เสียงของบุรุษเทพตวาดดังลั่น นัยน์ตาแดงก่ำประหนึ่งจะปลิดชีพอีกฝ่ายซึ่งมีตัวประกันเป็นคนไม่สำคัญเอาเสียเลย ทางฝ่ายเทพสมควรปล่อยให้นางถูกสังหารไปเสีย มิใช่ทำให้ศัตรูเห็นว่านางยังมีประโยชน์
"ส่งหยกพันปีมาให้ข้า... เทพอู่เฉิน"
ทั้งสองฝ่ายสบมองกันอย่างเชือดเฉือน กระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อกระบี่บนคอนางบาดลงลึกจนเลือดซึม
อาเป้ยถูกกระบี่คมกริบเฉือนลึกเข้าไปในเนื้อ ชายแปลกหน้ายังบีบคอนาง โดยที่นางไม่แม้แต่จะแสดงออกทางสีหน้าว่าเจ็บปวด นางสงสัยใคร่รู้ว่าหยกพันปีนี่คืออะไร ทั้งเทพและปีศาจถึงได้ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วผู้ใดคือเทพอู่เฉิน!
"ข้าไม่รู้ว่าหยกพันปีอยู่ที่ใดบนเกาะนี้ เจ้าอยากได้ก็ต้องลองค้นหาเอาเอง"
"นางตายแน่... หากว่าท่านไม่รู้"
"ข้าขอโทษด้วย เจ้า..."
"อาเป้ย ข้าชื่ออาเป้ย" นางแนะนำตัวอย่างยินดี เมื่อท่านเทพรู้สึกผิดต่อนางแทนที่จะว่านางเป็นปัญหา พร้อมกันนั้นนางยกมือขึ้นจับใบมีดกระบี่ อาศัยจังหวะที่ศัตรูกำลังตกใจ ผลักยันอาวุธออกจากคอด้วยแรงทั้งหมดที่มี
โลหิตหลั่งไหลจากอุ้งมือเล็ก ๆ ของนางราวสายน้ำ มือของนางยังเกือบจะขาด หากไม่เป็นเพราะพลังกายเทพอันกล้าแกร่งซึ่งนางได้รับมาในร่างนี้ ทำให้นางบาดเจ็บแค่พอประมาณ
นางใช้ช่องเพียงเล็กน้อย พลิกกายในท่าคว่ำสะบัดตัวให้หลุดจากการจับกุมของมือปีศาจ สลัดมันออกไปอีกทางหนึ่ง ด้วยทักษะการต่อสู้และป้องกันตัวมาโดยตลอดชีวิตของนางก็คงจะไม่ยาก
เทพหลงเหนียนไม่รอช้า พุ่งตัวเข้าซัดคมกระบี่ใส่ผู้รุกรานให้ถอยร่นไป อาเป้ยพลิกฝ่าเท้า หมุนตัวขึ้นในอากาศ ใช้เลือดจากลำคอวาดอักขระยันต์ด้วยปลายนิ้ว ตัวอักษรมากมายกระจายออกเป็นสีทองอร่าม เกิดแรงระเบิดทำให้ฝั่งปีศาจกระเด็นไปคนละทิศทาง ทว่าฝั่งเทพสามารถทรงตัวยืนได้อย่างสง่างาม
ปีศาจล้วนไม่ถูกกับเวทเซียนสีเหลืองทอง ผู้ใช้เวทชนิดนี้มีเพียงนักปราบปีศาจ นักพรตนักบวช แต่อักขระที่วาดด้วยเลือด ใช้เป็นอาวุธในการทำร้ายศัตรูได้ มีเพียงแห่งเดียวบนโลกมนุษย์
"คนจากสำนักเทียนหลง เจ้า! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"
"ไปรายงานใต้เท้าจีกง!"
