หลังจากเหตุการณ์ระเบิดที่เรือ พัฒน์ยืนตัวตื่น ใจสั่นเต้นตุบตับ ตุบตับ หัวใจแทบจะหลุดออกมาทรวงอก ความลุกลี้ลุกลน สับสน สิ่งที่เขาทำได้ตอนอยู่ที่ห้องของตัวเองมีเพียงแค่เลือกเปิดเพลงดัง ๆ และเดินตรงเปิดประตูเข้าห้องน้ำด้วยขาที่ละเหี่ย ย่ำพื้นกระเบื้อง ยืนมือไปที่อ่างเซรามิกสีขาว เปิดก๊อกน้ำล้างมือที่เปื้อนเลือดทั้งหมดทั้งปลายเล็บทั้งเลือดที่แห้งเกาะอยู่ที่ผิวหนัง การนำส่วนของร่างกายตัวเองไปล้างด้วยน้ำทำเพื่อจิตใจเลือกกลบภาพต่าง ๆ ที่ถูกบันทึกเอาไว้ทั้งแววตาโล่งไร้จุดหมายของชาติ เสียงปืนในหัว กับความเจ็บปวดของรอยแผลที่มือที่เกิดขึ้นที่ใบหูซ้ายระหว่างที่ล้างมือ พัฒน์มักจะชอบนับตัวเลขไปด้วยในการทบทวนความทรงจำ การนับเลขช่วยให้ตัวเขาเองใจเย็นได้ เขาคิดว่าถ้าตัวพัฒน์นับเลขได้ เขาก็จะผ่านเรื่องต่าง ๆ ไปได้ง่ายเหมือนการนับตัวเลข น้ำไหลผ่านมือจนผิวหนังที่มือเปื่อยยุ่ยถึงแม้อวัยวะสุดปลายแขนจะสะอาดแล้ว
สำหรับพัฒน์ความสะอาดเป็นเรื่องนามธรรมอยู่ดี ตัวเขาก็ด้วยพัฒน์รู้สึกว่าตัวเองเป็นนามธรรม ต่อให้สามารถยืนยันตัวตนผ่านความเจ็บปวดที่เจอในอดีต รอยแผลที่หัว หูแหว่งหรือแผลภายในจิตใจในวัยเด็ก มันน่าเจ็บปวดและดึงเรี่ยวแรงเขาในปัจจุบัน ความเพลียและสนามโน้มถ่วงของความเจ็บปวดเพิ่มให้ความสามารถในการมองเห็นตัวเองในกระจก ความมืดเกาะกินเขาอยู่ฉุดร่างกายนั้นลงที่พื้นจนผล็อยหลับไป
พอแสงแรกปรากฏพัฒน์สะดุ้งตื่นมาในห้องน้ำนอนอยู่ที่พื้นกระเบื้องสีแดง เสียงนาฬิกาปลุกดังจากห้องนอน
ย้อนกลับไปหลังจากพนักงานดับเพลิง กับรถพยาบาล มาแล้วหลังจากพัฒน์ได้ขว้างปืนทิ้งไป ที่คอนกรีตยาวบนสะพานปลา
เบนที่สลบอยู่ตื่นขึ้นแล้วเห็นสภาพพัฒน์กับเรือที่อุ้มลูกบอลไฟขนาดใหญ่เหนือผิวน้ำ หน้าเบนดูตกใจและสงสัยกับเหตุการณ์ทั้งหมด เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาแค่กำลังเอาน้ำมันมาในเรือแล้วก็ตู้มมมม!! เบนสลบและพัฒน์ก็หยิบกางเกงนักเรียนที่เปื้อนเลือดกับกลิ่นไหม้ สอดขาเข้าไปทีละข้างของชิ้นผ้านั้น แล้วเดินไปที่รถพยาบาล เบนเดินตามพัฒน์มา ด้วยความระแวงถึงบาดแผลบนร่างกายตัวเอกมีรอยล้มและถลอกเล็กน้อยบนตัวเบน เขาก้าวไปพร้อมพัฒน์ด้วยความกังวลและสงสัยใคร่รู้ความอันตรายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เจ้าหน้าที่รถฉุกเฉินให้ผ้ามาคลุมห่มที่ตัวพัฒน์ เจ้าหน้าที่เริ่มทำแผลบริเวณเนื้อหูที่แหว่งไปของพัฒน์ กับรอยถากของกระสุนที่ศีรษะ เบนก็ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเหมือนกัน เบนมีแผลฟกช้ำจากการดีดของแรงระเบิดและ เขาอยู่ในภาวะช็อกจากเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงพัฒน์ก็ด้วย
ขณะที่พวกเราทำแผลอยู่หลังรถพยาบาล มีตำรวจสองนายเดินตรงเข้ามาทางพวกเราทั้งสองคน ตำรวจคนหนึ่งยืนข้างเบน และอีกคนยืนตรงหน้าของพัฒน์ เอ่ยปากถามพัฒน์เรื่องการระเบิดของเรือ
"เกิดระเบิดขึ้นได้ยังไง"
พัฒน์คิดครู่หนึ่งก่อนที่เรื่องแต่งทั้งหมดจะเข้ามาที่หัวเขา พรั่งพรูออกไปเป็นคำพูด "พอดีอาจารย์ผมให้มาศึกษาชีวิตชาวประมง พี่ชายผมเลยเช่าเหมาลำ" พัฒน์อธิบาย
"แล้วผมก็ทำอาหารให้น้องกิน" เบนตามน้ำไปกับเรื่องราวที่พัฒน์เริ่ม
"ช่วงนี้เราทะเลาะกันบ่อย ตอนเราทะเลาะกัน เขาทำอาหารอยู่พี่ชายผมทำอาหารแล้วเปิดแก็สไว้" พัฒน์ชี้ไปทางเบน "พอเราต่อยกันเสร็จ" พัฒน์ชี้แผลต่าง ๆ บนใบหน้าพยายามเล่าเรื่องต่อ ตำรวจหันไปทางเบน เบนพยายามเออออตาม ทำท่าต่อย ๆ วู้ว ๆ
"ผมเลยเป็นคนทำอาหารต่อ พอพี่ชายผมออกไปสูบบุหรี่ แล้วก็บู้มมมม! ทุกอย่างกระเด็นกระดอน มีดแฉลบหูผม" ทั้งสองชี้ไปที่แผลต่างบนร่างกายของตัวเอง
"ใช่ ตอนนั้นผมตกใจ แล้วกระเด็นออกมา" เบนช่วยเล่าเสริม
"เสื้อผมก็ไฟไหม้" พัฒน์อธิบายเพิ่มแสดงให้เห็นว่าเหตุผลที่เขาใส่แค่กางเกงเป็นเพราะว่าอะไร
"ผมสัญญาว่าเราจะไม่ต่อยกันอีกครับ" เบนพยายามช่วยพูดกลบเกลื่อน
ตำรวจไม่ติดอะไรและทำหน้าเบื่อกับคดีเรื่องราวประมาณนี้แล้วก็เดินไป พวกเราแตะมือกันเสียงดัง "เยสส!!" ตำรวจทั้งสองคนได้ยิน จึงหันหลังกลับมา ทั้งพัฒน์และเบนทำหน้าซีดมองหน้าตำรวจทั้งสองคน เบนยิ้มเจื่อน ๆ "พวกเราแค่สัญญาว่าจะไม่ตีกันนะครับ" เขาบอกกลับไป
เช้าวันถัดมา พัฒน์กลับไปที่โรงพยาบาล
หน้าโรงพยาบาลวันนี้มีแต่รถตำรวจเยอะแยะ โรงพยาบาลวุ่นวายเหมือนเดิม พัฒน์เข้าอาคารผู้ป่วย เข้ากล่องเหล็กถูกดึงด้วยระบบรอก ขึ้นลิฟต์มาอยู่ที่ชั้นหก
ความวุ่นวายที่ไม่เคยมีอยู่ในชั้นนี้ อยู่ที่ห้องของแม่พัฒน์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเยอะแยะเดินออกมาจากห้องนั้น ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจรถเข็นขนาดเล็กดันออกมาด้วยล้อหมุนขนาดเท่ากำปั้นอยู่หน้าห้อง มันกำลังเดินทางออกจากห้องผู้ป่วย 633 สิ่งที่ทำให้พัฒน์หน้าซีด กว่าการเห็นตำรวจจำนวนหยิบมือคือของที่อยู่บนรถเข็นที่กำลังผ่านข้างตัวพัฒน์ไป กระเป๋าเงินทั้งหมดอยู่บนนั้นออกมาจากห้องที่แม่เขาอยู่ นั้นคือเงินที่พัฒน์ซ้อนไว้ในฝ่า มันกำลังออกห่างไกลจากตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ พัฒน์ตะลึงและอกหักอย่างแรง ความประหลาดใจในครั้งนี้รู้สึกราวกับโดนชกเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว มันเป็นสถานการณ์ที่เกินกว่าความลำบากใจพัฒนาไปสู่ความทุกข์ทรมานขมขื่น เขาเดินผ่านประตูห้องบานนั้น เข้ามายืนระหว่างประตูกับความวุ่นวายภายในห้องสีเขียว สายตาพัฒน์กำลังจ้องมองตำรวจสองคนที่กำลังใช้แขนทั้งสองข้างถือเงินลงมาจากฝ้าอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจสูงอายุตัวท่วมใหญ่เสื้อสีกากีรัดแน่น เดินเข้ามาตักเตือนว่าเขาถูกห้ามไม่ให้เข้าห้องของแม่ตัวเอง แม่เขายังคงนอนอยู่บนเตียง
พัฒน์ถามเจ้าหน้าที่ คนใกล้สุดที่อยู่ทางด้านซ้าย เขากำลังจดข้อมูลจากที่เกิดเหตุก่อนจะเอากระดาษพวกนั้นไปอยู่ในกล่องเอกสารที่โรงพัก "เกิดอะไรขึ้นครับ" พัฒน์ถาม ถึงแม้เขาจะรู้คำตอบดี ว่าตัวเองทำอะไรลงไป สำหรับพัฒน์การกระทำเป็นเพียงสาเหตุ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถรู้ถึงผลลัพธ์ของมันได้อยู่ดี
"มีคนโดนแทงที่นี่ เป็นคดีทะเลาะกันแต่หาตัวผู้กระทำไม่ได้ น่าจะตกลงกันไม่ได้เรื่องเงิน"
ตำรวจอธิบายและพยายามชี้ด้วยปากกาที่จดโน๊ตกระดาษนั้น ไปทางเงินบนฝ้าที่กำลังถูกเอาลงมา เขาเอามือแตะไหล่พัฒน์เมื่อเห็นใบหน้าของพัฒน์เต็มไปด้วยผิดหวังกับความเศร้าในแววตา พัฒน์ผิดหวังในความสามารถของตัวเอง
"ไม่เป็นไรน้อง แม่น้องยังปลอดภัยดี" บุรุษในชุดกากีหันหน้ามาเปรยคำพูดพร้อมประโยคปลอบใจ
พยาบาลหญิงคนหนึ่งพูดกับตำรวจที่คุยกับพัฒน์อยู่ "คุณตำรวจคะ ผู้ต้องสงสัยรู้สึกตัวแล้วค่ะ"
ความหมองใจแตกกระจายออกกลายเป็นรู้สึกตื่นตกใจทันที พยาบาลกำลังพาตำรวจอีกสองนายตามเธอไป พัฒน์รีบวิ่งตามเพื่อหาผลลัพธ์ ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ ห้องพักฟื้นของชาติอยู่เลยออกไปในอาคารถัดไป เมื่อก้าวเดินของทุกคนมาถึงหน้าห้องผู้ป่วยชื่อชาติ ทุกคนรวมถึงเขามองผ่านกระจกใส ดูเหมือนชาติจะยังพูดไม่ได้ เขาเห็นใบหน้าของพลอยและภรรยาของชาติที่อยู่ในห้อง ทั้งเธอกับภรรยาของชาติ ไม่รู้ว่าคนที่ลงมือกระทำให้เกิดเหตุการณ์กำลังมองอยู่หน้าห้องนั้น สิ่งที่กั้นอยู่ของผู้กระทำและถูกกระทำมีเพียงแค่กระจกใสกับกำแพงสีขาวเขียว
หมอประจำคนไข้เดินตรงเข้ามา เขาเริ่มต้นพูดอธิบายกับกลุ่มตำรวจที่ยืนหน้าห้องเลขที่ 912 ว่า "คนไข้อยู่ในโคม่านะครับ ต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ได้มีสติที่จะสื่อสารได้ อาการของเขาแย่ลง อวัยวะเริ่มล้มเหลวทีล่ะส่วนจากการที่เลือดไปเลี้ยงไม่พอ" พัฒน์ได้ยินเรื่องนี้ด้วย เขารีบหลบหน้าและออกห่างจากที่ตรงนั้นในทันทีก่อนที่พลอยจะรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าห้องนั้น
โน๊ตที่สำคัญเกี่ยวกับร่างกาย
ร่างกายมีปริมาณที่เลือดต้องการในแต่ละอวัยวะอยู่ สมอง หัวใจ ตับ และปอด เวลามีคนบอกว่าเสียเลือดมากไปคือมีความหมายว่า 1. เขาต้องการเลือดทันที 2.ต้องหาจุดที่เส้นเลือดฉีกขาดและเย็บปิด ร่างกายเหมือนเป็นท่อประปาของเลือดแบบวงกลมผ่านหัวใจที่มีหน้าที่เป็นเครื่องปั๊ม ถ้าหากท่อแตก ก็ต้องทำตามสองข้อนั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นผลข้างเคียงหลังท่อแตกคือต้องปั๊มมากขึ้น หัวใจเหนื่อยมากกว่าเดิม บางจุดน้ำจะแรงและบางจุดน้ำจะเบาน้ำแรงและน้ำเบาอยู่ที่กำลังในการปั๊มและขนาดท่อของแต่ล่ะจุด จุดที่น้ำเบา อวัยวะแถวนั้นจะเลือดไม่พอ ทำให้อวัยวะนั้นค่อย ๆ ตาย อวัยวะเป็นเหมือนหลอดไฟ มีสิบดวง ดับไปสี่ดวงนอกจากจะหายากแล้วว่าเป็นดวงไหน การรวนของการที่ร่างกายไม่เข้าใจว่าอวัยวะไหนหยุดทำงานบ้าง นั่นแหละคือผลข้างเคียงของการขาดเลือดและรอยแผลใหญ่ ที่ทำให้ถึงชีวิต รอยแผลไม่ได้ทำให้เราตาย แต่การเสียสมดุลภายในต่างหากที่ทำให้เราตาย
ณ ท่าเทียบเรือ ซากเรือไหม้ยังคงลอยอยู่บนทะเล ไม้รอบเรือกระทบเล่นกับคลื่นบนผิวน้ำ
ความสว่างของพระอาทิตย์สู้กับสีดำไหม้บนไม้ ความร้อนทำลายเนื้อไม้กลายเป็นโพรงถ่านไม้สีดำ วางซ้อนกันไปมาไร้ทิศทางการทิ้งน้ำหนัก กลิ่นควันไหม้ลอยฉุน
พวกเขาทั้งสองคน ทั้งพัฒน์และเบน เดินมาจากคอนกรีตแนวยาวตรงยาวมาที่ปลายทางเดิน เรือสีถ่านลอยอยู่บนน้ำ พัฒน์สังเกตเรื่องราวโดยรอบ จ้องมองเถ้าถ่านสีดำขนาดใหญ่ตรงหน้า เท้าของพัฒน์ กำลังก้าวเหยียบขอบเรือไม้ ขึ้นมาสังเกตดูของที่ยังอยู่บนเรือ พอเหยียบซากปรักหักพังไปนิดเดียว เถ้าไม้ดำก็ติดรองเท้ามา เบนยังมีท่าทีกลัวอันตรายในการขึ้นมาบนเรือ
พัฒน์พยายามสำรวจสิ่งของที่จะไม่เป็นหลักฐานต่อการตามตัว ไปกับการดูอุปกรณ์ของห้องวิจัยที่ยังสามารถใช้การได้อยู่
