ต้นเดือนมีนาคม
เบนกลับมานอนพักที่บ้านหลังจากอาการดีขึ้น พัฒน์มาเยี่ยมเบน พัฒน์เดินเข้าในห้องที่เบนอยู่ เห็นเบนตัวห่อไปด้วยผ้าก็อตสีขาว ใบหน้าบวมรอยช้ำ รอยแผลกัดซึมติดหนึบกับผ้าสำลีรอบตัว
ทว่าสิ่งที่ปลุกเบนเป็นคำพูดของพัฒน์ "พี่เป็นไงบ้าง" สายตาเขามองไปทางอื่นหลังจากเห็นสภาพเบน
เบนพึ่งเห็นหัวโล้นของพัฒน์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตัดผมออก "ก็อย่างที่เห็น โคตรเท่ นายบวชมาเหรอ"
พัฒน์กำลังดูข้าวของต่าง ๆ ในบ้านเบนความเป็นอยู่การใช้ชีวิต เขาไม่ได้สนใจการตอบคำถามเบนเสียด้วยซ้ำ
"ผมไปหาพี่ที่โรงพยาบาลมา ตอนนั้นพี่หลับอยู่"
"รู้แล้ว โจบอกว่านายอยากรู้ว่าเสี่ยเกาหลีนั้นอยู่ไหนแถมท่าทางดูไม่ปกติ แต่นายยังดูปกติ นายคงไม่ได้ไป"
"เปล่า ผมไปหาเขามาแล้ว" พัฒน์ตอบ
"นายล้อฉันเล่นปะเนี่ย นายไม่ได้ไปเจอมาเฟียนั้นจริง ๆ ใช่มั้ย" เบนถามอย่างไม่เชื่อหู พัฒน์โยนเงินส่วนแบ่งให้
เบนเปิดเงินในซองหยิบมาดูเงินพัฒน์ยืนอธิบายเรื่องเงิน "ในนั้นมันประมาณ สิบล้าน พี่เอาไปเหอะ พี่ควรได้"
เขาชูเงิน "นายได้เงินพวกนี้มาจากไอ้เกาหลีนั้นน่ะนะ" เบนพูดด้วยน้ำเสียงแกมประชด
"ใช่" พัฒน์ตอบอย่างมั่นใจ
"ก็คือเกาหลีนั้นเอาเงินนี่ให้นายใช่มั้ย"
"ใช่ เราทำงานร่วมกันแล้ว"
เบนตกใจกับถาม "นายจะทำงานกับมันเหรอ ความฉิบหายที่เกิดขึ้นเพราะมีคนแก่ที่ไม่รู้จักพอ คนพวกนี้ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรอยู่ บางทีความบันเทิงอย่างเดียวคือการเห็นคนจนตายมากขึ้น"
พัฒน์นิ่งตอบ "ใช่แล้ว"
เรื่องราวของคนที่ 46
โทดากะ เคจิ เป็นซีอีโอบริษัทเอกชนอุตสาหกรรม เครื่องจักรใหญ่อยู่เมืองไทยกับภรรยาญี่ปุ่นมา 24 ปี ตั้งแต่ได้เป็นผู้บริหารร่วมในญี่ปุ่นก็ย้ายมาดูแลสาขาที่ไทย โทดากะเป็นคนยิ้มแย้ม ทำงานหนักกินเบียร์กับเพื่อนญี่ปุ่นบ่อยๆ ปีนี้เขาอายุ 62 ปี เขาว่าจะเกษียณปีหน้าและกลับไปอยู่ญี่ปุ่นกับภรรยา ลูกคนโตทำงานบริษัทเครื่องยนต์เหมือนกับพ่อในสาขาฮอกไกโดตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น และลูกสาวคนเล็กเป็นนักเขียนภาพประกอบนิตยสารหนึ่งในโตเกียว
