ความสนุกอีกอย่างแน่นอนคือการขโมย
แบตเตอรี่รถยนต์คือของสิ่งแรกที่พัฒน์เคยขโมยในวัยเด็ก เพื่อทำเตาปฏิกรณ์วิจัย สิ่งนั้นกระจายความร้อนมากไป สารหล่อเย็นน้ำมวลหนักก็กระจายออก คราวนี้"แรมคอมพิวเตอร์เป็นชิ้นที่สอง" พัฒน์ใช้ไขควงแกะส่วนประกอบของซีพียู ในห้องเรียนคอมพิวเตอร์ แกะอุปกรณ์ แรมคอมการ์ด ทีละตัวทุกตัว ตัวทำความเย็น รวมถึงเครื่องพิมพ์สามมิติใส่กล่องกระดาษลูกฟูกลังใบใหญ่เต็มแขนทั้งสองข้างเขาถือออกนอกโรงเรียนอย่างทุลักทุเล เขาเรียกรถแท็กซี่และขนของมาไว้ที่บ้านเบน
เบนนั่งกินเบียร์กับเบอร์เกอร์อยู่หน้าบ้านตัวเอง เขาไม่ได้คาดหวังมากอะไร
เบนเห็นพัฒน์ถือกล่องกระดาษอันใหญ่เขาใส่ชุดนักเรียน เบนถอนหายใจ วางกระป๋องเบียร์ แล้วเข้ามาช่วยเขาถือของ พัฒน์เอาของไว้ที่กระบะใส่ของในรถเบน เบนเดินตามมาดูที่พวกของในกล่องต่าง ๆ "นี่คือเครื่องพิมพ์สามมิติ โคตรเจ๋ง RS PRO iTX PC 3D Printer อันนี้แรมการ์ด ทั้งหมด ช่วยเพิ่มการประมวลผล 3,245 ข้อมูล ในหนึ่งวินาที" พัฒน์อธิบาย
เบนเบื่อดูไม่เข้าใจสิ่งที่พัฒน์จะทำอย่างเห็นได้ชัด เขาชี้ของต่าง ๆ เบนถาม "จะใช้คอมพิวเตอร์พวกนี้หาข้อมูลเหรอ"
"ไม่ดิ ของพวกนี้มีไว้พิมพ์การวางตัวเซลล์อวัยวะ เรากำลังจะพิมพ์อวัยวะกัน" พัฒน์ชี้แจง
"เชี่ย นายรู้ปะ ว่าโค้ดอวัยวะ กับแหล่งที่มาโปรตีนในการทำแพงกว่า" เบนย้ำ "แล้วไหนจะเคสที่ปลูกถ่ายไม่สำเร็จอีก"
"ไม่ ไม่ ไม่พี่ต้องช่วยผมคิดสมการในการวางเซลล์แนวตั้ง"
"นายคิดว่ามันทำได้จริง ๆ เหรอ" เบนไม่เชื่อว่ามันจะทำได้จริง "กับการรันข้อมูลผ่านของพวกนี้เนี่ยนะ"
"มันทำได้เว้ย! แค่เขียนคนเดียวใช้เวลาเป็นเดือนแน่" พัฒน์ตอบด้วยความมั่นใจ
"รู้ว่ามันทำได้ แต่ฉันเขียนเป็นแค่ภาษาซี นายจำไม่ได้เหรอ กลุ่มคิปป์มันแยกกันตอนเกิดระเบิด" เบนพูด
"ใช่! อันนั้นพี่ก็ช่วยทำ ภูมิใจหน่อยดิ!" พัฒน์ยอมรับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น
"นายก็รู้ว่า การพิมพ์อวัยวะไม่ใช่ง่าย ๆ ไหนจะกลุ่มลูกค้าอีก ระยะเวลาการปลูกถ่ายก็มีผล การปฏิเสธอวัยวะจากร่างกาย ทำไมไม่ไปคุยกับคนที่เขาอยากขายให้มันจบ ๆ เราช่วยโลกอยู่นะเว้ย ไม่ใช่เวลามาสร้างสรรค์นวัตกรรมการพิมพ์อวัยวะ ฉันขายเพื่อเอาเงินไปให้คนจนแล้วให้คนรวยจ่ายเงินผ่านฉัน" เบนพยายามพูดถึงด้านดีในสิ่งที่ตัวเองทำ
"พี่ก็แค่เอาอวัยวะไปให้คนที่มีเงิน ไม่ได้เห็นจะสร้างสรรค์ตรงไหนเลย ที่ผ่าตัด ความสะอาด ผลข้างเคียงของคนที่ขายให้พี่หล่ะ ผมก็ไม่ได้เห็นว่าพี่จะแคร์คนตรงไหนเลย" พัฒน์เถียง "พี่กับผมจะไม่มีทางเอาอวัยวะจากคนมาขาย!"
