่เฉินอีกครั้ง พยัคฆ์อัคคีก็ตามมาเอาเรื่องนาง
"เจ้า... หลอกลวงข้า หยกพันปีไม่ได้อยู่บนเกาะแห่งนี้"
"พวกท่านต่างมากันเอง ทึกทักกันเอาเอง ท่านหาของไม่พบเองจะมากล่าวหาว่าข้าไปหลอกอะไรท่าน ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ผู้ใดบอกท่านว่ามันอยู่กับท่านอู่เฉิน หากข้าเป็นเจ้าสวรรค์ ข้าจะไม่ปล่อยให้ของสำคัญเท่านี้อยู่ในมือครึ่งเทพครึ่งปีศาจ"
อาเป้ยยังคงใจเย็นแม้ต่างฝ่ายตั้งท่าเตรียมต่อสู้ นางรินชาใส่ถ้วยใบเล็ก ยกขึ้นจิบโดยไม่ใช้เวทเซียนแต่ทำทุกอย่างด้วยสองมือ
ถึงแม้ว่าเพลิงโทสะล้อมรอบกายพยัคฆ์อัคคี ด้วยความเกลียดชังเคียดแค้น สงครามกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
"แม่เฒ่าไม่มีทางโกหกพวกข้า หยกพันปีจะต้องอยู่ที่เรือนท่านอู่เฉิน"
"ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า 'เลือดข้นกว่าน้ำ' เกิดวันใดเทพอู่เฉินส่งหยกพันปีให้กับมารดาของท่าน ไม่คิดหรือว่าภัยพิบัติจะมาเยือนเทวโลก หากเป็นข้าคงเลือกเก็บไว้เบื้องบน ในสถานที่ปลอดภัยกว่าไว้กับเทพอู่เฉิน ข้าว่า... พวกท่านมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ"
"นี่เจ้า! จงใจหลอกพวกข้าอย่างนั้นรึ"
เหล่าปีศาจแสนโง่เขลาเบาปัญญา ตั้งท่าต่อสู้อย่างสุดกำลังเมื่อโทสะเข้าครอบงำ
ยิ่งพยัคฆ์อัคคีดันถูกนางหลอกเข้าเสียแล้ว
ร่างพยัคฆ์ลุกเป็นไฟโชติช่วง ส่งเสียงคำรามลั่น ทั่วทั้งท้องฟ้าเกิดอสุนีบาต แสงเสียงดังสะท้านไปทั่วก่อนกระโจนกายเข้าหานาง
อาเป้ยตกเป็นผู้กระทำความผิดอย่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย นางกระโดดหลบสายฟ้าลูกใหญ่จากพยัคฆ์และคมกระบี่จากยักษาสองตน โต๊ะชากระเด็นกระดอน ถ้วยชาลายดอกเหมยในมือของนางแตกกระจาย นางถีบทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเทพแห่งสายน้ำ วาดวงเวทสร้างตาข่ายจับกุมสัตว์อสูร
ศัตรูกำลังคลุ้มคลั่งเพราะถูกนางยั่วยุ จึงไม่ทันโจมตีนางด้วยกรงเล็บทั้งสี่
ขาของสัตว์อสูรถูกตรึงด้วยเวทสีเขียวอานุภาพร้ายแรง ธาตุน้ำดับธาตุไฟ บุตรชายของใต้เท้าจีกงทั้งสองเทพผู้มีพลังมหาศาล ยักษาอีกสี่ตนจะเข้าช่วยก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกมัดรวมกันไว้ด้วยเวทสีเหลืองทองอร่าม อักขระโบราณของสำนักวัดเทียนหลง
เหล่าปีศาจไม่สามารถต่อกรกับเทพในเวลานี้ ยังมีเซียนปราชญ์อีกหนึ่งคน ตัดกำลังให้เหน็ดเหนื่อยเสียก่อน จึงยอมจำนนรับความพ่ายแพ้ ถูกจับกุมตัว มัดรวมกันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่