โทดากะเป็นผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจ โทดากะเคยหัวใจวายล้มที่บ้าน ต้องทำบอลลูนหลอดเลือดดำใกล้หัวใจไปเมื่อสามปีที่แล้ว โทดากะเป็นโรคไตตั้งแต่อายุ 35 ต้องฟอกไต อาทิตย์ล่ะสองครั้ง ครั้งล่ะ 3,000 บาท ตกสัปดาห์ล่ะ 6,000 บาท ตอนนี้โทดากะล้างไตมาแล้ว 27 ปี 1 ปีมี 52 สัปดาห์ เท่ากับว่า โทดากะล้างไตไปแล้ว 2,808 ครั้ง คูณกับ 6,000 บาท ตอนนี้โทดากะจ่ายค่าล้างไตไปจำนวนทั้งหมด 16,848,000 บาท สำหรับโทดากะ ไตเทียมมูลค่า 5,000,000 บาทถือว่าคุ้มค่ากับการได้รับเวลาใช้ชีวิตกับภรรยาได้บ้างในทุกสัปดาห์ ตอนนี้ภรรยาเอาแมวมาเลี้ยงในบ้าน ตอนนี้ความสุขของเขาไม่ใช่เงินแล้ว แต่เป็นการเห็นรอยยิ้มของภรรยาและได้เล่นกับแมว เขามีจุดมุ่งหมายที่จะกลับญี่ปุ่นปีหน้า เพื่อได้ไปเดินเล่นกับลูกคนเล็กช่วงฤดูใบไม้ผลิในสวนอุเอโนะเมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่น อีกครั้งก่อนจะบินกลับญี่ปุ่นปีหน้า
พัฒน์โยนกระเป๋าพลาสติกให้ เบนใช้สองมือรับพร้อมความตกใจมาพร้อมคำถาม "อะไรวะ"
"อะไรวะ อะไร ของที่ต้องเอาไปส่งไง"
เบนมองชื่อที่อยู่บนกล่อง รายชื่อลำดับที่ 46 ผู้รับบริจาค "แล้วไมล์อะ" เบนถาม
พัฒน์หยิบกุญแจรถยนต์เบนที่วางอยู่ รีบเดินออกจากบ้าน เบนรีบเดินตามมา "ไปเรียน" พัฒน์ตอบ
เบนรีบแต่งตัวออกมาจากบ้าน รีบหยิบของกินเดินถือออกมานอกบ้าน เบนเห็นพัฒน์กำลังนั่งหลังพวงมาลัยพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์รถมัสแตงสีแดง พัฒน์หยิบเอกสารให้เบนอ่าน เครื่องยนต์เริ่มทำงานพวกเขาต้องเดินมุ่งขึ้นไปทางเหนือ
"นายทำอะไรอะ ขับรถเป็นเหรอ?" ใบหน้าสงสัยเบนถาม
พัฒน์พยักหน้า มองไปข้างหน้ากำลังจะขับออก
"แล้วใบขับขี่หล่ะ?"
พัฒน์ตอบด้วยการส่ายหน้า
เบนใช่มือปัด ไล่ไปนั่งข้าง ๆ "ฉันขับเอง" เบนเอาเอกสารปาไปหลังรถ เบนพยายามประคองตัวเองรีบขึ้นรถ ทั้งสองคนอยู่ในกล่องเหล็กเคลื่อนที่ เบนเป็นคนควบคุมพวงมาลัย "นายไปตกลงกับลุงนั่นเนี่ยนะ เห็นมั้ย? ว่ามันทำอะไรกับฉันบ้าง? ฟัคบูมเมอร์"
พัฒน์ไม่พอใจที่คุยเรื่องนี้ต่อ สีหน้าเบื่อหันไปนอกรถ เขาพูดพลางถอนหายใจ พัฒน์ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว
"ผมตกลงไปแล้ว"
เบนฟึดฟัดโวยวาย เอานิ้วชี้หน้าพัฒน์หน้าบึ้งตึงคิ้วขมวดกำลังตะคอกพัฒน์ "ไม่นายไม่เข้าใจ"
พัฒน์มองเบนด้วยหางตา เขาค่อย ๆ หันหน้าออกจากกระจก
"ดูเงินที่พี่ได้ดิ ขายได้ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 40 ล้านบาททุกสัปดาห์ ใช่แล้ว" พัฒน์มั่นใจ "เราทำสัปดาห์ละสี่ชิ้น เราจะได้คนละสิบล้านทุกสัปดาห์"
"นายไม่คุยกับฉัน แต่กลับไปตกลงกับไอ้แก่โรคจิตนั่น ไอ้เชี่ยที่มันกระทืบฉัน ถ้าเราจะทำอวัยวะส่งให้มันสัปดาห์ละสี่ชิ้นเนี่ยนะ!! นายรู้มั้ย ว่าหมึกชีวภาพ มันจะหมดแล้วอะ" นิ้วมือกำพวงมาลัยแน่น ความฉุนเฉียวแสดงออกมาผ่านร่างกาย
"พวกเราต้องอัปเกรดแลปกับใช้เวลากับมันมากขึ้น"
"นายไม่ต้องมาคุยกับฉันเรื่องเวลา หมึกชีวภาพอีก สเต็มเซลล์ (stemcell) นายจะเอามาจากไหน? ขนส่งยังไง? นายคิดว่าจะเอาดีเอ็นเอ (dna) ซุกใต้หมอนแล้วตื่นมาจะเป็นอวัยวะให้นายเหรอ มันไม่เหมือนนางฟ้าฟันน้ำนมนะเว้ย ของที่ได้มาคราวที่แล้ว มันหมดแล้วฉันไปเช็คมาทุกโรงงานแล้วเคมีภัณฑ์อันนี้มีอีกทีก็กรุงเทพเลย"
"กรุงเทพ" พัฒน์หันหน้ามาพร้อมพูดทวนคำตอบ
เบนตอบ "ใช่ ของพวกนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เราต้องหาสินค้าขนส่งข้ามประเทศ นายเห็นมั้ยว่าต้นเหตุมันอยู่ที่วิธีการหาของวัสดุชีวภาพ"
"ก็ได้" พัฒน์มองไปยังทางข้างหน้า มือจับคาดเข็มขัดนิรภัย
เบนเปลี่ยนเกียร์ เหยียบคันเร่ง "นายจะรู้ได้ไงอะ ก็นายไม่ได้ถามฉัน" ความหงุดหงิดเป็นบรรยากาศในรถยนต์ก่อนที่ทั้งสองคนจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อ สิบห้านาทีความเงียบบนรถ พัฒน์พึมพำเพลงอยู่ในลำคอจนกระทั่งเบนกดเปิดเพลงเพลย์ลิสต์บางเพลงช่วยให้สีฟ้าหม่น ๆ ข้างนอกไม่น่าเบื่อ
พัฒน์มองไปท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง สีฟ้าที่เงียบ แม้แต่ตัวโน้ตสีขาวข้างบนก็หายไป พัฒน์เลือดกำเดาไหล พัฒน์เอื้อมตัวหยิบทิชชูจากเบาะหลังมาเช็ด เบนสังเกตเรื่องอาการพวกนี้อยู่ด้วย
"เป็นอะไรของนาย" เขาเห็นจุดด่างที่แขนพัฒน์ตอนเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู พัฒน์นั่งมองไปทางข้างหน้าและเอียงตัวเบื่อที่จะฟังเบนพูด พัฒน์เงียบไปสักพัก สายตายังหาตัวโน้ตสีขาวนอกหน้าต่างนั้น พัฒน์ตอบด้วยความเบื่อ "มะเร็ง" ผลจากการซุกซ่อนความจริง สร้างช่องว่างในตัวเองมากกว่าที่คิด ในที่สุดเขาก็พูดออกไป เขารู้ว่าเบนอาจจะเดาได้อยู่ดีในอีกไม่นาน เบนได้ยินพัฒน์แล้วหันหน้ามามองใบหน้าที่พูดสิ่งนั้น เบนเอียงคอคล้ายกับประเมินว่าพัฒน์พูดจริงหรือโกหก
เอี๊ยดดดด!!! เบนเหยียบเบรกรถกะทันหัน เสียงแตรรถยนต์ จำนวนมากมาจากด้านหลังตามมา พัฒน์หัวโขกหน้าเบาะ เบนหันหน้ามาทางพัฒน์ "คิดจะบอกฉันเมื่อไหร่"
"ผมพึ่งบอกไปไง" พัฒน์ตอบ
เสียงแตรไล่หลังยังคงดำเนินอยู่ "ระยะไหน" เบนถาม
"สองเอ" พัฒน์ตอบ
"เหมือนปู่ฉันเลย เขาแข็งแรง แล้ววันหนึ่งล้ม ไปโรงพยาบาล อยู่โรงพยาบาลสองเดือน ไป ๆ มาที่บ้าน โรงพยาบาลโคตรห่วย" เริ่มมีเสียงตะโกนจากด้านหลังรถ คนโวยวายที่ไม่ยอมขยับรถ
เบนตะโกนออกไปนอกรถ "คนป่วยอยู่ในรถ" หลังจากนั้นเสียงแตรก็เงียบหลังจากนั้น
รถแต่ละคันก็ขับนำในทางของตัวเอง
"ใช่ ผมรู้" พัฒน์ตอบ
เบนถาม "แล้วจะทำไงต่อ?" เบนสตาร์ดรถ ล้อกำลังหมุนพาทั้งคู่ไปข้างหน้าเวลากำลังถอยหลัง
"ไม่รู้ ผมเป็นแค่คนธรรมดา ผมทำเพื่อครอบครัว ตอนแม่ตื่นจะได้มีเงินใช้" พัฒน์มองนาฬิกาข้อมือ "มีชีวิตรออยู่นะเว้ย พี่ขับเร็ว ๆ ดิวะ"
"มากกว่านี้ก็ผิดกฎหมายแล้ว"
พัฒน์หันมามองหน้าเบนเบือนหน้าหนี "เหอะ พี่เนี่ยนะพูดเรื่องกฎหมาย"
สถานที่ข้างนอกต่างเป็นรูปภาพแนวยาว เหมือนโดนลากออกไปทางด้านหลังด้วยความเร็ว และการเคลื่อนที่
สองชั่วโมงต่อมา พัฒน์ดูนาฬิกาเขากำลังคำนวณระยะทาง เวลา และความตายนั้นคือสถานการณ์ของเรา
พัฒน์ตะโกน "จอดรถ!!"
เบนตกใจ เหยียบเบรกทันที เอี๊ยดดดด!!!
สายตาเขามองตามพัฒน์ที่เปิดประตูรถแล้วออกไปข้างนอก
พัฒน์เดินออกมาหน้ารถ เปิดกระโปรงหน้ารถ
ครู่เดียวพัฒน์ปิดกระโปรงรถ เข้ามานั่งที่เดิม
พัฒน์ตะโกนออกคำสั่ง "ขับไป"
เบนเหยียบคันเร่ง รถพุ่งไปข้างหน้า เร็วกว่าเดิม กระชากตัวออกไปทั้งคู่หลังติดเบาะ
พัฒน์กำราวมือจับเหนือประตูในรถแน่น
เบน "นายทำอะไรอะ"
พัฒน์มองข้างหน้า ติดเข็มขัดนิรภัย "เครื่องยนต์คือ ความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอากาศ" เขาตอบ
เบนไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรกับรถยนต์ เหยียบคันเร่ง ความเร่งเร็วขึ้น ถึงแม้เบนขับรถยนต์เร็วได้แต่ยังชอบขับช้าอยู่ พัฒน์ที่เห็นเบนพอใจกับความช้าของรถยนต์แบบเดิมอีกครั้ง
เขาโมโหมากขึ้น พัฒน์เอียงตัวมาทางที่ว่างตรงกลางระหว่างคนขับยกขาขวากระทืบซ้ำลงไปที่คันเร่ง ความเร่งกระชากรถไปข้างหน้าไม่สัมพันธ์กับทิศทางของพวงมาลัยและสมาธิของคนควบคุม
รถยนต์กำลังเสียหลัก พัฒน์กำลังกระทืบคันเร่ง
เบนตกใจถาม "นายเป็นบ้าอะไรของนายวะ" พยายามเอามือผลักพัฒน์ให้หยุด พัฒน์พูดพร้อมจังหวะกระทืบคันเร่ง "ผม!! ไม่!! มี!! เวลา!!" ในทุกพยางค์
"นายยังมีเวลา" เบนบอก
รถยนต์เหวี่ยงพร้อมเบรก หมุนเป็นลูกข่างรถบรรทุกกำลังพุ่งมา คนขับรถบรรทุกเห็นหักหลบลงไหล่ทาง ชนรถคันอื่นเสียงแตรกับเสียงเบรกบรรเลงเป็นทำนองทั่วบนท้องถนน
รถยนต์หยุดหมุน ทุกคนได้สติไม่มีใครบาดเจ็บ
พัฒน์หยิบเงินจากกระเป๋าตัวเองโยนเงินออกมาจากรถ ปิดกระจก บอกเบน "รีบขับไปดิวะ" เบนบิดกุญแจรถยนต์ สตาร์ทรถอีกครั้ง พัฒน์ไม่ได้รู้สึกผิดกับที่เขาทำไปเลย พัฒน์ดูหงุดหงิดเพิ่มขึ้นซะด้วยซ้ำ
"เป็นอะไรของนายวะ นายรู้ป่ะ ที่นายทำอยู่มันอันตราย" เบนรีบเหยียบคันเร่งออกจากตรงนั้น พวกเขาพึ่งผ่านชุมพรกำลังเข้าสู่จังหวัดประจบคีรีขันธ์ พัฒน์คิดว่าเขาควรถึงเพชรบุรีแล้ว พัฒน์ไม่พอใจที่รถยนต์เร็วได้เพียงเท่านี้
สามสิบนาทีต่อมา เบนแวะพักจุดพักชมวิวที่มีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด
พัฒน์ดูนาฬิกา เบนแวะลงไปซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้าน พัฒน์เห็นกุญแจที่อยู่ในรถยนต์ เบนอยู่ในร้านกำลังรออาหาร พัฒน์สังเกตเห็นเบนกำลังเดินเข้าไปห้องน้ำสีแดงหลังร้านอาหาร
พัฒน์รีบลงจากรถ เอาขวานดับเพลิงสอดช่องว่างใต้ประตูพร้อมกับเตะเท้าดันขวานนั้น ขณะเดียวกันที่เบนกำลังล้างมือดูกระจก รู้สึกว่ามีเสียงแปลก ๆ จากข้างนอก เขาเดาได้ว่าพัฒน์เริ่มทำบางอย่าง เบนจับประตูแล้วบิดประตูไม่ออกเบนรู้สึกได้ว่าติดอะไรบางอย่างที่ด้านนอกประตู ขณะเดียวกันพัฒน์กระโดดขึ้นรถยนต์ สตาร์ทเครื่อง เครื่องยนต์กู่ร้องส่งเสียงไอหลายครั้งกว่าจะสามารถสตาร์ทขึ้นมาได้เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น พร้อมกับเบนที่ตะโกน "พัฒน์เปิดประตู เปิดประตู" เบนเอาไหล่ชนกระแทก
เขารู้ว่าเสียงเครื่องยนต์ข้างนอกนั้น คือรถของเขา พัฒน์กำลังขับรถยนต์เขาออกไป เขาพุ่งทั้งตัวจนบานพับประตูหลุด เบนออกมาจากห้องน้ำได้ เห็นพัฒน์ขับรถอยู่กำลังจะออกสู่ถนนเส้นหลัก พัฒน์ได้ยินเสียงฝีเท้าของเบนรัวตามออกมาจากที่จอดรถหน้าร้าน เบนวิ่งตามกระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ ตรงหน้าพัฒน์มีควันดำเริ่มออกจากหน้ากระโปรงรถ ความเร่งลดลง พัฒน์เหยียบย้ำคันเร่ง ซ้ำ ๆ เครื่องยนต์ร้อนเกินไป การทำงานของมันดับลง พัฒน์ทำหน้าผิดหวังที่ต่อสิ่งที่คาดหวังไปต่ออีกไม่ได้แล้ว
เบนวิ่งตามมาทันรถ เขาเคาะกระจก "ความสัมพันธ์ระหว่างความดัน อากาศใช่มั้ย" เบนแซวเรื่องสิ่งที่พัฒน์ทำก็มีทั้งผลกระทบด้านดีและมีข้อเสียพัฒน์นิ่งตอบ พัฒน์ลดกระจกลงคืนพวงกุญแจรถ หลังจากนั้นรถคันนั้นที่ขับไม่ได้ เบนโทรตามประกัน หารถยนต์บริการเช่าแถวนั้น ตอนนี้พัฒน์เลือกจะใช้วิธีของเบน เวลาของโทดากะเหลืออีกไม่มาก
ฟ้ามืดข้างนอกฝนตก ทั้งสองอยู่ในรถยนต์ที่กำลังมุ่งหน้าไปที่เป้าหมายเดียว เบนสังเกตว่าพัฒน์ดูเหนื่อย "นายได้นอน บ้างมั้ย?"
พัฒน์ตอบ "…ผมจำไม่ได้" ช่วงนี้เขาคิดหนักขึ้น ทุกครั้งที่ตื่นมันตื่นเต้นเกินไป การได้ตื่นมาพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่มันบั่นทอนแต่ละส่วนของการเป็นมนุษย์ ใช่สำหรับเขาบางทีการตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองยังอยู่มันน่าหนักใจกว่าเดิม การมีชีวิตอยู่ของตัวเองเป็นความน่าหนักใจที่เจ็บปวดและพัฒน์พบทุกวัน การพบว่าตัวเองมีขอบเขตของการเป็นมนุษย์ในทุกทุกวัน แต่ปัญหามีมากขึ้น มากกว่าที่ตัวเขาคนเดียวจะแก้ได้ มันมากกว่าความรู้สึกผิดแต่เป็นความสับสนของการที่ไม่สามารถนิยามอารมณ์และการแสดงอารมณ์ออกมาได้ พัฒน์ติดอยู่กับการกดความรู้สึกของตนเองและการคิดอยู่ในสภาวะการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา
เบนเลือกที่จะหาร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน เข้าไปซื้อขนม และซื้อขวดน้ำ และแอบเอายาแก้แพ้ใส่ในขวดน้ำนั้น พัฒน์นั่งรออยู่ในรถยนต์ยังเหม่อล้าเอาแต่มองน้ำตาจากท้องฟ้าที่มาสัมผัสกับกระจกรถ กระหน่ำร่วงลงมาเหมือนไม่พร้อมรับการสูญเสีย
เบนเอาของที่ซื้อมาไว้บนรถเต็มท่วมถุงพลาสติก "ซื้ออะไรเยอะแยะ?" พัฒน์ทักถาม
เบนเปิดขวดน้ำและยื่นให้พัฒน์ พัฒน์รับขวดน้ำนั้นไว้ เบนกินของตัวเองเอาแต่สังเกตน้ำพัฒน์กิน เขาคาดหวังว่ามันจะได้ผล อย่างน้อยก็ช่วยให้พัฒน์หลับ เขาโล่งใจหลังเห็นพัฒน์กินกาแฟไปแล้ว พัฒน์ดูสบายขึ้น รถยนต์แล่นอีกครั้ง
"ผมไม่รู้เลยว่าจะเริ่มตรงไหน" พัฒน์ยังคงมองแต่ริมทาง มองหาตัวโน๊ตสะท้อนแสงบนพื้นที่สีดำข้างนอก
"นายแค่เริ่มเลย นายแค่เริ่มเล่าให้ฉันฟัง"
"ผมแค่ทำตามแผนที่สมบูรณ์แบบของแม่ แล้ววันหนึ่ง บู้มม!!" พัฒน์นิ่งสายตามองข้างทาง "เด็กที่สมบูรณ์แบบ กลายเป็นเด็กน่าสงสาร ผมเกลียดชื่อนั้น"
เบนไม่แน่ใจในสิ่งที่พัฒน์กำลังจะสื่อ "นายกำลังจะพูดเรื่องอะไร"
"ผมเป็นห่วงเรื่องแม่ที่ต้องอยู่ในประเทศแบบนี้ ผมไม่อยากมีปัญหากับระบบ ใครอยากจะติดคุกกัน"
"นายกำลังจะบอกว่าอะไรนะ?"
"ผมโทษการศึกษา ผมอาจจะเป็นจุดล้มเหลวทางการศึกษาโรงเรียนไม่สอนเรื่องการเงิน มีแต่ให้คนจ่าย แล้วก็สอนให้ความต้องการตัวเองต่ำ นั้นมันเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำกันเองจริง ๆ เหรอ เราสามารถทำเรื่องนี้ถูกกฎหมายได้ พี่ก็รู้ เราสามารถช่วยชีวิตได้อีกกี่คน ไม่ใช่แค่โทดากะ แต่กฎหมายที่ไม่ได้มาจากพวกเรา พี่ทำใจยอมรับได้ยังไงถ้ายังรู้ว่ามีคนตายอยู่ทุกวันแล้วไม่มีใครสนใจ" ใบหน้าเลื่อนลอยไร้สติ เอ่ย "บางที ช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของผมอาจผ่านไปแล้วก็ได้" พัฒน์โทษตัวเองกับเรื่องทุกอย่าง เขาคิดจะรับผิดชอบทุกความผิดที่เกิดขึ้นแล้วโทษตัวเอง เขาแค่อยากดีขึ้นบนโลกที่วุ่นวาย ท่ามกลางความล้มตาย เขาจะเป็นคนแบบไหน
เบนมองหน้าพัฒน์ดูใกล้จะหลับ "นายหาความสมบูรณ์ มันตรงข้ามกับความเข้ากัน ตอนเด็ก ๆ ปู่เคยเล่าเรื่องถั่วเขียวที่ทวดเอามาให้ปลูก ตอนเล่าก็ชี้ให้เห็นต้นไม้หลังบ้าน แล้วก็บอกว่าลูกก็ต้องปลูกของตัวเองนะ ความลับระหว่างพ่อกับลูก ปู่ก็ปลูกต้นไม้ของตัวเองแล้วเอาบางเมล็ดให้กับพ่อ ปรากฏว่าต้นที่ทวดปลูกกับต้นที่ปู่ปลูกเป็นคนสายพันธุ์กัน พอมารุ่นพ่อ พ่อก็ไม่ได้เก็บไว้ ทุกคนต่างปลูกต้นไม้ของตัวเองแล้วปู่ก็เสียพ่อก็เสียไปมันแทบไม่มีอะไรสืบทอดมาที่ฉันหรอก มันเหมือนความเชื่อของแต่ละคน ถึงแม้มันจะหายไปแล้ว เราอาจจะเจอต้นไม้ที่เหมาะสมกับเรา ปลูกในที่ที่เหมาะสม ภูมิอากาศ ดินและลม มันไม่เกี่ยวกับเราเกิดมาแบบไหน เกี่ยวกับเราเลือกจะอยากเติบโตยังไง ใช่บางทีปู่อาจจะอยากสอนแบบนั้น" เบนขำ กับเรื่องเล่าตลก ๆ นี่ "แล้วก็เรื่องปู่ เขาไม่ชอบไทย ขโมยขึ้นบ้าน สองครั้งแจ้งตำรวจก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เขาอยากกลับประเทศแต่ที่นั่นก็ไม่ได้มีใครอยู่แล้ว ย่าไม่อยู่จิตใจทุกคนก็แย่หมด เขาพูดว่าพอไม่มีย่าอยู่ไม่มีที่ไหนบนโลกนี้ดีเลย เราติดอยู่ในช่วงเวลาของอดีต มากกว่าปัจจุบัน ใช่มั้ยพัฒน์?"
