ณ เส้นทางระหว่างทาง จากจวนเยี่ยอ๋องถึงเรืองหลงหลิง
ตลอดเส้นทางที่รถม้าของแม่ทัพหนุ่มวิ่งกลับเรือนหลงเหลิง บรรยากาศข้างในรถม้าตึงเครียดมาก
หลงอี้หลิงเอาแต่นั่งนิ่งเงียบเฉยชา มือทั้งสองข้างวางอยู่บนเข่า แผ่นหลังเหยียดตรง ใบหน้าเรียบตึง สายตามองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา โดยเขาไม่ไถ่ถามหรือสนทนาอันใด แม้แต่หันไปมองหน้าสบตากับฟ่งหลันหลั่นสักนิดก็ยังไม่มี
ซึ่งทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถม้ากันตามลำพัง ส่วนจางเก่อและเข่อลั่วนั้นควบม้าประกบคนละข้างเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้กับนายน้อยของตน
ฟ่งหลันหลั่นนั่งไม่เป็นสุขเอาเสียเลย เพราะบรรยากาศรอบตัวของพวกเขาภายในรถม้านั้นตกอยู่ในความเงียบชวนให้อึดอัด แถมปฏิกิริยาของแม่ทัพหนุ่มที่กำลังแสดงออกมาอย่างชัดเจน ว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาอยู่ในระดับใด
โดยตำแหน่งที่นางนั่งอยู่นั้น คือด้านข้างซ้ายมือของหลงอี้หลิง ซึ่งเขานั่งอยู่ที่ตำแหน่งม้านั่งตรงกลาง
สตรีน้อยใช้หางตาแอบเหล่ไปทางแม่ทัพหนุ่มเป็นระยะ ๆ เพื่อคอยสังเกตดูสีหน้าและอารมณ์ของเขา ด้วยรู้ถึงความผิดของตนที่ได้ทำลงไปในวันนี้ นางจึงต้องทำตัวสงบเงียบให้มากที่สุด อีกทั้งพยายามเอามือข้างที่ได้รับบาดเจ็บวางซ่อนไว้ด้านหลัง และทนเก็บอาการปวดแผลไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
เวลาผ่านไปราวสองก้านธูป ฟ่งหลันหลั่นก็ทนอยู่กับความเงียบงัน ความรู้สึกอึดอัดและอึมครึมภายในรถม้านั้นต่อไปไม่ไหว นางจึงได้หันขวับไปจ้องหน้าแม่ทัพหนุ่ม ดวงตาใสกลมโตฉายแววตาจริงจัง พร้อมกับโพล่งถามขึ้นอย่างหมดความอดทน
"ฮึ่ย! ข้าทนนั่งอยู่กับบรรยากาศอึมครึมนี้ต่อไปไม่ไหวละ ท่านแม่ทัพไม่คิดจะถามอะไรกับข้าเลยงั้นหรือ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ศาลาเรือนน้ำของจวนเยี่ยอ๋อง"
หลงอี้หลิงได้ยินคำถามนั้นอย่างชัดเจนเพราะสตรีน้อยกล่าวเสียงดังมากจนเล็ดลอดออกไปนอกตัวรถม้า แม้กระทั่งจางเก่อและเข่อลั่วก็ได้ยินถ้อยคำนั้น
แต่แม่ทัพหนุ่มกลับยังคงวางสีหน้านิ่งเรียบตึง และเก็บความรู้สึกที่มีไว้ด้านในได้เป็นอย่างดี ปฏิกิริยาเงียบเฉยของเขายิ่งทำให้นางหงุดหงิดใจมากขึ้น
'เป็นบ้าอะไรของเขาอีกนะ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่จวนเยี่ยอ๋องก็ออกตัวแรงปกป้องและแสดงความเป็นห่วงเราซะขนาดนั้น แต่พอตอนนี้กลับเอาแต่นั่งทำหน้าเรียบตึง เฉยชา ท่าทีนี้ของเขามันช่างชวนทำให้หงุดหงิดใจของข้าเสียจริง'
สตรีน้อยคิดหงุดหงิดในใจและพ่นลมหายใจออกมากทางจมูกอย่างแรงอย่างหงุดหงิดใจ
เฮอะ!
