ตลาดใจกลางเมืองจิ่ว
หลงอี้หลิง แม่ทัพหนุ่มผู้หาญกล้าและมากความสามารถแห่งแคว้นโหย่ว ได้ใช้ช่วงเวลากลับมาเยี่ยมครอบครัว ติดตามเหล่าฮูหยินแห่งสกุลหลง ท่านย่าของเขา ร่วมเดินทางกลับไปไหว้บรรพบุรุษครั้งนี้ ซึ่งต้นตระกูลเคยอาศัยในเมืองจิ่วก่อนที่จะย้ายเข้าสู่เมืองหลวง
อีกนัยหนึ่งก็เพื่อคุ้มกันภัยให้กับขบวนเดินทาง และหลงอี้หลิงยังได้ใช้โอกาสนี้แอบสืบหาความจริงบางอย่างในภารกิจที่เขากำลังทำอยู่
เมื่อใกล้ถึงจุดหมายแม่ทัพหนุ่มผู้หาญกล้ากับทหารนายกองลูกน้อง คนสนิทได้เดินทางล่วงหน้ามายังเมืองจิ่วเพื่อตรวจสอบและเตรียมความเรียบร้อยในเรื่องที่พัก
โดยได้ทิ้งคนคุ้มกันที่มีฝีมือจำนวนหนึ่ง ร่วมขบวนเดินทางมาพร้อมกับเหล่าฮูหยิน
หลงอี้หลิงกับนายกองคนสนิทสวมใส่อาภรณ์เหมือนคนทั่วไป หากแต่ก็สมฐานะ เพื่อไม่ให้ดูเอิกเกริกและเพื่อสะดวกในการเคลื่อนไหว
ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินอยู่ยังถนนใจกลางตลาดของเมืองจิ่ว สายตาทั้งสองคู่ก็สอดส่องมองสำรวจรอบตัวอย่างพินิจพิจารณา
ในขณะนั้นเอง เสียงเอะอะโวยวายของคนกลุ่มหนึ่งกำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่ ดังขึ้นมาจากทางข้างหน้าที่ทั้งคู่กำลังจะเดินผ่านไป
"ช่วยด้วย! ผู้ใหญ่รังแกเด็ก ช่วยด้วย!" เด็กสาวคนหนึ่งกำลังร้องตะโกนเสียงดัง เพื่อขอความช่วยเหลือลั่นไปทั่วตลาดใจกลางเมืองจิ่ว
"นายน้อยรู้สึกว่าทางนั้นน่าจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันอยู่"
เข่อลั่ว ลูกน้องคนสนิทของหลงอี้หลิง รีบกล่าวกับนายของเขาอย่าง สนอกสนใจ
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแค่พยักหน้าเรียบตึงหนึ่งที
เพลาต่อมาทั้งคู่ก็ได้เดินมาถึงจุดที่กำลังมีการทะเลาะวิวาทกัน
สตรีน้อยผู้หนึ่งอยู่ในวัยบุปผาแรกแย้ม ยืนประจันหน้าอยู่กับกลุ่มชายวัยฉกรรจ์ถึงสี่ห้าคน ท่าทางพวกเขาดูขึงขังเหี้ยมเกรียม
นางได้เอาตัวเองยืนเป็นโล่กำบังให้กับเด็กเล็ก ๆ สองคนซึ่งทั้งคู่สวมใส่เสื้อเก่าและขาด ตามลำตัวและใบหน้าก็ดูสกปรกมอมแมม
เข่อลั่วเห็นพวกชาวบ้านจำนวนหนึ่งเอาแต่ยืนมุมดูเฉย ๆ และไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือสักคน เขาจึงอดที่จะหันไปถามไม่ได้
"พี่ชายเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดถึงไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือเด็ก ๆ พวกนั้นเลย"
พ่อค้าขายพุทราเชื่อมซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยิน จึงหันมาตอบแทนชาย คนที่ถูกถาม
"พวกท่านคงเป็นคนต่างถิ่นสินะ ถึงได้ไม่รู้จักกลุ่มนักเลงอันธพาล พวกนี้ พวกเขาเทียวมาขู่เรียกเก็บค่าส่วย อ้างว่าเป็นการคุ้มครองให้พื้นที่เช่าทางค้าขายในตลาด ซึ่งหัวหน้าใหญ่ของพวกเขามีอิทธิพลมากในเมืองจิ่ว ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยหรอก"
พ่อค้าขายพุทราพรั่งพรูคำพูดออกมาจำนวนมาก ราวกับเก็บอัดอั้นความรู้สึกเก็บกดนี้มานานแสนนานแล้ว
เข่อลั่วได้ฟังก็หันหน้าไปมองนายน้อยของตนรอบหนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับมาทางฝั่งพ่อค้าขายพุทรา และกล่าวถามเขาต่ออย่างสนใจ
"แล้วเหตุใดแม่นางน้อยและเด็กสองคนนั้นถึงได้ไปมีเรื่องกับพวกกลุ่มอันธพาลกันได้ล่ะ"
"อ๋อ พวกอันธพาลกล่าวหาว่าเด็กขอทานสองคนพี่น้องมาเดินขอทานโดยไม่ยอมจ่ายค่าส่วยให้พวกเขาน่ะสิ แม่นางน้อยผู้นี้มาเห็นเข้าจึงได้เข้าไปช่วยเหลือไว้ ที่จริงนางกับเจ้าพวกนั้นเป็นคู่ปรับเก่ากัน"
"คู่ปรับ ?"