ผู้มาเยือนหายตัวไปราวสายลมพัดผ่าน เทพหลงเหนียนหันมาเอาเรื่องนาง
"ข้าสั่งให้เจ้า..."
"ข้าเบื่อนี่ ข้าไม่ใช่นักโทษทำไมท่านต้องขังข้าเอาไว้ด้วยล่ะ ข้าแค่หาสักหนทางคลายเหงา ไหนจะแขกเหรื่อท่านก็ชอบทำเสียงดัง สู้ให้ข้าออกมาอัดปีศาจสักตนหน่อยจะเป็นไรไป ต่อให้ข้าบาดเจ็บหรือตายยังดีเสียกว่าอยู่เฉย ๆ ในคุกใต้ดินของท่าน"
นางพูดฉอด ๆ ทั้งมือและรอบคอมีรอยเลือดไหลซึมตามแนวกระบี่ ทั้งที่นางไม่ได้คิดจะมาอัดใครหรอกแค่มาเดินเล่นของนาง เทพหลงเหนียนจำเป็นต้องพูด
"ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ให้เจ้าออกมาเที่ยวเล่น เจ้าจะออกมาข้างนอกไม่ได้ หากข้าไม่อนุญาต"
"แต่นี่ก็เรือนของท่านมิใช่หรือ? เหตุใดเทพผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงเทพหลงเหนียนไม่สามารถสร้างความสงบในบ้านของตนได้ ทำไมถึงร้อนเป็นไฟเช่นนี้เล่า"
"เป็นธุระของข้า เจ้าเป็นเพียงผู้อาศัย... ชั่วคราว"
"ผู้อาศัยชั่วคราวเพียงเดินเที่ยวเท่านั้น ท่านจะขังข้าไว้ไม่ให้เห็นแสงตะวันเลยหรือยังไง"
นางเป็นคนดื้อรั้นมาแต่ไหนแต่ไร แม้เป็นข้ารับใช้ นางไม่เคยได้รับอนุญาตให้เดินหลังค่อม ก้มศีรษะให้ผู้ใด ภายใต้คำสั่งของท่านอาจารย์ อาเป้ยได้รับการอบรมเคี่ยวเข็ญมาให้นางมีศักดิ์ศรี นางบอกข้อนี้กับพวกเขาด้วย
ดวงตาลุ่มลึกของนาง แม้ร่างกายบาดเจ็บยังคงหยิ่งผยองก้าวร้าว ลำพองตนต่อหน้าบุรุษเทพทั้งสาม คงไม่มีใครชอบนางนัก ถึงนางเพิ่งกอบกู้สถานการณ์วันนี้ได้ก็ตาม
"ข้าว่านางผู้นี้อาจโกหกท่าน นางบอกกับท่านว่าไม่ใช่เซียน นางกลับรู้เวทเซียน วิชาลับของสำนักเทียนหลง ต่างจากจอมยุทธทั่วไป" บ่าวรับใช้ร่างกำยำพูดขึ้นมา แต่อาเป้ยเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นมั่นใจ
"ข้าก็จำมาจากอาจารย์ข้า"
"อาจารย์เจ้า... หากว่าเป็นตาเฒ่าฮุ่ยหมิงอย่างที่ข้าคิด ข้าไม่เคยได้ยินว่าท่านมีศิษย์เป็นสตรี สำนักเทียนหลงไม่รับสตรีเข้าร่วมการใด ๆ ทั้งสิ้น"
"ข้าเป็นข้อยกเว้นเป็นศิษย์คนโปรด หากว่าข้าได้รับอันตราย อาจารย์ข้าจะมาเยือนที่แห่งนี้อย่างแน่นอนต่อให้เป็นเทวโลกก็ตาม"
อาเป้ยได้ทีคุยโม้โอ้อวดอย่างที่นางไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อน แม้ว่ามันคงเป็นไปได้ยาก การเดินทางมาเทวโลกไม่ใช่เรื่องที่เซียนจะทำได้ง่าย ๆ และก็ไม่ใช่เทพเซียนทุกคนที่จะทำได้ นางไพล่มือไว้ข้างหลังนางด้วยท่าทีองอาจ
"ท่านจะทำไมล่ะ? หรือว่าท่านอยากพบอาจารย์ข้า"
"ไม่มีผู้ใดอยากพบตาเฒ่านั่น แต่ข้าเชื่อแล้วล่ะว่าเจ้าเป็นศิษย์เจ้าหลวงจีนนอกรีตเพราะเจ้าพูดจาคล่องแคล่ว ยืดเยื้อมากความพอกัน"
"ข้าเองก็เชื่อว่าท่านเป็นศิษย์เทพหลงเหนียน พวกท่านเอาแต่ใช้กำลังเข้าสู้ ไม่คิดหาหนทางใช้ปัญญาเข้าต่อรองกับศัตรู ไม่มีวิถีแห่งนักปราชญ์"
"เจ้า... ว่าข้าโง่รึ!" บุรุษร่างกำยำ ลูกสมุนของเทพงูเริ่มชี้หน้านางผู้ไม่เจียมตนเอาซะเลย
"ข้ายังไม่ได้พูดว่าท่านโง่เง่าเสียหน่อย แต่ข้าขอเสียมารยาททีเถอะ อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องเมตตากรุณา การมีมารยาท ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งพวกท่านน่ะไม่เห็นจะมี ข้าขอถามจริง ๆ ว่าพวกท่านเคยให้เกียรติผู้ใดหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ เทพ หรือว่าปีศาจ หากไม่เคย นั่นหมายความว่าพวกท่านไม่เคยมีเกียรติ"
"นี่เจ้า!"
แม้เป็นสตรีตัวเล็กนิดเดียว อาเป้ยมิได้กลัวเกรง จึงเริ่มเปิดศึกปะทะวาจาคารม เป็นศึกที่รู้แพ้รู้ชนะได้ไม่ยาก
เทพหลงเหนียนเริ่มจะเอือมระอากับนาง เสียงโหวกเหวกโวยวายของลูกสมุนงูทั้งสอง ตาคมหลุบมองลำคอเพรียวระหง โลหิตไหลทะลักออกจากบาดแผลจนนางต้องยกมือขึ้นกดต้นคอของนางเอาไว้ โดยไม่เลิกโต้แย้งด้วยเหตุผลมากมายของนาง
นางเป็นผู้มีวาจาร้ายกาจนัก ซ้ำร้ายยังดื้อด้าน ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วยอีกต่างหาก!
เทพหลงเหนียนส่ายหน้าไปมา พลิกฝ่ามือใช้เวทที่มีลักษณะเป็นกลุ่มควันดำดึงตัวนางเข้าหา มือข้างหนึ่งกระชับเอวนางไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
อาเป้ยเบิกตากว้างตกใจ ละล่ำละลัก "ท่านเทพหลงเหนียน! ข้าไม่ได้มีความหมายจะล่วงเกินท่าน ข้าแค่เป็นคนพูดตรงไปตรงมาเท่านั้น ข้าขออภัย!" นางยกมือคารวะ เทพหลงเหนียนกลับรีบปัดมือนางออกอย่างรำคาญ จับเอวนางแน่นเต็มฝ่ามือ เอวของนางเล็กมากแค่กำมือเดียว
"ข้าจะรักษาแผลให้เจ้า เจ้าตกใจอะไร?"
ใบหน้านางเห่อร้อน แดงไปถึงใบหู นางกำลังถูกล่วงเกินแม้ท่านเทพจะแค่รวบเอวนางไว้ ยกฝ่ามือขึ้นปล่อยไอเย็นจาง ๆ ผ่านมาถึงคอนาง ทำให้แผลของนางประสานกัน ริมฝีปากของนางสั่นเทาไม่รู้ด้วยเหตุใด