หลายวันก่อนหน้านี้ จวนเยี่ยอ๋องได้ส่งเทียบเชิญมาให้แม่ทัพหนุ่ม เพื่อไปร่วมเฉลิมฉลองงานวันเกิดให้กับธิดาของเขา นั่นก็คือ เยี่ยชิงเซียว
ธิดาอ๋อง สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้มีความชื่นชอบในตัวหลงอี้หลิงมานานหลายปี และนางเฝ้าปรารถนาที่จะเข้าพิธีสมรสครองเรือนเป็นศรีภรรยาของเขา
เยี่ยชิงเซียวได้เทียวไล้เทียวขื่อแวะเวียนไปหาสู่แม่ทัพอยู่เป็นเนือง ๆ นางพยายามยื่นสายสัมพันธ์ให้กับเขาอยู่เป็นประจำ ในทุกครั้งที่มีโอกาสหรือไม่นางก็สร้างมันขึ้นมาเอง
แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจและมิเคยคิดจะตอบรับไมตรีนั้น จึงทำให้แผนการของนางล้มเหลวมาตลอด
เยี่ยอ๋อง รักธิดาของเขายิ่งนัก จึงคอยตามใจสนับสนุนทุกอย่างตามที่นางปรารถนา และเห็นดีเห็นงามพร้อมใจไปกับธิดาของตน
ตัวเยี่ยอ๋องเองก็ชื่นชมในความเก่งกาจและความสามารถของหลงอี้หลิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงอยากได้บุรุษผู้นี้มาเป็นราชบุตรเขยและคอยช่วยงานใหญ่ของเขา
ไม่เพียงแค่อ๋องเยี่ยเท่านั้นที่ต้องการผูกสัมพันธ์ไมตรีกับคนตระกูลหลงและแม่ทัพหนุ่มผู้นี้
หากยังมีเหล่าขุนนางจากตระกูลใหญ่มากมาย ที่อยากได้หลงอี้หลิงไปเป็นบุตรเขยเพื่อต่ออำนาจของพวกเขาเช่นกัน แต่ไม่ว่าคนพวกนั้นจะใช้วิธีอะไร หรือนำสิ่งใดมาเสนอแลกเปลี่ยน ก็ล้วนได้รับการปฏิเสธกลับไปทุกราย
หลงอี้หลิง แม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นโหย่วผู้นี้ มิเคยเอนเอียงเข้าข้างหรือรับข้อเสนอใดจากคนพวกนั้น เขาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยืนหยัดถือมั่น ในความถูกต้องยุติธรรม เพราะนั่นคือปฏิภาณแน่วแน่ของคนตระกูลหลงทุกรุ่นถือปฏิบัติเสมอมา
คำสัตย์ปฏิญาณนั้น คือความจงรักภักดีต่อกษัตริย์และแผ่นดินเกิด ดูแลผู้คนได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ปกป้องปวงประชาให้พ้นจากทุกภัย ปราศจากสงครามหรือการรุกรานของแคว้นอื่น
หลงอี้หลิงตั้งใจมั่นปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด และไม่เคยคิดหรือสนใจเรื่องการครองเรือนกับสตรีสูงศักดิ์นางใด
จนกระทั่งเมื่อเขาได้มาพบกับฟ่งหลันหลั่น สตรีน้อยแปลกหน้า ผู้ที่ยอมเสี่ยงตายช่วยชีวิตคนอื่นให้รอดปลอดภัยจากอันตราย โดยที่ไม่ได้รู้จักกันแม้แต่น้อย
ซึ่งคนที่นางได้ช่วยไว้นั่นก็คือหลงฮูหยิน ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลหลงซึ่งเป็นที่เคารพนับหน้าถือตาสำหรับผู้คนในเมืองหลวง และเป็นท่านย่าของหลงอี้หลิง
การกระทำนั้นของสตรีน้อย ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงต่อคนตระกูลหลง และได้สร้างความประทับใจให้แก่แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ณ หอบังคับการตรวจตราเมือง
หลงอี้หลิงสวมใส่ชุดเกราะของทหาร มือข้างกุมดาบที่ถืออยู่ข้างกายไว้แน่น เขายืนตระหง่านอยู่บนยอดของหอบังคับการตรวจตราเมือง และกำลังทอดสายตามองออกไปยังเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ
ภาพอันกว้างใหญ่ที่ปรากฏต่อสายตาของเขานั้น ตึก อาคารห้างร้าน โรงเตี๊ยมที่พัก ภัตตาคารร้านอาหาร รวมไปทั้งบ้านเรือนของผู้คนภายในเมืองหลวง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกขนาบโอบล้อมไว้ด้วยกำแพงหนาสูงใหญ่รอบทั่วทุกทิศทาง
ตรงตำแหน่งที่แม่ทัพหนุ่มยืนอยู่ สามารถมองเห็นตัวเมืองทั้งหมด โดยเฉพาะถนนใจกลางเส้นหลักยิ่งเด่นชัดเจนกว่าเส้นอื่น
เพราะตรงนั้นจะมีจุดสังเกตหนึ่งที่เด่นชัด นั่นก็คือโคมไฟดวงสีส้มที่ติดอยู่หน้าอาคารร้านค้านั่นเอง
เข่อลั่วได้ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่างกายผู้เป็นนาย
ไม่นานจางเก่อก็เดินเข้ามาสมทบรวมกลุ่มกับทั้งสองคน เพื่อรายงานสถานการณ์ตามที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำ
"ว่าไงจางเก่อ เจ้าได้อะไรคืบหน้าบ้างไหม" หลงอี้หลิงเอ่ยถามทหารนายกองคนสนิทด้วยโทนน้ำเสียงปกติของเขา ส่วนสายตาก็ยังคงทอดยาวมองออกไปตรงเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ
"วันนี้คนของเราได้ส่งข่าวมาจากนอกเมือง ข้าคิดว่านายน้อยควรเปิดอ่านดูเนื้อความด้านในนี้ก่อนดีกว่าขอรับ" จางเก่อกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นกลักสีน้ำตาลขนาดเล็ก ๆ ในมือส่งให้กับเจ้านายหนุ่มของตน
หลงอี้หลิงฟังจากน้ำเสียงของลูกน้องคนสนิทกล่าวอย่างเคร่งเครียด เขาจึงหันกลับมาและยื่นมือไปหยิบกลักนั้นและเปิดดูสิ่งของด้านใน
เมื่อได้อ่านเนื้อความที่เขียนลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ สีน้ำตาลไหม้เสร็จเรียบร้อย แม่ทัพหนุ่มก็ดูมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
จากนั้นเขาก็ได้ยื่นกระดาษแผ่นนั้นส่งต่อให้กับเข่อลั่ว ซึ่งยืนรอฟังอย่างสนใจ
เมื่อนายกองร่างท้วมรับกระดาษจากมือเจ้านายมาได้ เขาก็รีบเปิดอ่านเนื้อความที่เขียนอยู่ทันที ด้วยท่าทางกระตือรือร้น
ในขณะที่อ่าน เขาเผยสีหน้าและท่าทางตึงเครียดขึงขังขึ้นมา
…. เมื่อทหารนายกองอ่านจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นถามผู้เป็นนายอย่าง ร้อนใจ
"เรื่องเงินคงคลังที่หายไปพวกเรายังสืบไม่ได้ความอะไรเลย ตอนนี้กลับเกิดเรื่องเสบียงอาหารที่ส่งไปยังค่ายทหารต่าง ๆ ถูกดักปล้นระหว่างทางขนส่งเสียอีก เช่นนี้แล้วนายน้อยคิดจะจัดการเรื่องทั้งหมดยังไงดี ให้ข้าพาคนของเราออกไปตรวจสอบสถานการณ์ที่นอกเมืองดีไหมขอรับ"
แม่ทัพหนุ่มกล่าวปรามลูกน้องเสียงเข้ม ถ้อยคำหนักแน่นทรงพลัง
"อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามไป! พวกเรายังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเป็นฝีมือของผู้ใด ถ้าขืนทำอะไรไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน อาจจะตกหลุมพรางและเสียท่าแก่ศัตรูได้"
จางเก่อจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาและได้กล่าวเสนอแนะนำแนวทางให้กับผู้เป็นนายอย่างมีสติและสุขุมใจเย็น
"นายน้อย พรุ่งนี้เยี่ยอ๋องจะจัดงานฉลองวันเกิดให้กับท่านหญิงชิงเซียว ข้าคิดว่าคงมีแขกเหรื่อและเหล่าขุนนางชั้นสูงเดินทางไปร่วมงานนั้นอย่างแน่นอน บางทีพวกเราอาจจะใช้โอกาสนี้สืบหาอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง" ซึ่งต่างจากอารมณ์มุทะลุใจร้อนของเข่อลั่วมาก
"เข่อลั่ว พวกเราได้เทียบเชิญนั้นไหม" หลงอี้หลิงหันไปเอ่ยถามนายกองร่างเจ้าเนื้ออย่างสนใจ
"ขอรับนายน้อย ท่านหญิงชิงเซียวได้ให้คนนำเทียบเชิญมาส่งให้ที่จวนหลายวันแล้ว แต่ว่าท่านไม่อยู่ เผอิญหลงฮูหยินแวะมาเยี่ยมแม่นางฟ่งที่จวนเห็นเข้าพอดี จึงเป็นผู้รับเทียบนั้นไว้แทน"
ในขณะที่เข่อลั่วบอกนายน้อยของตน สีหน้าของเขาดูถอดสีแลดูมีความกังวลใจแอบซ่อนปิดบังไว้
หลงอี้หลิงจับพิรุธนั้นของนายกองคนสนิทได้ เขาจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย หัวคิ้วจรดเข้าหากัน ใบหน้าเรียบตึง และจ้องลูกน้องกลับไปด้วยแววตาแข็งกร้าว โดยใช้โทนเสียงดุ
"เข่อลั่ว! เจ้าจงไปที่เรือนตระกูลหลง และบอกท่านย่าว่าข้าจำเป็นต้องใช้เทียบเชิญนั้น"
"นายน้อยจะไปร่วมงานวันเกิดของคุณหนูเยี่ย นี่ท่านเองก็สนใจเป็นราชบุตรเขยของท่านอ๋องเยี่ยเหมือนบุรุษคนอื่น ๆ กระนั้นหรือขอรับ"
คำถามที่ไม่คิดหน้าคิดหลังของเข่อลั่ว ทำให้ผู้เป็นนายยิ่งมองหน้าเขาตาขวางหนักขึ้น และแผ่รังสีอำมหิตออกมาเล็กน้อย
แม้แต่จางเก่อผู้เป็นสหายสนิทของนายกองเจ้าเนื้อ ได้ยินเช่นนั้น เขาถึงกับพ่นลมออกทางจมูก เบ้ปากมองบนและทำหน้าเอือมระอาในความปากไวของสหายร่วมงานคนนี้
หลงอี้หลิงกล่าวเสียงเข้มดุดันนายกองร่างท้วมอีกครั้ง
"เข่อลั่ว! แผลที่หลังของเจ้าคงจะหายดีแล้วสินะ งั้นพอกลับไปถึงจวนเมื่อไร เจ้าก็ไปนายทหารฝ่ายผู้คุมกฎลงโทษโบยหลังเพิ่มอีก 10 ไม้"
จากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็หันขวับกลับไปมองภาพเมืองหลวงตรงเบื้องล่างหอบังคับการตรวจตราเมืองอีกครั้ง
เข่อลั่วทั้งตกใจและงงว่าตัวเองนั้นทำอะไรผิด เหตุใดเจ้านายถึงได้สั่งลงโทษให้โบยหลังอีกครั้ง เขาจึงหันไปเอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างงง ๆ
"น่ะ นายน้อย ข้าทำอะไรผิดอีกกระนั้นหรือ ท่านถึงได้สั่งลงโทษถูกโบยหลังข้าอีกแล้ว"
จางเก่อทนยืนฟังไม่ไหว และกลัวว่าสหายจะถามอะไรโง่ ๆ ออกมาอีก เขาจึงตัดสินใจชิงพูดแทรกขึ้น เพื่อช่วยสหายของตนเอาไว้
"เจ้าก็รู้ว่านายน้อยของพวกเราไม่ใช่คนประเภทนั้น อีกอย่างแม่นางฟ่งก็ยังคงพักอยู่ที่จวนแม่ทัพ ฉะนี้แล้วนายน้อยจะไปคิดเรื่องแบบนั้นกับสตรีนางอื่นได้เยี่ยงไรกัน"
จางเก่อกล่าวขึ้นเหมือนรู้ใจผู้เป็นนายอย่างดี โดยที่แม่ทัพหนุ่มแทบไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมาเสียด้วยซ้ำ
แต่พอเข่อลั่วได้ฟังสหายบอกแบบนั้น เขาก็ยิ่งทำหน้างงและสงสัยหนักมากขึ้น
"แม่นางฟ่ง! มาเกี่ยวอะไรกับนายน้อยของพวกเราด้วย นายน้อยก็แค่เห็นใจนางที่กระท่อมนางถูกเผาไหม้หมด จึงได้ให้พักรักษาตัวที่นี่ชั่วคราว จนกว่าร่างกายจะได้รับการถอนพิษและเพื่อตอบแทนที่นางเคยช่วยชีวิตของหลงฮูหยินไว้ก็แค่นั้น"
เข่อลั่วพูดร่ายยาวโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าของเจ้านายของตนเลยสักนิด ว่าตอนนี้เขามีปฏิกิริยาตอบกลับมาเช่นไร
"จางเก่อ! เจ้าว่าควรสั่งโบยหลังเข่อลั่ว เพิ่มเป็น 100 ไม้ดีไหม"
หลงอี้หลิงกล่าวเสียงกร้าวและดุดันดังขึ้นท่ามกลางวงสนทนาของลูกน้องคนสนิททั้งสอง
เข่อลั่วตกใจจนหน้าเสียและหันมาถามเจ้านายด้วยความงงยิ่งกว่างง เพราะมาถึงตอนนี้แล้ว เขายังไม่รู้ว่าตัวเองพูดหรือทำอะไรผิดอยู่ดี
"โธ่นายน้อย...แผลเก่าข้าเพิ่งหายดี ท่านจะสั่งลงโทษข้าจริง ๆ งั้นหรือขอรับ ถ้าเช่นนั้นช่วยบอกทีเถิด ว่าข้าทำอะไรผิดไป"
เข่อลั่วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเหมือนสตรี ซึ่งต่างจากร่างกายเจ้าเนื้อของเขา
บุรุษอีกสองคนแม้จะคุ้นชินกับท่าทีนั้นของเข่อลั่วแต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตาอยู่ดี
"ถ้าเจ้าไม่อยากถูกโบยหลังเพิ่มอีก พรุ่งนี้ เจ้าก็รีบกลับไปเรือนตระกูลหลงตั้งแต่ยามเฉินซะ เพื่อขอเทียบเชิญจากท่านย่า ..."
"ขอรับนายน้อย" เข่อลั่วขานรับคำอย่างเร็วไวด้วยน้ำเสียงสดใส เพราะมั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกสั่งโบยหลังแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าเจ้านายหนุ่มจะยังพูดไม่จบ
"อ้อมีอีกเรื่อง! เจ้าเลิกซื้อไก่ย่างและสุราไปฝากฟ่งหลันหลั่นในยาม ค่ำคืนและชวนกันดื่มจนเมามายอาละวาดเสียงดังรบกวนเวลาพักผ่อนของผู้อื่นเสียที มิฉะนั้น ข้าจะสั่งลงโทษทั้งเจ้าและนางพร้อมกันทั้งสองคน"
หลงอี้หลิง กล่าวกับลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
จากนั้น เขาก็หันกลับไปมองภาพตัวเมืองด้านล่างอีกครั้ง
จางเก่อจึงรีบส่งสัญญาณให้เข่อลั่วรีบออกไปจากตรงนั้นก่อนที่อารมณ์ของผู้เป็นนายจะคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
เข่อลั่วจึงได้ขอตัวแยกออกไป ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่งั้นเขาอาจจะต้องถูกลงโทษจริงๆ
เขาเดินส่ายหัวออกไป พร้อมกับบ่นพึมพำขึ้นมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ
"ไม่เข้าใจ! ทำไมนายน้อยต้องโกรธ เรื่องที่เราซื้ออาหารและสุราชั้นดีไปฝากแม่นางฟ่งด้วยนะ"
หลังจากเข่อลัวเดินปลีกตัวออกไป หลงอี้หลิงก็ได้สั่งการบางอย่างให้กับจางเก่อไปช่วยจัดการเรื่องบางอย่างให้
"จางเก่อ พรุ่งนี้ข้ารบกวนเจ้าพาฟ่งหลันหลั่นไปที่ร้านผ้าหงอี้ด้วยนะ"
"นายน้อยคิดจะพาแม่นางฟ่งติดตามไปที่งานวันเกิดของท่านหญิงชิงเซียวนั้นด้วยกันหรือขอรับ"
จางเก่อเอ่ยถามเจ้านายอย่างรู้ใจ แต่ก็แอบเป็นกังวล แกมสงสัยไม่ได้
"อืม...ไม่แน่บางทีพรุ่งนี้ข้าอาจจำเป็นต้องใช้งานนาง เจ้าช่วยสั่งคนของหอหงอี้ เลือกชุดที่เหมาะสมให้นางด้วยแล้วกัน"
น้ำเสียงของหลงอี้หลิงตอนที่เอ่ยถึงฟ่งหลันหลั่น ฟังดูอ่อนโยนมาก อีกทั้งแววตาของเขาที่เคยแข็งกร้าว กับเปล่งประกายอบอุ่นออกมาแทน
...
เซียงไค 盛開