"เดินดี ๆ นะเว้ย ระวังเสี้ยนตำ" เตือนด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะขึ้นมาบนเรือ พัฒน์หยิบแรมที่ไหม้บนเรือแล้วดูสภาพ
"แล้วยังไงต่อทุนก็ได้คืนแล้ว มาครึ่งรายชื่อล่ะนะ ยังจะทำต่อมั้ย?" เบนถาม
พัฒน์ที่เดินสำรวจทั่วเรือแล้ว พบว่าไม่ได้มีของไหนที่พอจะใช้ได้ จะต้องซื้อใหม่ทั้งหมด ทั้งถังวัสดุชีวภาพ เครื่องพิมพ์ และคอมพิวเตอร์ เขายืนเหยียบด้านหน้าเรือ ตัวเขาเองก็มีความคิดที่อยากจะล้มเลิก เพราะเรื่องความอันตรายกับความเสี่ยงที่เจอ แต่การพริ้นท์มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาได้เงินมากพอที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมด เขาหันหน้ากลับมามองหน้าไปที่เบน "ทำต่อ" เขาก้าวเท้าหาทางเหยียบออกจากเรือ
"แล้วนายจะทำที่ไหน ของอีกจะทำยังไง" เบนเซ้าซี้เหมือนจะไม่อยากทำ พัฒน์รู้ว่าเบนก็แค่บ่นกับปัญหา แต่สุดท้ายเขาเองก็อยากได้เงินจากงานนี้อยู่ดี
"พี่รู้จักคาซาบลังกา (Casablanca) มั้ย" พัฒน์เดินลงจากเรือและเดินกลับขึ้นไปต้นทางของคอนกรีตท่าเรือ
เบนที่พึ่งลงจากเรือเดินตามออกมาตะโกนถามต่อ "คืออะไร"
เสียงตอบกลับดังจากไกล ๆ ด้านหน้าของเบน "หนังปี 2485 พี่ต้องการบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้" เดินหันหลังออกมาจากท่าเทียบเรือ
โน๊ตที่สำคัญเกี่ยวกับพ่อพัฒน์
พัฒน์กับพ่อชอบดูหนังคาวบอย พ่อของพัฒน์เคยเล่าให้เขาฟังว่า ในช่วงเวลาที่พ่อเคยจีบแม่ ตอนที่เจอแม่บริเวณที่สูบบุหรี่ แม่อยากได้ไฟแช็ก ในตอนนั้นพ่อเขาโชว์หยิบไม่ขีดจากซองกระเป๋าเสื้อ และใช้นิ้วโป้งจุดไม้ขีด พ่อเขาทำเรื่องนี้ได้ และพ่อพัฒน์เขาเองก็ได้สอนให้พัฒน์ ในวิธีการจุดไม้ขีดด้วยการดีดที่เล็บนิ้วโป้ง ปล.หนึ่งแม่กับพ่อตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่หลังจากที่พวกเขาแต่งงาน ความรักอยากให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันนานขึ้น ปล.สอง ตอนที่พัฒน์จุดเทียนวันเกิดแม่อายุ สี่สิบสองปี พัฒน์ก็ได้ใช้วิธีการดีดหัวไม้ขีดด้วยเล็บนิ้วโป้งมือขวา
วันถัดมา ณ โรงเรียนตอนเช้า
พัฒน์เดินเข้าโรงเรียน ตอนเขาเข้าห้อง ทุกคนดูสังเกต แผลบนหัวและใบหูที่ถูกคลุมด้วยผ้าก๊อซใยสังเคราะห์ ดูเหมือนบาดแผลที่ทุกคนในห้องเรียนสามารถเห็นได้ จะเป็นเรื่องสนุกปากของสังคมนี้ ทุกคนพยายามจะพูดถึงความเจ็บปวดของคนอื่นมากกว่าของตัวเอง มันเป็นเรื่องน่าอึดอัดมากสำหรับเขา กับความเจ็บปวดที่มีอยู่แล้วสามารถทำให้เจ็บปวดเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย ทั้งสายตาและคำพูด เสียงในหัวเขาคิดแบบนั้น ออกมาผ่านสีหน้าที่อึดอัด
พัฒน์ตัดสินใจที่จะแก้ไขเรื่องที่พูดจากคนอื่นเกี่ยวกับตัวเขา ให้ไปในทางเดียวกัน ตอนนำการทักทายอาจารย์ ในการเริ่มคาบแรก
"นักเรียนทั้งหมด พนมมือ กราบ"
"สวัสดีครับคุณครู" เสียงนักเรียนทุกคนในห้องพูดพร้อมกัน
"เราหูอักเสบน่ะ ดำน้ำมา" พัฒน์ยืนขึ้น ตะโกนบอก ก่อนที่จะค่อย ๆ นั่งลง มันน่าอาย เขารู้ว่าอย่างน้อย เรื่องที่จะถูกพูดถึงจะได้ไปในทิศทางเดียวกัน เขาแค่ขี้เกียจมาแก้เรื่องแต่งของคนอื่น
ในห้องเรียน ขณะที่พัฒน์จดบันทึก เขามองผ่านทางหน้าต่างห้องเรียน มีรถตำรวจมาที่โรงเรียนก้าวเท้าของเครื่องแบบสีกากี เพิ่มความเครียดของตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อเขาเริ่มออก แม้ขณะนี้ยังไม่มีใครสังเกตความกังวลของพัฒน์ จนกระทั่งอาจารย์ผู้ช่วยเรียกชื่อผมผ่านอาจารย์ที่อยู่หน้าห้อง "พัฒน์ ผู้อำนวยการเรียกไปคุย"
พัฒน์เดินตามคนที่มาเรียกไปกับเขา พัฒน์รุ่มร้อนกระวนกระวาย ก้าวทุกก้าวที่ก้าวไปข้างหน้ายิ่งเพิ่มความรู้สึกสิ้นหวังต่ออนาคต กังวลว่าจะโดนจับเรื่องไหน ขโมย เรื่องชาติ หรือเรื่องขายอวัยวะ
ผมสับสน ตื่นเต้น ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่แล้วก็อนาคตของผม แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องตายอยู่ดี โดนจับตอนนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไร เขาคิดแบบนั้น
พัฒน์เข้าไปนั่งในห้องผู้อำนวยการ ห้องนี้มีแค่ผมกับเก้าอี้เบาะสีดำ ระหว่างรอผู้อำนวยการ มีตำรวจสองนาย เปิดประตูเข้ามาพร้อมผู้อำนวยการ สีกากีทั้งสองคนนั้นนั่งรออยู่ข้างหลังพัฒน์
เขาหันดูว่าเขาคุยอะไรกัน กำหนดบทสนทนาที่ทำให้ตำรวจต้องรอหน้าห้อง วาสนา นั่งลงประจำเก้าอี้ประจำตำแหน่ง พร้อมกับกาแฟติดมือมา เธอใจเย็นวางแฟ้มลงบนโต๊ะ ค่อย ๆ เปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
"พัฒน์ ดูจากผลการเรียนเทอมนี้ ทำได้ดีมากเลยนะ คนที่ทำได้ 4.00 ทุกวิชาตั้งแต่ประถมยังเป็นแค่พัฒน์คนเดียวในโรงเรียน"
"ผอ. เรียกผมมามีอะไรรึเปล่าครับ ถ้าแค่เรื่องผลการเรียนหรือไปแข่ง…"
"ผอ. แค่อยากคุยด้วยหน่อยหน่ะ ช่วงนี้ไปทำอะไรมา"
"เอ่อ… คือเรื่องไหนครับ" ความกลัวโดนจับได้ทำให้เสียงเขาสั่น ความกังวลกำลังกัดกร่อนภายในของพัฒน์
"ผอ. ขอคุยแป๊บเดียว ผอ.รู้หมดแล้วนะ"
แววตาสับสน เหงื่อตกรอบคอ
ตำรวจด้านหลังหันมามองทางนี้
"จริงเหรอครับ" พัฒน์กลืนน้ำลายเอื้อก
"จริงสิ" คำตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งประโยคนี้ทำเอาพัฒน์ขนลุก ใครจะรู้ว่าพัฒน์ทำอะไรไปบ้าง ตำรวจข้างหลังจับตามอง ทันใดนั้นความผวาก็กลับเข้ามาในความคิด พัฒน์ค่อย ๆ ชายตามองหันหัวไปด้านข้าง ทำหน้าเฉย ๆ เข้าไว้
"บอกไว้ก่อนนะ ครูช่วยพัฒน์แค่พัฒน์ อยู่ในโรงเรียนเท่านั้นแหละ หลังจากนี้ครูดูแลพัฒน์ไม่ได้แล้ว เข้าใจนะ"
"ผอ. แค่ต้องบอกตรง ๆ นะ"
"ติดมหาลัยที่ไหนต้องบอกทางโรงเรียนด้วย"
พัฒน์ตอบด้วยใบหน้าด้วยยิ้มกึ่งหนึ่งของความโล่งใจปนกังวลใจ "…โอเคครับ"
"คือมหาลัย ชื่อว่าเอ็มไปที (MIT) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งข้อความมาช่องทางอีเมลของโรงเรียนเรื่องรับพัฒน์ผ่านการคัดเลือก" ผู้อำนวยการใช้มือขวาหยิบกระดาษจากลิ้นชัก ขึ้นมาวางบนโต๊ะ ที่พิมพ์มาให้ดูพัฒน์ดูเอกสารยืนยันสิทธิ์ "เขาบอกให้หนูยืนยันสิทธิ์เข้า เรียน จะใกล้กำหนดหมดการยืนยัน ทางมหาลัยจึงส่งอีเมลมาที่โรงเรียน ยินดีด้วยนะพัฒน์"
"โอเค… ขอบคุณมากครับ" พัฒน์ที่ยังสับสนกับตำรวจที่มาข้างหลัง "ผมจะยืนยันนะครับ ขอบคุณครับ"
"ดีเลย ครูยินดีด้วยนะ ผอ.จะเอารูปพัฒน์ผ่านการคัดเลือกมหาลัยต่างประเทศ ติดข้างโรงเรียนใหญ่ ๆ เลยนะ" ผอ. ก้มหน้าเคลียร์เอกสารต่อ
พัฒน์ถามต่อ "เอ่อ แล้วตำรวจ"
"อ้อ"
ยามโรงเรียนก็ถูกนำตัวเข้ามาโดยอาจารย์พละกล้ามโต อาจารย์พละยืนอยู่ตรงประตูพร้อมยาม "ผมพาตัวมาแล้วครับ"
"เรื่องยามโรงเรียนหน่ะ พอดีเค้าเคยมีประวัติ ขโมยคอมโรงเรียนอื่น ทางโรงเรียนจัดการไม่ดีเองแหละ แรมหายแทบจะทุกเครื่อง แล้วก็ยังมีเครื่องพิมพ์สามมิติอีก ผอ. หล่ะปวดหัวจริง ๆ" เธอตอบผมแล้วค่อยลุกไปคุยข้างนอกกับตำรวจ ให้พาตัวยามไป เครื่องแบบสีกากีพาตัวยามไปในข้อหาลักทรัพย์
วาสนากลับเข้ามาในห้อง นั่งเก้าอี้ กดแป้นพิมพ์สองสามครั้ง แล้วหันหน้าจอแมคคอมพิวเตอร์มาทางผมโชว์ให้เห็นกราฟิกจากฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศโรงเรียนในรูปภาพหัวข้อการนำเสนอ "ร่วมแสดงความยินดี เด็กเก่งมหาลัยเอ็มไอที ได้แก่พัฒน์ ณ อยุธยา" มีจำนวนสองรูป วาสนาได้ให้พัฒน์เลือกรูปภาพรูปป้ายไวนิลตัวเองที่จะต้องติดกำแพงโรงเรียน ขนาดประมาณสามเมตรได้ แต่เป็นการเลือกของสีพื้นหลัง พัฒน์เห็นว่ามันมีแค่พื้นหลังสีแดงส้ม กับแดงชมพู มันก็แดงเหมือนกัน สำหรับพัฒน์เขาคิดว่าเรื่องการเลือกสีกับป้ายการประกาศมหาลัยดัง เรื่องพวกนี้มันไร้สาระชัด ๆ
"เป็นไงจ๊ะ ครูให้ฝ่ายเทคโนโลยีของโรงเรียน ทำให้เรียบร้อยแล้วนะ เอาสีแดงไหนดี" ผอให้ผมเลือกสีพื้นหลังรูปตัวเองที่จะถูกขยายขนาด
"อันซ้ายแล้วกันครับ" พัฒน์ตอบให้มันเพียงจบ ๆ ไป
กริ๊งพักเที่ยงดัง
พัฒน์ขอบคุณผู้อำนวยการอีกครั้งที่บอกเรื่องมหาลัย และตื่นเต้นดีใจ ที่ยังไม่โดนจับได้ เขารีบออกไปพักกลางวัน
วันถัดมา ในขณะที่ทุกคนไปเรียนพิเศษ พัฒน์กับเบนมาเจอกันที่ท่าเรือเปลี่ยนถ่ายสินค้า
เรือใหญ่ ๆ จะขนคอนเทนเนอร์ มาวางที่นี่และแต่ละบริษัทในไทยก็จะขนของออกไป ที่นี่มีคอนเทนเนอร์ถ่ายเข้ามาและออกไปมากกว่าหนึ่งพันถึงสองพันตู้คอนเทนเนอร์ต่อวัน เป็นส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เข้ามาขายในประเทศ หรืออะไหล่ที่มาประกอบในไทยเพราะแรงงานถูกกว่า ถ้าส่งออกจะมีทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าทางวัฒนธรรม หรือยาเสพติดที่ประกอบไปในสินค้าอื่นแล้วส่งออกต่างประเทศ ในไทยก็มีเป็นเรื่องปกติ เพราะคนที่ทำงานในกรมสรรพากรส่วนใหญ่ก็จะเอาสินค้าบางส่วนออกไปขายเองจากการตรวจสอบ
"สิ่งที่เคลื่อนไหว เอาตัวรอดเสมอ" พัฒน์พูดประโยคจากหนังดังที่เขาชอบตอนมองตู้คอนเทนเนอร์
เบนเห็นตู้แต่ล่ะตู้ไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่ง มันถูกเคลื่อนย้ายไปมา
"เราทำที่นี่ได้ เราใช้คอนเทนเนอร์เป็นแลป" พัฒน์พาเดินสำรวจข้างในคอนเทนเนอร์ในจุดพักคอนเทนเนอร์เพื่อตรวจสอบสินค้า พวกบริษัทอื่นที่มาก็ไม่ได้มาตรสวจสอบทุกวัน พัฒน์อธิบายแค่เปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อย ๆ หลังจากเบนออกจากคอนเทนเนอร์พัฒน์ปิดและล็อกประตู
"แล้วตำรวจจะไม่มาเจอเหรอ"
ปึง! ปึง! พัฒน์ทุบที่ข้างตู้คอนเทนเนอร์ สองที ตัวเขาก้าวถอยหลังออกมาจากตู้ แตะไหล่เบนกับกวักมือให้ถอยออกมาจากตู้คอนเทนเนอร์ ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ลอยขึ้นด้วยเครนที่เกี่ยวไว้และไปวางตรงอื่น
"ตู้จะเปลี่ยนที่ไปมา เราให้พนักงาน วางไว้สามจุด วนไปเรื่อย ๆ" พัฒน์ชูแก้วกาแฟให้กับพี่พนักงานที่บังคับรอกหมุนยกน้ำหนักขนาดใหญ่ อยู่บนเครน เบนพยักหน้าทักทาย เขายิ้มแล้วชูนิ้วโป้งกลับมาทางพัฒน์และเบน ทั้งสองคนเดินออกมาจากบริเวณที่เก็บตู้คอนเทนเนอร์สินค้านั้น
"พี่ออกค่าแลปก่อนนะ"
"อะไรนะ นายใช้เงินหมดแล้วเหรอ …ผู้หญิงเหรอหรือเกม"
"ผมแค่มีปัญหานิดหน่อย"
"ปัญหาเหรอ บอกมาสิวะ ว่าคืออะไร เราเป็นหุ้นส่วนกันนะเว้ย ฉันรู้แล้ว สรุปนายเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่ นายเลือกเอาสักอย่าง นายจะเป็นทั้งสองอย่างไม่ได้นะเว้ย"
พัฒน์เงียบเป็นการตอบคำถาม เขาหันหน้าไปมองเบน
บทสนทนาถูกตัดจบโดยเสียงโทรศัพท์มือถือพัฒน์ดังขึ้นมา "..ตรู๊ด ตรู๊ด" เขารับสายโทรเข้ามาจากโช
"ใช่ ๆ"
"เริ่มพรุ่งนี้"
"เจอที่จุดถ่ายสินค้าบีสอง"
"เริ่มพรุ่งนี้ 5 โมง" พัฒน์กดวางสายการสนทนา หันหน้าไปทางเบน "เริ่มพรุ่งนี้นะ เจอกัน" พัฒน์เรียกรถบริการคมนาคมส่วนตัวแล้วเขาขึ้นรถกลับไป ไม่มีอะไรที่จะมารั้งให้ตัวพัฒน์ให้หยุดการพิมพ์อวัยวะต่อได้
วันถัดมาใน วิชาพุทธศาสนา คาบสุดท้าย
พัฒน์ที่จ้องนาฬิกาห้องเรียน กังวลกับเวลา ทุกคนในห้องเบื่อวิชานี้ บางคนเชื่อว่าศาสนาพุทธไม่ควรถูกเอามาสอนในโรงเรียน ถ้าสอนก็เป็นพหุศาสนาและเรียนความเชื่อที่หลากหลาย และเป็นการตั้งคำถามและอยู่ร่วมกันกับความเชื่อ ศาสนาจะทำให้เราอยู่ร่วมกับศาสนาอื่นได้ แต่ระบบการศึกษาแบบวัดผลทำให้เราต้องจำว่าพระพุทธเจ้าไปเจอใครและคุยกับอะไรกับใครบ้าง เพื่อได้คะแนนและเอาไปวัดผล ยื่นต่อกระทรวงการศึกษา หลาย ๆ คนในห้องนี้อยากกลับบ้านแล้ว
วิชาพระพุทธศาสนา
สอนโดยอาจารย์ ศุชาดา ศุชาดาเป็นผู้หญิง วัยห้าสิบเจ็ดปี ใกล้เกษียณ นับถือศาสนาพุทธ จะสะพายกระเป๋าแบรนด์ ที่ผู้ใหญ่ชอบ ๆ กัน ชอบใส่แหวนเพชรเยอะให้คนทัก ชอบเป็นที่สนใจของหมู่อาจารย์ด้วยกัน ไปไหนมาไหนก็อยากให้อาจารย์และเด็กไหว้ตัวเอง คนประมาณนี้จะทำบุญทุกวันพระพร้อมกับงดกินเนื้อสัตว์ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีและชอบธรรมในการด่าคนอื่นให้ไปตายหรือ สอนคนอื่นแบบบุญน้อยกว่า เป็นบุญคุณเลยนะ เวลานักเรียนไม่ฟัง จะทำเป็นหยุดสอนและบอกว่าให้เกียรติครูบ้าง แต่พอเด็กตอบอะไรไม่ถูกใจจะโดนด่าว่าอ่อนต่อโลก ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน และวันไหนที่ เล่าเรื่องตัวเองเยอะ ๆ จะทำให้เราตามเนื้อหาที่เรียนไม่ทัน กินเวลาคาบอื่น หรือถ้าเป็นคาบสุดท้ายจะเลิกช้า ส่วนใหญ่ก็จะมีการทำโทษตามใจตัวเองเพิ่มมาอีก
ซึ่งวันนี้เป็นวันนั้น
จากตารางวันปกติของคาบแปดเราจะเลิกสี่โมงสิบห้านาที ตอนนี้ ห้าโมงครึ่ง ห้องอื่นเลิกเรียนและกลับบ้านกันแล้ว ศุชาดาให้นักเรียนหญิงที่ใส่ถุงเท้าข้อสั้น สี่คนไปยืนหน้าห้อง และถามเหตุผลนักเรียนหญืงแต่ละคนว่าทำไมถึงใส่ถุงเท้าข้อสั้นบางคนตอบว่าเป็นความสะดวก เพราะผ้าถุงเท้า หรือความสะดวกกับการใส่รองเท้า ซึ่งดูเหมือนว่าอาจารย์ศุชาดาก็ไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่นักเรียนหญิงสี่คนตอบ และยังสอนเพิ่มว่า
เสียงพูดคุยความไม่พอใจของนักเรียนดังไปทั่ว
"จะใส่อะไรก็ให้มันดูกาลเทศะ เป็นนักเรียนจะมาแต่งตามใจตัวเอง จะไม่คิดรักษาความเป็นไทย วัฒนธรรมอันดี คิดจะแต่งแบบนี้มายั่วผู้ชายเหรอ ครูต้องตีเพื่อให้จำ" อาจารย์ศุชาดา หยิบไม้ในรางชอล์กเขียนกระดานดำมา ผายแขน ตีที่น้องขาทีละคน คนละสามครั้ง
เพียะ!
เพียะ!
เพียะ!
"อัญชิตาไปนั่งได้" ศุชาดาพูดพร้อมความภาคภูมิใจในการลงโทษนักเรียน เขาลงโทษเพื่อคาดหวังวันหนึ่งที่ได้ดีจะหันมาขอบคุณที่ลงโทษ เขาไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าที่ทำอยู่คือความรุนแรงที่มีผลต่อสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิต ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขากำลังเติมเต็มความต้องการของตัวเอง ความหวังดีของคนพวกนี้มีความหมายเฉพาะตัวแล้วไม่เปลี่ยนแปลงง่าย
อัญชิตายกมือไหว้ขอตัวไปนั่งที่ของตัวเอง เสียงของอัญชิตาเบา กำลังก้มตัวกลับมาที่นั่ง
"หวังว่านักเรียนจะเข้าใจว่าครูตีเพราะครูรัก" ศุชาดาหันไปทางนักเรียนในห้อง เขาภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อเด็กยกมือไหว้หลังจากที่เขาตีเสร็จ
พัฒน์เห็นรอยแดงที่ น่องอัญชิตา ตั้งแต่หน้าห้องจนมานั่งที่เก้าอี้ข้างหน้า พร้อมกับได้ยินเสียงบ่นของเพื่อนข้าง ๆ เรื่องจะนัดพ่อไว้หรือบางคนต้องไปเรียนพิเศษต่อ บางคนวันนี้วันเกิดคนในครอบครัว บรรยากาศในห้องตอนนี้มีแต่ความระอาและอยากกลับไปใช้เวลาของตัวเอง
อาจารย์ศุชาดา กำลังจะฟาดพัชชา เธอเป็นคนที่สองของการลงโทษใส่ถุงเท้าข้อสั้น
พัชชาหยีตา ร่างกายความเกร็ง รอความเจ็บปวดจากการลงโทษของคนที่บอกว่าตัวเองมีความรู้มากกว่า
ควับ!! พัฒน์กำไม้เรียวก่อนที่จะฟาดลงที่น่อง
พัฒน์ยืนอยู่หน้าห้องกับอาจารย์ตกใจ ศุชาดายื้อไม้จะดึงไปฟาดต่อ เขากระชากไม้เรียวออกมาจากมือ เอาเข่าหักไม้เรียวเป็นสองท่อน! ปาเศษไม้ทิ้งไปนอกห้องเรียน ผู้คนตกตะลึง
หันกลับมาพูดกับนักเรียนที่นั่งอยู่ในห้องสามสิบกว่าคน
"หมดเวลาสอนแล้ว! ทุกคนเลิกเรียน!!" สายตาศุชาดาจ้องกับพัฒน์อย่างอ้ำอึ้งกับการกระทำ แววตาของพัฒน์เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความโกรธ
ทุกคนเก็บกระเป๋าและยกเก้าอี้ นักเรียนทุกคนก็รีบออกจากห้องเย็นวันนั้นหมดลงโดยการที่พัฒน์โดนตัดแต้ม เนื่องจากขัดขวางการสอนในวิชา ทุกคนได้กลับบ้านไปใช้เวลาของตัวเองส่วนพัฒน์ไปที่แลปและพิมพ์อวัยวะกับโชต่อ
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ชายทะเล
มีเด็กสาวอายุเจ็ดขวบ ลูกสาวของชาวประมงที่มาเล่นริมหาดประมงที่มีขยะ รากไม้ ถุงพลาสติกเกลื่อนกลาด สิ่งต่าง ๆ ถูกกระแสน้ำพัดมา เด็กคนนั้นเธอเจอของที่น่าสนใจที่สุดในช่วงเวลา การเอื้อมมือหยิบของชิ้นนั้นเป็นการหยิบความวิเศษที่สุด มาไว้ในอุ้งมือ เธอหยิบปืนพกขึ้นมาแล้วทำท่ายิงไปที่สิ่งแวดล้อมโดยรอบ ต้นไม้ ทะเล พระอาทิตย์ รากไม้
"ปิ้ว ปิ้ว ปิ้ว"
ใช่แล้ว นั้นเป็นปืนเดียวกับที่พัฒน์โยนลงไปในทะเล