เข่อลั่วรู้สึกแปลกใจในคำพูดนั้นของพ่อค้าขายพุทราเชื่อม
"ใช่! คู่ปรับ...เพราะทุกครั้งที่นางเห็นพวกนักเลงอันธพาลมาหาเรื่องชาวบ้าน นางก็จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนเสมอ"
ชายขายพุทราเชื่อมเล่าไป สีหน้าและแววตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความชื่นชมในตัวแม่นางฟ่งผู้นั้น
เข่อลั่วพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวและเริ่มจับใจความทั้งหมดได้ คร่าว ๆ เขาจึงหันหน้ากลับมาทางนายน้อยของตน แต่อีกฝ่ายยังคงวางสีหน้านิ่งเฉย สายตาจับจ้องมองไปยังกลุ่มทะเลาะวิวาทตรงหน้า
พอเข่อลั่วเบนสายตามองตามนายน้อยของเขาไป และเป็นจังหวะที่เห็นสตรีน้อยเกิดพลาดพลั้งเสียทีถูกพวกนักเลงกำลังจับแขนทั้งสองข้างไว้
ด้วยความที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ และทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้จึงไม่อาจทนยืนดูเฉย ๆ จึงตัดสินใจยื่นมือเข้าไปช่วย แต่กลับถูกผู้เป็นนายห้ามไว้เสียก่อน
เข่อลั่วไม่เข้าใจในเจตนาของเจ้านาย จึงหันไปมองหน้าเขา
"นายน้อย ท่านห้ามข้าไว้ทำไม หรือว่าท่านทนเห็นประชาชนผู้อ่อนแอถูกรุมทำร้ายต่อหน้าต่อตาได้"
เข่อลั่วกล่าวถามนายน้อยด้วยน้ำเสียงค่อนขอด แกมตำหนิ
"เข่อลั่วเจ้าอยู่กับข้ามากี่ปีแล้ว เหตุใดถึงมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงเบื้องหน้าได้บกพร่องเช่นนี้ หากแม้นว่าที่นี่เป็นสนามรบ เกรงว่าเจ้าคงจะต้องเสียทีให้แก่ข้าศึกแล้วกระมัง"
หลงอี้หลิงย้อนถามกลับด้วยท่าทีสุขุม แต่ดวงตาเขายังคงจับจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่อย่างแน่วแน่
และยังได้ใช้พัดสีขาวในมือของตน ชี้ไปทางสตรีน้อยผู้นั้น ปากก็กระซิบกล่าวกับลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงนิ่งราบเรียบแต่ให้ความรู้สึกจริงจัง
"เข่อลั่ว เจ้าลองจับตาดูท่วงท่าการเคลื่อนไหวร่างกายของแม่นางน้อยผู้นั้นให้ดีอีกครั้งสิ"
เข่อลั่วรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อยแต่ยอมทำตาม และเบนสายตามองตามทิศทางของพัดเหล็กที่กำลังชี้ไป
ทหารลูกน้องคนสนิทได้เพ่งมองการทะเลาะวิวาทตรงหน้านั้นอีกครั้งอย่างพิจารณาถ้วนถี่ ใช้เวลาเพียงครู่เดียว เขาก็อ่านการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนทะเลาะวิวาทนั้นออก และเข้าใจถึงความหมายของแม่ทัพหนุ่มที่กล่าวเตือนสติตนก่อนหน้านี้
"เป็นอย่างนี้นี่เอง...แม่นางน้อยผู้นี้มีการเคลื่อนไหวร่างกายราวดุจดั่งต้นหลิวพลิ้วลู่ไปกับสายลม แถมท่วงท่าจังหวะเหล่านั้นก็ดูไม่ธรรมดา...ขออภัยนายน้อย ข้านั้นโง่เขลาเบาปัญญาอย่างที่ท่านกล่าวจริง ๆ" เมื่อเข่อลั่วรู้ว่าตนนั้นผิดพลาดไป จึงได้กล่าวยอมรับผิดกับนายของตนอย่างกล้าหาญ
"ข้าหวังว่าเจ้าจะจำไว้เป็นบทเรียน หากแม้นคิดดูถูกคู่ต่อสู้ว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งความสามารถ เพียงเพราะเห็นเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป สิ่งนั้นมันอันจะนำภัยร้ายมาสู่ตัวได้"
หลงอี้หลิงใช้เหตุการณ์ตรงหน้า สอนและเตือนสติลูกน้องคนสนิทของตน
"ขอบคุณนายน้อยที่เตือนสติ ข้าจะจำคำสอนนี้ของท่านให้ขึ้นใจ"
