ท่ามกลางป่าไผ่เขียว
เมื่อฟ่งหลันหลั่นเดินทางกลับไปถึงยังสถานที่เคยมีกระท่อมของตัวเองตั้งอยู่ แต่ตอนนี้หลงเหลือเพียงพวกข้าวของเครื่องใช้บางอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นรางไม้ที่เอาไว้ใช้สำหรับตั้งวางภาชนะเพื่อตากของแห้ง โอ่งดินและภาชนะดินเผาที่เอาไว้ใช้เก็บน้ำและอาหารก็บิ่นแตก นอนกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่บนพื้นกระจัดกระจายไปรอบบริเวณ
ทันใดนั้น ความทรงจำมากมายที่นางเคยมีกับตาเฒ่าฟ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองราวกับดอกเห็ด สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณอย่างช้า ๆ น้ำตารินไหลลงบนพวงแก้มงามอย่างกับสายน้ำไหล ไม่นานนักเสียงสะอึกสะอื้นของความเจ็บปวดเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ดังขึ้นราวกับเด็กน้อยขี้แย
ในขณะที่สตรีน้อยยิ้มร้องไห้น้ำตาเป็นเผ่าเต่าด้วยความรู้สึกผิดที่ทิ้งร่างของตาเฒ่าฟ่งไว้เช่นนั้น เพราะสถานการณ์มันคับขัน จำเป็นต้องเลือกรักษาชีวิตของตนไว้เพื่อจะหาสาเหตุการตายและทวงคืนความเป็นธรรมให้เขา
ฟ่งหลันหลั่นทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้นสกปรกนั้น สองมือวางขนาบข้างลำตัว จากนั้นนางก็ได้โขกศีรษะของตนลงบนพื้นอย่างแรงติดต่อกันสามที จนหน้าผากงามนั้นเกิดเป็นคราบรอยสีดำจากฝุ่นอย่างชัดเจน
"ตาเฒ่าข้าขอโทษที่ข้าอกตัญญู ในวันนั้นข้าไม่ได้ทำพิธีฝังศพให้ท่านอย่างสมเกียรติ แต่กลับหนีไปโดยปล่อยทิ้งให้ร่างของท่านถูกเผาไปในเปลวเพลิงพร้อมกับกระท่อมน้อยของพวกเรา..."
นางหยุดชะงักและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดและเรียบเรียงคำพูด นาทีต่อมา นางก็กล่าวต่อ
"...และข้าขอขอบคุณท่านสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าให้ พ้นจากปากประตูนรก ในวันนั้นหากไม่ได้ท่าน ข้าคงจะสิ้นใจตายเพราะคนเหล่านั้นไปแล้ว...เหล่าผู้คนที่ข้าคิดมาเสมอว่า พวกเขาคือผู้จงรักภักดีและ รักข้าเหมือนที่ข้ารักพวกเขา หึ! แต่ความจริงมันกลับช่างน่าตลกยิ่งนัก!"
ในขณะที่ฟ่งหลันหลั่นกำลังนั่งคุกเข่ารำพึงรำพันอยู่ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจ ประกายแสงวิบวับสีขาวบางอย่างบนพื้นก็สะท้อนพุ่งเข้าตาของนางทันใด
สตรีน้อยยกมือขึ้นมาปิดบังสายตาของตัวเองเพื่อปกป้องจากประกายแสงวิบวับนั้น
เมื่อตั้งสติได้ นางจึงลุกขึ้นและเดินตรงไปยังตรงจุดนั้น ซึ่งบนพื้นมีเศษใบไผ่สีน้ำตาลแห้งกรอบปกคลุมอยู่
และนางคาดในใจว่าตำแหน่งนี้น่าจะเคยเป็นจุดที่ตั้งวางเตียงนอนของตาเฒ่า ดังนั้นสตรีน้อยจึงนั่งลงและใช้มือทั้งสองข้างรีบปัดเศษใบไผ่แห้งออกจากพื้นตรงหน้านั้นอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นหยวนจูวเย่ผู้ซึ่งแอบสะกดรอยตามนางมา พร้อมกับคนสนิทของเขา ทั้งสองได้มองดูอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบเชียบ และก็พากันสงสัยว่านางกำลังทำสิ่งใด
ทันใดนั้น ฟ่งหลันหลั่นได้สังเกตเห็นว่าบนพื้นนั้นอันที่จริงมันน่าจะเป็นพื้นดิน แต่ตรงหน้าของนางมีจุดหนึ่งที่มันต่างจากพื้นโดยรอบ เพราะมีลักษณะเหมือนแผ่นหินอ่อนรูปทรงสี่เหลี่ยม ทั้งสี่ด้านมีขนาดละ 1 ชุ่น[1]
"นี่มัน!.." ฟ่งหลันหลั่นอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ พลันหันซ้ายแลขวา มองหาบางอย่าง ทันใดนั้นสายตาก็มองเห็นเศษเครื่องปั้นดินเผาที่แตกอยู่บนพื้น นางจึงเอื้อมแขนไปหยิบ
จากนั้นนางก็ใช้คมของเศษเครื่องปั้นดินเผาในมือกรีดลงบนพื้นหินอ่อนตรงหน้าตามขอบทั้งสี่ด้าน และพยายามงัดแงะเพื่อให้แผ่นหินนั้นเปิดออก
นางใช้เวลาทำเช่นนั้นอยู่นานครู่หนึ่งแต่ก็ไม่เป็นผล จนเกิดอารมณ์หงุดหงิดให้ตัวเองขึ้นมา ถึงกับปาเศษเครื่องปั้นดินเผาในมือลงบนพื้น
[1] 1 ชุ่น ประมาณ 3.33 เซนติเมตร
"น่าหงุดหงิดใจจริง ๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้ายังไม่มีปัญญา ถ้าขืนร่างกายยังอ่อนแออยู่บนแบบนี้ เรื่องอื่นที่สำคัญกว่านี้ก็คงจบสิ้นกันพอดี"
สตรีน้อยยืนต่อว่าและบ่นให้ความไม่เอาไหนของตัวเองอย่างหงุดหงิด นาทีต่อมานางก็กระทืบเท้าอย่างแรงลงบนแผ่นหินอ่อนนั้นสุดแรงด้วยความโมโห
พลั่ก!
ดูเหมือนว่าเจ้าป่าเจ้าเขาหรือเทพเซียนยังพอเข้าข้างนางอยู่บ้าง แผ่นหินอ่อนได้เกิดรอยร้าวขึ้นเล็กน้อย นางจึงเผยสีหน้าของความมีหวังขึ้น
หยวนจูวเย่ซึ่งกำลังแอบมองเงียบ ๆ อยู่ห่าง ๆ เขาไม่รู้ว่านางต้องการสิ่งใด แต่พอเห็นว่านางพยายามที่จะทำลายแผ่นหินอ่อนตรงหน้าแต่ไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ เขาจึงหันไปมองผู้คุ้มครองข้างกาย และส่งสายตาเชิงออกคำสั่งออกไป
ด้านผู้คุ้มครองเหมือนจะใจในความหมายของสายตาคู่นั้นของผู้เป็นนาย เขาจึงพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็ได้รวบรวมพลังลมปราณมาที่กลางฝ่ามือ และซัดพลังนั้นพุ่งไปยังพื้นหินอ่อนตรงใต้ฝ่าเท้าของฟ่งหลันหลั่น และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นางกระทืบเท้าลงบนพื้นเช่นกัน
ผลั่วะ!
ทันใดนั้นเองพื้นหินอ่อนก็แตกออกจากกันเป็นชิ้นเล็กเล็กน้อย แต่ทว่าฟ่งหลันหลั่นไม่รู้ว่ามีคนแอบช่วยเหลืออยู่ นางจึงคิดว่าตัวเองเป็นคนทำเช่นนั้น
สตรีน้อยมองเห็นบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้ซากเศษหินอ่อน นางจึงรีบนั่งลงและเปิดดูด้านล่างตรงนั้นทันที
ปรากฏว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นแผ่นหินอ่อนนั้น คือกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมเก่า ๆ ใบหนึ่ง นางจึงหยิบขึ้นมา
"นี่มันกล่องไม้ที่เป็นของรักของหวงของตาเฒ่าไม่ใช่เหรอ! มีอะไรสำคัญอยู่ด้านในกันนะเขาถึงเก็บซ่อนรักษาไว้ดีซะขนาดนี้ ข้าลืมเจ้ากล่องนี่ไปเสียสนิทเลย"
ฟ่งหลันหลั่นนั่งพูดกับกล่องไม้ในมือ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย แปลกใจและใครอยากรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างในกล่องนั้นกันแน่
ฟ่งหลันหลั่นไม่รอช้ารีบเปิดกล่องไม้นั้นออกดูทันที แต่กล่องใบนี้มีกลไกช่องลับบางอย่างวางไว้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดมันออกได้ทันที แต่นางเคยแอบดูเวลาที่ตาเฒ่าของนางเปิดกล่องนี้ จึงได้จดจำวิธีเหล่านั้นไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว
แต่ในจังหวะที่กำลังจะเปิดกล่องไม้
กร๊อบ! แกร๊บ!
ฟ่งหลันหลั่นได้ยินเสียงของฝีเท้าซึ่งกำลังเหยียบลงบนใบไผ่แห้งดังแว่วลอยตามสายลมพัดเขามาที่โสดประสาทหูของตน นางจึงเอี้ยวตัวบังกล่องไว้อย่างรวดเร็ว
แต่พอหันไปกวาดตามองรอบตัวอีกครั้งอย่างระมัดระวัง นางก็มองไม่เห็นถึงความผิดปกติใด ๆ
"เราคงคิดมากไปเอง สงสัยจะเป็นกระต่ายป่ามาวิ่งเล่นแถวนี้ละมั้ง"
เมื่อคิดได้ดังนั้นสตรีน้อยก็หันกลับมาตั้งหน้าและจดจ่อสมาธิกับสิ่งของที่ถืออยู่ในมืออย่างเคร่งเครียด และใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งจิบน้ำชา นางก็ปลดสลักของกล่องไม้และเปิดมันออกได้สำเร็จ
ฟ่งหลันหลั่นจ้องมองสิ่งของในมืออย่างพินิจพิจารณา แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถามมากมาย และหยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ
"ป้ายหยกเขียวอันนี้ ทำไมมันมีลักษณะคล้ายกันกับของเยี่ยอ๋อง ซึ่งเขาห้อยพกติดตัวตลอดเวลา...สองอันนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกันและคนผู้นั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับการตายของเราในครั้งนั้นอย่างแน่นอน! "
ในขณะที่สตรีน้อยกำลังยืนพูดอยู่กับตัวเอง นางก็หวนคิดถึงนิทานที่ ตาเฒ่าฟ่งมักชอบเล่าให้ฟังก่อนนอนเมื่อครั้งสมัยยังเด็ก เป็นเรื่องราวขององค์หญิงน้อยผู้อาภัพ ซึ่งนางเองก็เกือบลืมไปแล้ว
หยวนจูวเย่ยืนแอบดูอยู่ห่าง ๆ พอสายตาเหลือบมองไปเห็นสิ่งของในมือของฟ่งหลันหลั่น เขาก็รู้สึกคุ้นตากับสิ่งของชิ้นนั้นเป็นยิ่งนัก
'ป้ายหยกสีมรกตนั่นมัน!' เขาอุทานในใจอย่างประหลาดใจ
แต่บุรุษรูปงามก็ได้เพียงแต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ และแอบซุ่มมองสตรีน้อยต่อไปเงียบ ๆ พร้อมกับคนของเขา ด้วยความอยากรู้ว่าเหตุใดนางถึงได้มาที่แห่งนี้กันแน่
ฟ่งหลันหลั่นรีบเก็บป้ายหยกเขียวชิ้นนั้นใส่กลับลงไปในกล่องไม้และปิดสลักไว้เช่นเดิม
ก่อนที่จะยัดเข้าไปในห่อผ้าที่นางพกติดตัวมาด้วยตอนแอบหนีออกมาจากเรือนหลงหลิง
สตรีน้อยหันมองไปรอบตัวอีกครั้งอย่างระมัดระวัง แววตาฉายแววเศร้าสร้อยและเจ็บปวดทรมาน ความรู้สึกที่อัดแน่นในอกที่มีอยู่ขณะนี้ มันเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อสถานที่ซึ่งเคยมีบ้านน้อยกลอยใจของนางกับตาเฒ่าฟ่ง ผู้มีพระคุณต่อนาง อย่างสุดหาคำใดมาเปรียบเทียบได้
แต่ฟ่งหลันหลั่นจำเป็นต้องตัดใจจำจากที่แห่งนี้ไป เพราะตอนนี้เป้าหมายสำคัญที่สุดที่นางจะต้องทำ คือตามหาความจริงเพื่อขจัดความสงสัยที่มีในใจให้กระจ่างชัดเจน และแก้แค้นทวงคืนกับผู้คนที่พรากทุกอย่างไปจากนางเมื่อครั้งที่ตนยังเยาว์วัย
"ตาเฒ่า นิทานที่ท่านเคยเล่าข้าฟังก่อนนอนในสมัยเด็ก มันคงไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าอย่างนั้นสินะ..."
นางพูดพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง จากนั้นก็กล่าวต่อ
"...รวมถึงการตายของท่าน ก็คงไม่ใช่ป่วยตายหรือไม่ใช่ฝีมือของโจรป่ากลุ่มนั้นอย่างแน่นอน! ข้ารับปากว่าจะต้องสืบหาความจริงของเรื่องทั้งหมดนี้ และแก้แค้นทวงคืนและตอบแทนความผิดของพวกมันอย่างสาสามแน่นอน ท่านรอดูวันนั้นได้เลย!"
น้ำเสียงมุ่งมั่น แววตาเด็ดเดี่ยวที่ฉายออกมาบนดวงหน้างามของฟ่งหลันหลั่น ได้ปรากฏต่อสายตาของหยวนจูวเย่และคนของเขา ยิ่งทำให้บุรุษรูปงามผู้นี้เองก็ต้องการสืบหาที่มาของนางผู้นี้และคำตอบนั้นด้วยเช่นกัน
'เจ้าเป็นใครกันแน่ฟ่งหลันหลั่น เหตุใดเจ้าถึงได้มีป้ายหยกเขียว ซึ่งป้ายแบบนั้นน่าจะเป็นป้ายพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ พระองค์ก่อน'
.....
เซียงไค 盛開
.