พัฒน์หลับไปแล้ว เบนขับรถมาใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว
เบนรีบดูนาฬิกาในข้อมือพัฒน์ รถคนสีแดงจอดบนถนนหน้าอาคารโรงพยาบาล เบนลงจากรถรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ขณะเดียวกันพัฒน์นอนอยู่ในรถ เบนเดินตรงไปติดต่อกับที่เคาน์เตอร์พยาบาล "ผมมาส่งอวัยวะบริจาค ผู้รับอวัยวะโทดากะ เคจิครับ"
พยาบาลตรวจสอบรายชื่อผู้ป่วยหน้าคอมพิวเตอร์ก่อนแจ้งว่า "ผู้ป่วยมีอาการไตวายไปแล้วค่ะ เสียชีวิตไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว"
"อะไรนะ?" พร้อมกับคิ้วขมวดของเบน
หมอพิศาลที่ดูแลเคสของโทดากะ ยืนดูประวัติผู้ป่วยอยู่ตรงบริเวณที่เบนยืนอยู่หันหน้ามาเห็นกระเป๋าอวัยวะ เข้ามาบอกเบน "เสียใจด้วยนะครับ เขาเสียชีวิตแล้ว"
เบนกำลังหงุดหงิด "ไม่ได้ ได้ยังไงกัน" หันไปเห็นครอบครัว โทดากะ เบนวางกระเป๋าทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์นั้น
ความคิดในหัวเบนหมุนเคว้ง การรับรู้ความตายตรงหน้ามันไม่น่าตื่นเต้นตรงไหนเลย
พยาบาลถือสายโทรศัพท์ คุยกับผู้ป่วยด้านในพอหันกลับมาถามเบน "เป็นญาติผู้ป่วยหรือเปล่าคะ?" เธอถามกับความว่างเปล่า เบนเดินกลับออกมาจากโรงพยาบาลมาที่รถ
ในรถยนต์สีแดงพัฒน์ที่สะลึมสะลือ ตาปรืออยู่พวกเขาสองอาจจะเป็นยมทูตขี่ม้าสีแดงมาทำให้เกิดความตายเบนเข้ามาในรถยนต์บอกพัฒน์ "ส่งของแล้ว"
"เป็นไง" พัฒน์ถามด้วยสติกึ่งหลับกึ่งตื่น
"เขาตายแล้ว"
"ผมเสียใจด้วย" พัฒน์พูดเบา ๆ ในลำคอ
"พูดว่าอะไรนะ"
"ผมเสียใจ… เรื่องคริสด้วย" กลายเป็นความลำบากใจที่ยอมรับเรื่องนั้น เบนยังไม่รู้ว่านั่นเป็นปืนที่พัฒน์เอามาจากชาติ เบนได้ยินเขาแล้ว ตาของพัฒน์ค่อย ๆ หรี่ลง หรี่ลงทุกที
"ใช่ นั้นฉันก็เสียใจ ขอบคุณมาก"
"ผมน่าจะ…" พัฒน์งึมงำกับตัวเอง
เบนเอียงคอจ้องรอคำพูดต่อจากใบหน้าไร้สติที่หันมองนอกหน้าต่าง พัฒน์หลับตาลงและหลับไป ในความคิดเบน ถึงแม้จะอยากปลุกพัฒน์เพื่อฟังสิ่งที่จะพูด แต่เรื่องราวกับสิ่งที่พัฒน์เจอมันมากพอที่จะไม่ต้องอธิบาย เบนเลือกที่จะให้พัฒน์หลับพักผ่อน ทั้งสองขับรถกลับไปนอน
ตอนห้าทุ่ม วันถัดมาหน้าคอนเทนเนอร์ พัฒน์กำลังเก็บของและปิดแลป ส่วนโชก็กลับไปแล้ว เบนกำลังเก็บของขึ้นรถ พัฒน์ช่วยอีกแรง
"ฉันภูมิใจในตัวนายนะ" เบนหันมาบอก
"ใช่ผมรู้ ผมขอโทษที่พี่ต้องรู้จักผม ผมคือเครื่องรางนำโชคร้าย ผมไม่ได้มีถั่วเขียวนำโชคแบบปู่พี่" พัฒน์พูดพร้อมกับขำและยิ้ม
เบนขำกับโบกมือลาพัฒน์ ก่อนที่ตัวเองจะเข้าในตัวรถยนต์ "นายคิดเยอะนะ ลองจดโน๊ตดูพัฒน์ มันช่วยนะ" เบนขับรถกลับ พัฒน์ขึ้นแท็กซี่กลับที่พัก
คืนนี้แสงดาวโบกมือล่ำลาทั้งสองคน