ช่วงเสี้ยวนาทีหนึ่ง ดวงตาของสตรีน้อยกับแม่ทัพหนุ่มได้สบสายตากันด้วยความบังเอิญ แต่ก็ไม่มีผู้ใดแสดงปฏิกิริยาอื่นใดออกมา นอกจากความรู้สึกติดใจกับความหมายของแววตาที่จ้องมาของกันและกัน
พวกนักเลงสังเกตเห็นว่าสตรีน้อยละสายตาจากพวกตนหันไปบอกให้เด็ก ๆ สองคนซึ่งยืนกอดกันทางด้านหลังของนาง ให้รีบหลบออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น
พวกเขาจึงฉวยโอกาสนั้น แอบลอบทำร้ายนางทีเผลอทันที
หลงอี้หลิงเห็นช่วงจังหวะนั้นเข้าพอดี และเขาก็ไม่อาจจะเมินเฉยต่อเหตุการณ์ตรงหน้าได้อีกต่อไป
แม่ทัพหนุ่มจึงได้เหวี่ยงพัดของเขาในมือ ซัดไปหาพวกนักเลงอันธพาลตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขากำลังเงื้ออาวุธและไม้หน้าสาม พร้อมจะฟาดลงใส่ทางด้านหลังของสาวน้อยคู่กรณี
พัดสีขาวที่ถูกเหวี่ยงออกไป ได้สกัดกั้นการจู่โจมของพวกนักเลงเอาไว้ได้ทันท่วงที และร่อนวนกลับมาหาเจ้าของดังเดิมราวกับมีแม่เหล็กดึงดูด
เคร้ง!
เสียงของไม้หน้าสามและอาวุธในมือของพวกนักเลงได้หลุดออกจากมือและหล่นลงบนพื้น
สตรีน้อยจึงรู้ตัวว่าถูกพวกนักเลงลอบเล่นงานทีเผลอจากทางด้านหลัง แต่โชคดีมีคนยื่นมือเข้าช่วยตนไว้ได้ทัน
นางจึงฉวยจังหวะนั้น ล้วงมือเข้าไปในถุงผ้าที่ผูกห้อยอยู่ตรงช่วงเอวของนาง และปาผงสีฟ้าบางอย่างใส่หน้าพวกนักเลงทันที
เมื่อพวกนักเลงถูกผงสีฟ้าปาใส่หน้า พวกเขาก็โวยวายร้องลั่นไปทั่วตลาดและดูเหมือนว่าการมองเห็นและการเคลื่อนไหวของพวกเขาจะเริ่มมีปัญหาเสียแล้ว ปากก็พากันตะโกนต่อว่าอาฆาตมาดร้ายสตรีน้อยคู่กรณีไม่หยุดหย่อน
ส่วนพวกชาวบ้านที่พากันมุงดูเหตุการณ์อยู่ก่อนหน้านี้ก็แตกตื่นวิ่งกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง
สตรีน้อยอาศัยชุลมุนนั้น วิ่งไปจับแขนของบุรุษรูปงามด้านข้างผู้ที่นางมั่นใจว่าเขาคือคนที่ยื่นมือช่วยเหลือตนก่อนหน้านี้ คว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนช่วงล่างของเขาและพาเขาวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งคู่ได้วิ่งหนีกันมาถึงตรอกเล็ก ๆ ซึ่งดูเปลี่ยวไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน
สตรีน้อยจึงได้ปล่อยมือของนางออกจากมือของบุรุษรูปงามผู้แปลกหน้าทันที
โดยที่แม่ทัพหนุ่มยังคงยืนทำสีหน้ามึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นและแปลกใจว่าตนเผลอวิ่งตามนางมาตั้งแต่เมื่อใด
ไม่นานเข่อลั่วก็วิ่งตามหลังคนทั้งคู่มาจนทัน
แต่ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะได้มีโอกาสกล่าวถามสิ่งใด สตรีน้อยก็กล่าวขอบคุณเขาขึ้นก่อน และชิ่งขอตัวลาไปจากตรงนั้นอย่างเร่งรีบ ทิ้งความงุนงงสงสัยและคำถามมากมายไว้ให้กับบุรุษแปลกหน้าทั้งสองคน
"ไปกันเถอะ พวกเรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จก่อนที่พวกท่านย่าจะเดินทางเข้าเมือง"
แม่ทัพหนุ่มกล่าวขึ้น แม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูราบเรียบแต่แฝงไว้ซึ่งอารมณ์หงุดหงิดขุ่นเคืองใจเล็กน้อย เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินปลีกตัวออกไปจากตรงนั้น
เข่อลั่วเดินตามหลังไปติด ๆ โดยที่ไม่ถามสิ่งใดต่อ
....
เซียงไค 盛開
การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก ส่งกําลังใจให้กันด้วยนะ!
มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟัง