webnovel

จิต วิปริต สืบต่อ

Author: N0903
Realistic
Ongoing · 6.9K Views
  • 9 Chs
    Content
  • ratings
  • NO.200+
    SUPPORT
Synopsis

Chapter 1รูปทรงที่บิดเบี้ยว 1

สวัสดีผมดีใจจริงๆ ที่คุณลืมตาตื่นขึ้นมาสักที

 เสียงเงาชายปริศนาสูงใหญ่อยู่ตรงหน้าของคุณ แสดงท่าทีอย่างดีใจหลังจากที่เห็นตัวคุณนั้นลืมตื่นขึ้นมา ใบหน้าที่ทึบจนแยกไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าตัวคุณนั้นจะไม่ค่อยสนใจในสิ่งนั้นเท่าไหร่ 

คุณเห็นสถานที่ที่คุณอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นด้านบนดาดฟ้าที่ลมพัดเย็นสบาย ท่ามกลางในยามค่ำคืนที่ด้านล่างกำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยฝูงชน

 อะไรกัน นึกว่าคุณนั้นจะตกใจมากกว่านี้เสียอีก ทำเอาผมผิดหวังไปนิดหน่อยเลยนะครับ

 เงาปริศนาแสดงท่าทีที่ดูผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเดินห่างออกไปจากคุณยืนตรงหน้าตะแกงรั้วเล็กที่กั้นชั้นดาดฟ้า เขามองไปด้านล่างพลางยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

 นี่.... คุณคิดว่ามนุษย์นั้นเกิดมาทำไมหรอครับ?

 สิ่งที่เขาถามมามันคืออะไรแล้วเขาต้องการสิ่งใด แม้แต่ตัวคุณเองนั้นก็ไม่รู้ ไม่สิ ไม่อยากจะรู้มันต่างหาก

 ....

 ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่อยากจะถามความคิดเห็นของคุณเฉยๆ ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรหรอก

 ....

 อย่าพูดเหมือนผมกำลังจะทำอะไรไม่ดีสิครับ เห็นแบบนี้ผมเองก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ 

 ....

 นั่นสินะ ถ้าสำหรับในความคิดของผมแล้ว วิญญาณถักทอให้เกิดรูปร่าง แล้วรูปร่างรูปทรงบรรจุความต้องการ ก่อกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ตั้งแต่เกิดมาพวกเรานั้นต่างก็ว่างเปล่า มีเพียงแค่สัญชาตญาณเท่านั้นที่ติดตัวมา เมื่อเติบใหญ่ความต้องการเพียงแค่อยู่รอดกลับแปรเปลี่ยนไป หลายปัจจัยหลากหลายการแปรเปลี่ยน สังคม การเมือง เศรษฐกิจ และครอบครัว ก่อกำเนิดรูปร่างรูปทรงที่หลากหลายและแตกต่าง ซึ่งแต่ละรูปนั้นก็ต่างบรรจุสิ่งที่แตกต่างกันไปด้วย

....

 เอาอะไรมาพิสูจน์อย่างนั้นหรอครับ นั่นสินะ...

และแล้วเงาปริศนาก็มองก้มไปที่ด้านล่างพลางยิ้มออกมาอย่างดีใจ ซึ่งตัวคุณนั้นก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีสักเท่าไหร่ มันเหมือนคนที่เห็นคนอื่นเป็นเพียงแค่ของเล่น และใช้แค่เพียงฆ่าเวลาก็เท่านั้น 

ถ้างั้นเชิญชมผลงานที่ผมภาคภูมิใจ ความสวยงามราวกับดอกกุหลาบสีแดงสด หลอกล่อเหยื่อด้วยกลิ่นที่หอมและรูปลักษณ์อันเลอโฉม แต่แน่นอนกุหลาบย่อมมีหนามล้อมรอบ ไม่ระวังมีหวังจะถูกหนามเหล่านั้นทำร้ายเอาได้ บางทีอาจจะแค่เจ็บตัวเล็กน้อย หรือบางที...หึหึ

เงาปริศนานั้นยิ้มหัวเราะอย่างชั่วร้ายยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าระรื่น

 ไม่มีอะไร...ผมก็แค่คิดอะไรนิดหน่อย อีกไม่นานฝนก็จะตกแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะไม่สบายพวกเราไม่นั่งข้างใน แล้วค่อยๆ จิบกาแฟท่ามกลางสายฝนในยามค่ำกันดีกว่าไหม? 

 อะไรกัน! ไม่ชอบกาแฟอย่างนั้นหรอ? ไม่ใช่เพราะว่าเกลียดแต่เวลานี้ใครจะมาดื่มกาแฟอย่างนั้นหรอ? นั่นก็จริง! ถ้าอย่างนั้นเป็นนมอุ่นๆ สักแก้วก่อนก็แล้วกัน 

จากนั้นเงาชายปริศนานั่นก็เดินเข้าไปที่ด้านหลังของคุณ ในตอนนี้นั้นคุณได้รู้ตัวว่าไม่สามารถที่จะขยับร่างกายได้อย่างใจนึก ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นก็เท่านั้น ซึ่งกำลังถูกเขาเข็นเข้าไปด้านในตัวอาคารอย่างช้าๆ และไม่นานหลังจากนั้นฝนก็ได้กระหน่ำเทลงมาเป็นห่าใหญ่

 

 

สำนักข่าวรายงาน เมื่อเช้าเวลา 04.00 น. พบศพชายไม่ทราบชื่อ ลอยมาเกยตื้นข้างชายฝั่งแม่น้ำเจ้าสายใหญ่ พบตามเนื้อตัวมีร่องรอยบาดแผลถูกมีดแทงที่ชายโครงนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนั้นบนใบหน้าของศพนั้นพบว่ามีการถูกขีดเขียนด้วยของมีคมคล้ายรูปสามเหลี่ยมที่หน้าผาก ตอนนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบชื่อของผู้ตาย และใครเป็นผู้ลงมือสังหารอันโหดเหี้ยมนี้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าทางสำนักข่าวจะรีบรายงานอย่างทันที สวัสดีค่ะ...

 ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังวุ่นอยู่กับการตรวจสอบสภาพของศพ และพื้นที่โดยรอบ ก็มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขี้ม้า กางเกงยีน ข้างเอวเหน็บปืนพก ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเดินเข้ามา และในทันทีทันใดนั้น ชายสวมชุดตำรวจเต็มยศเข้ามาทำความเคารพอย่างขึงขัง 

"สวัสดีครับสารวัตรพิรุณ ขอบคุณที่มาในวันนี้"

 "ไม่ต้องมากพิธี ผมมาเพราะหน้าที่ เอาเป็นว่าลองรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้ที"

 "ครับ"

 ...ผู้ตายนายอดิศักดิ์ อายุ 25 ปี ทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีคนพบเห็นผู้ตายนั่งดื่มกับพวกเพื่อนที่ทำงานใกล้บริเวณนี้ เนื่องจากด้วยว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ 

 หลังจากนั้น 22.00 น. ก็แยกย้ายกันกลับที่พัก เช้าวันต่อมาก็พบศพของผู้ตายนอนเกยอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ร่างกายพบบาดแผลถูกของมีคมเทงเข้าที่ชายโครงถึง 11 แผล บนหน้าฝากมีร่องรอยการใช้มีดขีดเป็นรูปสามเหลี่ยมราวกับว่าต้องการจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง นอกจากนั้นก็ไม่พบอะไรเพิ่มเติมแล้วครับ

 "ลองตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วหรือยัง?" พิรุณถาม

 "ตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ครับ อีกไม่นานก็น่าจะทราบผลแล้ว" 

 "แล้วทางผู้ตายมีญาติอยู่ด้วยหรือเปล่า?" 

 "มีอยู่ครับคนเป็นแม่ แล้วทางเราก็ได้ลองไปสอบถามดูแล้วด้วย ดูเหมือนว่าผู้ตายนั้นจะไม่ได้มีความขัดแย้งกับใครเลย แถมเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานกับคนรอบๆ อีก"

 "นี่ก็แสดงว่าเป็นการเล่นงานแบบสุ่มสินะ? ว่าแต่มันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?" 

 ขณะที่พิรุณกำลังนึกคิดอยู่ในหัวคนเดียว ถึงความเป็นไปได้ เหตุจูงใจ และก็วิธีการสังหาร ตราสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่สลักบนหัว แต่ถึงอย่างนั้นหลักฐานโดยรอบมันก็ยังไม่เพียงพอ 

 ตอนนั้นเองก็มีตรวจอีกคนหนึ่งเข้ามารายงานกับทางพิรุณที่ยืนนิ่งคิดอยู่ พร้อมกับถือกระเป๋าใบใหญ่ 

 "สารวัตรครับ เราพบเจอสิ่งของที่น่าจะเอาไว้ใช้ในการใส่ศพแล้วครับ"

 กระเป๋าใบใหญ่ถูกลากขึ้นมา ซึ่งมันชุ่มไปด้วยน้ำ กระเป๋าใบนั้นยังสภาพดีอยู่ แถมยังไม่มีร่องรอยบุบหรือว่าแตกสลายแต่อย่างใด พอเห็นอย่างนั้นพิรุณก็ถึงกับยิ้มมุมปากออกมา

 "เยี่ยมเลยอย่างน้อยตอนนี้ก็น่าจะตีวงแคบลงไปได้บ้างแล้วล่ะ ที่เหลือก็คงมีแต่รอภาพจากกล้องวงจรปิดสินะ?" 

 

เวลาต่อมาในเย็นวันนั้น พิรุณที่ประจำการอยู่ในโรงพักของเขตใกล้ที่เกิดเหตุ ซึ่งเขาและพวกตำรวจกำลังนั่งตรวจเช็คข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดกับตำรวจอีก 3-4 นาย ต่างคนต่างจับจ้องกันไปที่หน้าจอเป็นตาเดียวอย่างไม่ลดละ 

ภาพในหน้าจอแสดงถึงผู้คนมากมายหลากหลายต่างเดินทางสัญจรไปมากันจนเต็มทางฟุตบาท เพราะด้วยว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ หลายคนที่กลับจากงานก็มักจะไปนั่งดื่มกินกับเพื่อนร่วมงานเป็นธรรมดา

 "สารวัตรผมเห็นผู้ตายแล้วครับ" ตำรวจคนหนึ่งชี้ไปที่หน้าจอซึ่งแสดงให้เห็นภาพของผู้ตายที่กำลังเดินไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อนร่วมบริษัท

 "จับตาเอาไว้..."

 "รับทราบครับ!" 

 เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ กลุ่มของผู้ตายก็ออกมาและกำลังจะแยกย้ายกันกลับไป ต่างคนต่างแยกกันกลับไปคนละทางโดยที่เป็นตามคำให้การทุกประการ และผู้ตายก็ได้เดินหายเข้าไปในฝูงชน

 ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาเดียวกับมวลชนที่หนาแน่นล้นทะลักเดินกันยั้วเยี้ยไปมาราวกับแมลง เพราะต่างคนต่างก็ออกไปเที่ยวดื่มกินเหมือนกัน ผู้ตายที่ไม่ได้มีรถขับ และทางพวกเพื่อนนั้นก็ไม่ได้เดินไปส่งเขา ทางที่เขาจะเดินกลับไปมีอยู่แค่ที่เดียว คือรถไฟฟ้า

 ขณะนั้นภาพที่จับของผู้ตายนั้นได้เดินหายออกไปจากกล้องวงจรปิด ซึ่งทาง พิรุณนั้นจึงรีบหันไปดูกล้องอีกตัวอย่างทันที พบเห็นผู้ตายกำลังเดินอยู่บนฟุตบาทท่ามกลางฝูงชนที่หนาแน่นและฝนที่เริ่มตกประปราย พวกเขาจับตาตามรอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

 "หายไปแล้วครับ..."

 ภาพของผู้ตายจู่ก็หายตัวไปอย่างปริศนา ทำเอาทุกคนที่กำลังดูกล้องวงจรปิดนั้นมีท่าทีที่ตื่นตระหนกออกมา

 "ระหว่างกล้องตัวที่ 13 และ17 ไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่เลยหรอ?"

 "มีครับกล้องตัวที่ 15 แต่... มันเป็นแค่ตัวล่อเฉยๆ"

 "ชิ! ไอ้เวรตัวไหนมันเอากล้องหลอกไปติดกันว่ะ!" 

พิรุณแสดงท่าทางอารมณ์ที่ฉุนเฉียวอย่างชัดเจน ก่อนจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์แล้งพูดออกไปว่า... "ก็ดี! อย่างน้อยก็ตีขอบการเกิดคดีได้แล้ว"

 พอคิดได้ดังนั้น พิรุณก็เดินไปหยุดที่แผนผัง พลางนึกคิดจำลองสถานการณ์ในหัวอย่างช้าๆ และถี่ถ้วน 

 "เหตุเกิดในช่วงที่กล้องตัวที่ 15 แสดงว่าเหตุมันเกิดตรงในช่วงระหว่างนี้" พิรุณหยิบปากกาไวท์บอร์ดออกมาวงกลมลงในแผนผัง "แต่ว่ามันรู้ได้อย่างไงว่าตรงที่แห่งนี้ กล้องตัวนี้เป็นเพียงแค่ตัวล่อ..." 

 "....." 

ในขณะที่พิรุณกำลังคิดอยู่นั้นไม่มีแม้แต่เสียงพูดเอ่ยถามออกมาแต่อย่างใด จนกระทั่งทางพิรุณนั้นได้เอ่ยออกมาว่า...

 "ก่อนอื่นก็ลองไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุก่อนก็แล้วกัน"

 

เช้าวันต่อมา... พวกของพิรุณออกเดินทางกันมาจนถึงที่เกิดเหตุ ตรงหน้ากล่องที่ถูกติดไว้เป็นตัวล่อ ที่ตรงนั้นฟุตบาทค่อนข้างแคบ มีน้ำขังประปรายเป็นแอ่งเล็กๆ เนื่องจากฝนตกเมื่อคืน

 เมื่อลองดูพื้นที่แถบแถวนั้นมันเป็นที่โล่งกว้างที่ซึ่งไม่น่าจะมีทางที่เหยื่อจะถูกฆ่าจากด้านนอก แต่ที่แถวนั้นมันมีทางแยกเข้าไปในซอยอยู่ พิรุณคาดวาเหยื่อน่าจะโดนคนร้ายหลอกล่อเข้าไปเพื่อฆ่าเป็นแน่

 ด้านในตรอกซอกซอยนั้นแคบจนไม่สามารถจอดรถระหว่างข้างทางได้ จึงจำเป็นต้องเดินเข้าไปแทน ที่ด้านในชื้นแฉะเพราะฝนตกเมื่อคืน ระหว่างทางที่ถูกประกบด้วยสังกะสีที่เก่าจนขึ้นสนิม และกลิ่นเหม็นที่โชยมาตามสายลม

 พื้นที่ตรงหน้าของพวกเขาเป็นชุมชนเล็กที่ส่วนมากบ้านถูกสร้างจากไม้ที่เก่าและพุพัง กลิ่นเหม็นนั่นก็คาดว่าน่าจะมาจากน้ำเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานใกล้แถวนั้น ผนวกกับขยะที่ลอยบนผิวน้ำยิ่งทำให้น้ำมันยิ่งเสียและส่งกลิ่นเหม็นมากกว่าเดิมทันทีที่เดินเข้าใกล้ไปเรื่อย ๆ

 "สลัม? จริงๆ ถ้าเป็นที่แห่งนี้น่าจะลงมือได้โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร"

 "เอาอย่างไงดีต่อครับสารวัตร?" ตำรวจหนึ่งในนั้นถามขึ้นเพื่อรอการสั่งการ

 "แยกตัวกันออกไปสอบถามชาวบ้านแถวนี้"

 "ครับ!"

 

 นั่นไม่เป็นเรื่องที่ง่ายเลย แทบจะทั้งสลัมนั้นผู้ใหญ่มักจะออกไปทำงานในช่วงเช้ากันหมด ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม ทิ้งเหลือแค่ตามหมู่บ้านมีเพียงแค่เด็กน้อยที่วิ่งเล่น กับคนสูงอายุที่นั่งอยู่ด้านหน้าบ้านหลังเก่าที่ผุพัง ทำให้ไม่ค่อยได้ความสักเท่าไหร่ 

 "แบบนี้ค่อนข้างยากเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย" ตำรวจคนหนึ่งเอ่ยขึ้นและค่อยกระดกน้ำอัดลมที่อยู่ในมืออย่างกระหาย เนื่องด้วยอากาศที่ร้อนทำให้การหาข้อมูลต้องหยุดชะงัก ทำให้พวกเขาต้องมานั่งอยู่หน้าร้านค้าขายของชำเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในสลัม

 "ทางนี้ก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน" พิรุณเดินมาพร้อมกับตำรวจอีกคนด้วยสีหน้าทั้งสองที่เต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลท่วม

 "ว่าแต่ทั้งที่ฝนเพิ่งจะตกไปเมื่อคืนแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงได้ร้อนอบอ้าวขนาดนี้ได้เนี่ย"

 "นั่นสิ ฉันเองก็รีบอยากจะกลับไปตากแอร์ที่โรงพักใจจะขาดแล้วเนี่ย"

 ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ระหว่างนั้นก็มีเด็กในสลัมคนหนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยความสงสัย ทางพิรุณที่เห็นเลยเข้าไปถามด้วยท่าทีอย่างเป็นมิตร

 "มีอะไรหรอหนุ่มน้อย?"

 "ผมแค่สงสัยเฉยๆ ว่าพวกคุณตำรวจมาทำอะไรในที่แห่งนี้ มีโจรขโมยของหนีมาที่นี่อย่างนั้นหรอ?"

 "เปล่า... คือว่า... พวกพี่ตำรวจแค่มาเดินตรวจตราเฉยๆ น่ะ ไม่ได้มาจับใครทั้งนั้นแหละ ว่าแต่เมื่อคืนหนูได้ยินเสียงอะไรแปลกไหม?" พิรุณลองถามเด็กอย่างเล่นๆ โดยที่ตนเองไม่ได้คิดอะไรมาก 

 "ไม่ครับ เมื่อคืนผมหลับไปไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย" เด็กคนนั้นตอบมาด้วยสีหน้าที่ดูใสซื่อ

 "นั่นสินะ..." ในใจตอนนี้เขาคิดได้แค่ว่า ตนเองคิดอะไรไปถามเด็กน้อยแบบนี้ มันไม่น่าจะได้อะไรอยู่แล้ว

 "แต่ว่า... ถ้าเป็น "ลุงจัย" ละก็อาจจะรู้อะไรก็ได้นะครับ เพราะลุงเขาชอบเป็นคนกลับบ้านดึกๆ"

 "จริงหรอ? ช่วยเล่ารายละเอียดให้คุณตำรวจฟังหน่อยได้ไหม?" แล้วพิรุณก็พาเด็กน้อยคนนั้นเข้ามานั่งคุยด้านหน้าร้านขายของชำ พร้อมกับเลี้ยงน้ำอัดลมและขนมให้กับเด็กน้อยคนนั้น 

ได้ความมาว่า... ลุงจัยนั้นมักจะกลับจากการทำงานดึกทุกวัน แต่เมื่อคืนเหมือนว่าลุงแกจะเจอเงินหล่นแถวนี้เลยทำให้อารมณ์ดี มาซื้อเหล้ากินแต่เช้าและไม่ได้ออกไปทำงานเหมือนอย่างทุกวัน ทางของแม่ค้าที่ขายของร้านของชำเองก็ยืนยันอีกเสียงด้วย 

 สีหน้าและแววตาของพวกเขาทั้งหมดแสดงถึงความหวังอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่ามาจากเด็กน้อย ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปหาชายที่ชื่อ ลุงจัย ที่ตอนนี้น่าจะนอนหลับอยู่หน้าบ้านด้วยสภาพที่เมาหัวราน้ำ 

 จนกระทั่งมาถึงหน้าบ้านของลุงจัย ซึ่งเป้นอย่างที่แม่ค้าและเด็กน้อยคนนั้นพูด เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 45 ถึง 50 นอนสลบเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทั่วทั้งตัวมีแต่กลิ่นของเหล้าคละคลุ้งจนเหม็น ถึงกับแยกไม่ออกว่ากลิ่นไหนน้ำเสียหรือว่ากลิ่นเหล้า 

 "นี่ลุง นี่ลุง นี่ลุงจัย!" ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้าไปเขย่าตัวของลุงจัยอย่างเบาๆ แต่ทว่าก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ จนกระทั่งตำรวจคนนั้นเริ่มขึ้นเสียงตะคอกใส่ข้างๆ หูของลุง "นี่ลุง!!! ตื่นได้แล้ว!!!"

ลุงจัยสะดุ้งเฮือกใหญ่มองไปมาอย่างเลิกลัก ท่าทางดูเหมือนว่าจะได้ผลเป็นอย่างดี 

 "อะ อ้าว! คุณตำรวจไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ" ลุงจัยยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล พลางทำท่าเคารพอย่างปวกเปียก เหมือนว่าจะยังไม่สร่างดีนักเท่าไหร่ 

 "พอดีผมอยากจะทราบว่าเมื่อคืนลุงได้เห็นอะไรหรือเปล่า?" พิรุณพุ่งตรงคำถามอย่างตรงไปตรงมาอย่างทันที

 "เห็นอะไร... เปล่า เปล่า ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลย เอื๊อก!" 

 พิรุณคิดส่วนนี้เอาไว้แล้วว่าลุงจัยนั้นน่าจะโดนเงินปิดปากเอาไว้ เขาเลยถามไปต่ออีกว่า... 

"ว่าแต่คุณลุงต้องออกไปทำงานแทบทุกวันไม่ใช่หรอครับ? แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่ไปทำงานเสียล่ะ?" 

 "แค่บังเอิญเจอเงินหล่นเท่านั้นแหละ... แล้ววันนี้เองก็อยากจะกินเหล้านั่งพักเสียด้วย ก็เลย...ไม่ได้ไป"

 ทางพิรุณนั่นเองก็คิดเอาไว้ด้วยว่าคำตอบนั่น บางทีอาจจะถูกเตรียมเอาไว้แล้ว เพื่อใช้ในการอ้าง เขาเลยถามไปต่ออีกว่า... 

"แต่ว่าเมื่อวานน้องตำรวจคนนี้เขาทำเงินหล่นหายแถวนี้ ผมเองก็เลยออกมาช่วยตามหาใช่ไหม?" พิรุณคว้าคอตำรวจคนหนึ่งเข้ามาใกล้และแสดงสัญญาณให้ทางนั้นเล่นละครด้วย

 "ชะ...ใช่ครับ ใช่ครับ เมื่อวานผมทำเงินหล่นหายไปแถวนี้ ตอนที่มาเดินตรวจตรา" ตำรวจคนนั้นพูดขึ้นพลางพยักหน้างึกๆ 

 "ลำบากมากเลยเนอะ... เงินนั่นสำคัญมากด้วย ได้ข่าวว่าถ้าไม่มีเงินนั่นนายจะไม่มีเงินเอาไปซื้อยาให้กับแม่ที่นอนป่วยอยู่บ้านใช่ไหม?"

 "ครับ... ครับ"

 "ว่าแต่ลุงบอกว่าเจอเงินใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นแล้วก็คงมีแต่จะต้องเป็นของรุ่นน้องของผมสิ เพราะว่าเขาเพิ่งเดินมาตรวจตราที่นี่ได้ไม่นานนี้เอง แล้วเงินตอนนี้นั้นอยู่ไหนครับ โปรดช่วยคืนมาด้วยจะได้ไหม?"

 ทางของลุงจัยมีท่าทีที่ตื่นตระหนกได้อย่างชัดเจน สีหน้าและแววตาดูร้อนรนแสดงออกมาอย่างชัดเจน

 "คะ...คือว่า"

 "แบบนี้มันมีความผิดนะครับ ถ้าไม่อยากจะโดนคดีลักทรัพย์ ก็ยอมคืนเงินมาซะดีๆ นะครับ" พิรุณพยายามไล่ต้อนอีกฝั่งอย่างไม่ลดละ "หรือนอกเสียจากว่า คุณลุงไม่ได้เจอเงิน แต่ได้รับมันมาใช่ไหม?"

 สีหน้าดูผวา มือสั่นราวกับเจ้าเข้า ปากเองก็สั่นจนได้ยินเสียงกัดฟันดัง กับๆ ร่างกายแขนขาของคุณลุงอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่ จนกระทั่งลุงจัยนั้นทนแรงกดดันไม่ไหว เลยพูดสารภาพออกไปด้วยสีหน้าที่ตื่นกลัวว่า...

 "ใช่แล้ว เงินนี่ลุงไม่ได้เจอหรอก แต่ได้รับมาเมื่อคืนนี้ จากผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังลากศพชายคนหนึ่งอยู่..."

You May Also Like

ปิ๊งรัก..คุณCEO (villain apprentice)

" ธันย์ " (ธันย์วิศนุ ธนหิรัญกิจ) หนุ่มหล่อเข้ม ผิวขาว สูงโปร่ง อายุราวๆ 29 ปี ที่สืบทอดธุรกิจค่ายหนังจากครอบครัว "นับหนึ่ง" (ติณณภพ นันทพิวัฒน์) หนุ่มน้อยหน้าหวาน ผิวขาว หุ่นดี นักศึกษาฝึกงานจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ทั้งสองได้มาเจอกันเพราะนับหนึ่งได้เข้ามาฝึกงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่ค่ายหนังของธันย์ ทำให้นับหนึ่งแอบหลงรักธันย์เข้า ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นเมื่อนับหนึ่งมุ่งหน้าที่จะจีบเจ้าพ่อเย็นชาแบบธันย์ แต่ดันมีอุปสรรคคือ ธีร์ ที่เป็นน้องชายของธันย์และเป็นเพื่อนของนับหนึ่ง แถมยังเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งของค่ายตัวเอง ได้เกิดแอบชอบนับหนึ่งและจะจีบนับหนึ่งอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เป็นนักแสดง ธันย์จึงคอยเตือนเรื่องนี้กับน้องตนเองอยู่บ่อยๆ เมื่อนับหนึ่งมุ่งหน้าจีบธันย์มากขึ้นเรื่อยๆ ธันย์จึงเริ่มมีใจให้นับหนึ่ง แต่ก้ไม่สามารถแสดงออกได้ เพราะน้องชายตนเองชอบอยู่แถมยังคบไม่ได้ ทำให้เกิดเรื่องราวอุปสรรคต่างๆมากมาย แล้วเขาสองคนจะได้รักกันไหม ฝากติดตามด้วยนะคะ .

DaoistrwzC1x · Realistic
Not enough ratings
1 Chs