ตอนนี้ดวงหน้าของสตรีน้อยบูดบึ้งไปหมดแล้วเพราะอีกฝ่ายเอาแต่เงียบเฉยมึนตึงใส่ตลอดเวลา
ด้านหลงอี้หลิงเมื่อถูกอีกฝ่ายถามขึ้นอย่างมีอารมณ์ เขาตั้งใจรอเวลาให้นางสงบอารมณ์ลงก่อน และเมื่อเห็นเจ้าตัวเริ่มนิ่ง เขาจึงหันมามองสบตากับนาง ใบหน้าอันหล่อเหลาฉายแววขุ่นเคืองหัวเสีย และย้อนถามกลับอย่างเย็นชา
"เจ้าอยากจะให้ข้าพูดอะไร ก่อนไปถึงที่นั่น ข้าได้กำชับบอกเจ้าแล้วว่าควรปฏิบัติตัวเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือเจ้ากลับไปมีเรื่องกับธิดาของเยี่ยอ๋อง ผู้ที่ใคร ๆ ในเมืองหลวงนี้ต่างก็ให้ความยำเกรงต่ออำนาจของพวกเขา"
ประโยคที่แม่ทัพหนุ่มย้อนถามสตรีน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดจาเกรี้ยวกราดหรือต่อว่ารุนแรง แต่อากัปกิริยาที่เขาแสดงออกมา มันก็เพียงพอที่จะทำให้ฟ่งหลันหลั่นรู้สึกสำนึกผิดกับการกระทำของตน
สตรีน้อยรู้สึกจุกในอก เพราะคำกล่าวของเขามันช่างทิ่มแทงใจดำเสียเหลือเกิน
ใช่ นางไม่ได้รักษาคำพูดตามที่ได้ให้ไว้กับอีกฝ่ายจริง ๆ
"ระ เรื่องนั้นข้าจำได้ดี" สตรีน้อยตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกักเสียงอ่อน ด้วยความสำนึกผิด แต่พอมองหน้าเขาและเห็นท่าทีเมินเฉยที่เจ้าตัวกำลังแสดงออกมา นางก็ฉุนขึ้นมาอีกรอบ
"...ข้ารู้ว่าข้าผิดคำพูดที่ให้ไว้ต่อท่าน แต่ท่าทีนิ่งเฉยของท่านที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันทำข้าชวนอึดอัดมาก ท่านไม่ถามสักคำ ว่าทำไมข้าถึงขัดคำสั่งหรือท่านเชื่อว่าข้าเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นอย่างที่คนพวกนั้นกล่าวหา"
ฟ่งหลันหลั่นพรั่งพรูคำพูดออกมาฉอด ๆ ไม่หยุดปากอย่างหงุดหงิดใจ เพราะการที่ก่อนหน้านี้แม่ทัพหนุ่มเอาแต่นิ่งนิ่งเฉยไม่กล่าวคำใด มันทำให้นางรู้สึกว่า เขายอมรับในคำกล่าวหาของสองพ่อลูกนั้นที่มีต่อนาง
หลงอี้หลิงรู้จักนิสัยของสองพ่อลูกคู่นั้นเป็นอย่างดี แต่ที่เขารู้สึกหัวเสียและไม่พอใจอยู่ในเวลานี้ คือการที่ฟ่งหลันหลั่นไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขาต่างหาก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ตอบในเรื่องที่ถูกตั้งคำถามและเปลี่ยนประเด็นการสนทนาไปที่มือของนางแทน
"ยื่นมือข้างที่เจ้าแอบไว้ทางด้านหลังออกมาให้ข้าดูแผลหน่อย"
แม้ใบหน้าของเขาจะยังดูบึ้งตึงอยู่ แต่น้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกมาในตอนนี้กลับแฝงไว้ซึ่งความห่วงใย
แทนที่สตรีน้อยจะยื่นมือออกมาให้เขาอย่างว่าง่ายตามที่เจ้าตัวบอก แต่นางยังโกรธเขาอยู่ จึงยิ่งเก็บมือซ่อนไว้ข้างหลังและมองค้อนเขากลับด้วยสายตาดื้อดึง
"ช่างเถอะเรื่องเล็กน้อยเอง แผลแค่นี้ยังห่างไกลหัวใจข้ามากโข สาวใช้ชาวบ้านชั้นต่ำเช่นข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก"
น้ำเสียงขุ่นเคืองที่เปล่งออกมา ผนวกกับสีหน้าบึ้งตึงและแววตาหยิ่งทระนงคู่นั้นของสตรีน้อย ช่างประชดประชันและกวนโทสะของแม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก
แม่ทัพหนุ่มเค้นเสียงในลำคอ กล่าวตำหนิสตรีน้อยข้างกายออกมา สั้น ๆ "อวดเก่ง!" ดวงตาคมกริบยังคงจ้องนางมิวางตา
ฟ่งหลันหลั่นได้ยินคำตำหนิ ใบหน้างามพลันงองุ้ม ริมฝีปากบางเม้มปากเข้าหากันและยกมือขึ้นมากอดหน้าอก จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับอย่างโกรธขึ้ง
จังหวะนั้นเองเลยทำให้หลงอี้หลิงมองเห็นเศษผ้าสีขาวที่เขาใช้พันแผลเพื่อห้ามเลือดไว้ให้นางก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน ซึ่งตอนนี้มันได้กลายเป็นสีแดงเข้มไปเกือบทั้งชิ้นแล้ว
"เลือดออกเยอะขนาดจนแทบจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เศษผ้าชิ้นนั้นเคยเป็นสีขาว เจ้ายังคงตีฝีปากบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรอยู่อีกงั้นรึ จะยื่นมือออกมาให้ข้าดี ๆ หรือจะให้ข้าใช้กำลังบังคับ"
"ข้าก็บอกแล้วไงว่าแผลแค่มันเล็กน้อย ท่านอย่าได้มาสนใจเลย"
ฟ่งหลันหลั่นยังคงปฏิเสธเสียงแข็งและต่อปากต่อคำไม่หยุด ทั้ง ๆ ที่สีหน้าของนางเริ่มถอดสีอย่างเห็นได้ชัด
ในระหว่างนั้นเอง จู่ ๆ รถม้าที่พวกเขานั่งมาก็เกิดเสียหลัก โคลงตัวไปมาอย่างกะทันหัน เพราะพื้นถนนที่วิ่งมาค่อนข้างขรุขระ
สตรีน้อยมัวแต่นั่งจ้องหน้าแม่ทัพหนุ่มจึงไม่ทันระวังตัว นางจึงเสียการทรงตัว หล่นลงมาจากม้านั่งและทิ้งตัวหน้าคะมำไปทางด้านหน้า
แต่ปฏิกิริยาประสาทการเคลื่อนไหวของหลงอี้หลิงนั้นดีเยี่ยม เขาได้เอื้อมแขนออกมารับร่างน้อยอรชรและประคองตัวนางไว้ได้ทันท่วงที
ฟ่งหลันหลั่นรู้สึกได้ถึงท่อนแขนอันกำยำแข็งแรงของแม่ทัพหนุ่มสัมผัสอยู่ตรงช่วงใต้ราวนมของตน นางรู้สึกทั้งตกใจหันขวับมองหน้าเขาอย่าง เขินอายและทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่นิ่งตัวเกร็งค้างอยู่ในท่านั้น
ขณะนี้ใบหน้าอันหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่มอยู่ห่างจากดวงหน้างามแค่คืบเดียว เขาเองก็พยายามควบคุมอาการสั่นไหวในอกอันแปลกประหลาดของตัวเองเอาไว้ ปากเค้นเสียงกล่าวอย่างเย็นชากับสตรีน้อยตรงหน้า เพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ของตน
"ตั้งแต่เจ้าถูกพิษเมื่อคราวก่อน จนถึงตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังคงไม่หายดี หากไม่อยากอายุสั้นก็ควรอยู่เฉย ๆ อย่าเที่ยวไปหาเรื่องกับคนอื่นให้มันมากนัก"
ประโยคนั้นของเขาทำให้สตรีน้อยผู้ดื้อดึงและรักอิสระที่ถึงกับอารมณ์เปลี่ยนไปในฉับพลัน สติขาดผึง นางหันขวับไปประจันหน้าสบตากับเขาอย่างขึงขัง ความเขินอายที่มีก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น
ฟ่งหลันหลั่นพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างแรงและตอบสวนเขาเสียงแข็งทันควัน
"เฮอะ! ข้าเองก็ไม่เคยประสงค์ที่จะอยู่ที่นี่ แต่ผู้ใดกันเล่าบังคับรั้งตัวข้าไว้ให้พักอยู่ที่เรือนหลังนั้น หากสาเหตุเป็นเพราะข้าเคยช่วยชีวิตหลงฮูหยินไว้ ข้าได้บอกย้ำชัดเจนไปหลายครั้งแล้ว ว่าพวกท่านไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดตอบแทน"
หลงอี้หลิงช่วยประคองฟ่งหลันหลั่นให้กลับมานั่งในที่เดิม และกล่าวตอบอย่างมีสติ
"แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถเที่ยวไปมีเรื่องและสร้างศัตรูกับใครไปทั่วโดยไม่ดูสถานะของตัวเอง" สุ้มเสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำ
แต่ทว่ามันกลับทำให้ฟ่งหลันหลั่นตีความหมายในประโยคนั้นผิดไป เพราะนางเข้าใจว่ากำลังตอกย้ำคำพูดของเยี่ยอ๋องและธิดาของเขาก่อนหน้านี้
"ใช่สินะ! ข้านี่ช่างไม่เจียมตัว ทำอะไรไม่ดูฐานะของตัวเองเลย ความจริงแล้วข้าไม่ควรไปที่นั่นตั้งแต่แรก และตำแหน่งสาวใช้ส่วนตัว ก็เป็นท่านที่ยัดเยียดให้ข้าเสียด้วยซ้ำไป"
ความขุ่นเคืองใจสะท้อนออกมากับน้ำเสียงของสตรีน้อยอย่างชัดเจน
แม่ทัพหนุ่มไม่อาจที่จะปฏิเสธคำกล่าวนั้นของฟ่งหลันหลั่นได้ เพราะเป็นเขาเองที่ต้องการให้นางพักอยู่ที่เรือนหลงหลิงเพื่อรักษาตัวให้หายดี อีกทั้งเขายังติดใจในเรื่องกระท่อมน้อยกลางป่าของนางถูกเผาและคนร้ายที่เขาได้ประมือด้วย ไม่ใช่โจรป่าธรรมดาทั่วไปแต่เป็นคนของเยี่ยอ๋อง ส่วนเหตุผลสำคัญอีกอย่างมีเพียงตัวเขาที่รู้ดีอยู่แก่ใจผู้เดียว
แววตาดุดันและหน้าตาเย็นชาไร้ความอ่อนโยนผู้นั้นถึงกับเผยสีหน้าที่ฉายความรู้สึกลึกซึ้งจริงใจออกมา
สตรีน้อยเห็นสีหน้าและแววตาเยี่ยงนั้นของแม่ทัพหนุ่ม พานให้รู้สึกสับสนยิ่งนัก แต่ความโกรธและขุ่นเคืองใจยังมิจางหายไป นางจึงหันขวับไปทางด้านข้างและเปิดผ้าม่านออกเพื่อมองไปด้านนอก และพยายามปรับอารมณ์รวมทั้งสติให้นิ่งลง
จากนั้นทั้งสองต่างฝ่ายก็เงียบไม่สนทนากันต่อ
แม่ทัพหนุ่มนั่งมองร่างบางอรชรจากทางด้านหลัง และถูกปกคลุมด้วยเรือนผมเส้นเล็กสีดำน้ำหมึกเงาวับประหนึ่งเส้นไหม ยาวสลวยทิ้งตัวลงพื้น ปลายผมพลิ้วไหวไปมาตามแรงกระแทกของรถม้า ซึ่งกำลังเคลื่อนไปทางด้านหน้าอย่างช้า ๆ
'นับตั้งแต่วันที่เจ้ากับข้า ได้ตกลงไปยังหน้าผาเบื้องล่างแห่งนั้นด้วยกัน สิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อข้าในวันนั้น เจ้าก็เป็นคนของข้าโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น'
....
เซียงไค 盛開