โน๊ตระหว่างบทสนทนา
คิปป์ทีม **(KIPP Team) ก่อตั้งขึ้นโดย พัฒน์ และ เบน คิปป์ (KIPP) ย่อมาจากหลักสูตรความรู้คือพลัง (Knowledge is power program) เกิดจากกลุ่มเด็กแถวบ้านวัยเด็กที่ไม่ชอบความรุนแรงและสนใจความรู้ เพื่อตอบสนองความเป็นปัจเจกทางด้านความคิด เป็นกลุ่มที่มีองค์ความรู้ วัฒนธรรมองค์กรและมีงานอดิเรกที่ต่างจากเด็กทั่วไปเพราะเบื่อการเรียนในห้องเรียนเลยเอา หลักสูตรมหาลัยมาเปิดดูกันเองทั้งการแข่งอ่านหนังสือให้หมดทั้งห้องสมุด การดูวิดีโอริชาร์ด ฟิลลิป ไฟน์แมน (Richard Phillips Feynman) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล มีการตั้งคำถามถึงอนุพันธ์การกระจายของสสาร เริ่มการเรียนรู้ บทเรียนของมหาลัยทำให้เกิดปรากฏการณ์พิกเมเรี่ยน จึงส่งผลให้เด็กพวกนี้มีไอคิวสูงกว่าวัยเดียวกัน การทดลองแต่ละครั้งจะมีผลกระทบทั้งระเบิดหรือเสียงดัง ไฟดับ ทั้งมีเรื่องร้องเรียนและพวกเขาก็เคยลงข่าวกันตอนเด็ก
"เราจะพิมพ์อวัยวะที่สะอาด ข้อมูลตรงกับดีเอ็เอ (Dna) หาทางให้ร่างกายรับได้มากที่สุดนั้นคือจุดขาย และก็ไม่มีโรคติดต่อ ไม่เอาอวัยวะจากคนในสลัมและทำตัวเป็นพ่อพระ" พัฒน์ตอบเสียงหนักแน่น
เบนพยายามอธิบาย "นายก็รู้ว่าความน่าสงสารของเรื่องเล่าจากคนบริจาคมันช่วยเพิ่มราคาสินค้า เรื่องราวคือราคา"
"ไม่ ไม่ พอเลยพี่" เขาปฏิเสธการเอาอวัยวะมาขาย
เบนหน้านิ่ว เบื่อที่จะเถียง "ได้ ๆ ไว้มาคอยดูกัน"
มือพัฒน์หยิบรูปมาจากแฟ้ม ด้านในรถเบน รูปถ่ายของชายวัยหกสิบกว่า ตัวใหญ่ ใส่สูทสีดำ เสื้อเชิ้ตขาวเนคไทสีดำยืนอยู่ริมถนน พัฒน์ถามด้วยความสงสัย "อันนี้ รูปใคร"
"ชาติ… เป็นพ่อค้าที่อยู่มาก่อน เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อวัยวะ" เบนอธิบายทุกอย่างเพื่อกระชับที่สุด "เขาใกล้เคียงกับคำว่าอำนาจมากที่สุดล่ะ" เบนหยิบรูปและปาเข้าไปในกล่อง เรื่องนี้ไกลตัวสำหรับพัฒน์ เขาคิดแบบนั้น เบนใช้พลาสติกทึบกางคลุมรถยนต์ทั้งหมด "นายเอาของพวกนี้อยู่ได้แค่วันนี้วันเดียวนะ" เบนเตือน
"อะไรกัน ผมนึกว่าเราจะทำงานที่นี่"
"ไม่! ไม่ใช่ที่นี่ นี่มันบ้านฉัน จะให้คนมาเจอ แล้วคิดว่าคนเขาจะพูดว่า ว้าว!! ทำอวัยวะกันเหรอ ประเสริฐจังอย่างงี้เหรอ นายฟังนะ เราจะไม่ทำงานกันที่บ้าน"
"แล้วเราจะทำที่ไหน" พัฒน์ถาม
เบนพูดประชดว่า "นายก็คิดดิ นายชวนฉันทำ นายก็ทำบ้านนายดิ" พัฒน์คิดและส่ายหน้า "ใช่ ๆ ใครจะทำ นายก็รู้"
พัฒน์เสนอไอเดีย "เอางี้ พวกโกดังเก็บของใหญ่ ๆ แถวท่าเรือที่เหมือนโรงรถได้มั้ย" พัฒน์ถาม
"ไม่ ทำไม่ได้ หลักฐานก็ทิ้งยาก สัญญาณการใช้ข้อมูลก็ตรวจสอบได้" เบนคิดวิธีและพูดด้วยความมั่นใจ "เรือ! ฉันว่าเรือเท่านั้น"
"พวกเรือท่องเที่ยวงี้เหรอ" พัฒน์ถาม
"ใช่ ๆ ฉันรู้จักคนที่ขายอยู่ แลปพิมพ์อวัยวะลอยน้ำ โคตรเจ๋ง แล่นไปที่ไหนก็ได้ น่านน้ำสากล ตำรวจก็ขอตรวจค้นไม่ได้" เบนพูดด้วยความภูมิใจกับไอเดียที่เสนอ ถึงโปรเจคนี้ทั้งสองคนจะทำด้วยกัน แน่นอนว่า มันมีราคาการลงทุน ซึ่งพัฒน์เป็นคนเริ่ม เขาต้องเป็นคนออกเงินตั้งต้น
หน้าธนาคาร
ในมือของพัฒน์ถือเงินเก็บตัวเองทั้งหมดที่พึ่งถอนออกมาจากบัญชีธนาคารส่วนตัว พัฒน์รู้อยู่ในใจว่าต่อให้มีแค่นี้ก็ไม่พอค่ารักษา ถึงจะเก็บต่อก็เอามาจ่ายค่ารักษาแม่โดยไม่มีตัวพัฒน์ จากการคำนวณอยู่ได้มากสุดก็สองถึงสามปี ถ้าแม่เขาตื่นหลังจากนั้นก็เท่ากับว่าแม่ต้องตายก่อน พัฒน์เดินตรงไปที่เบนที่ยืนอยู่ข้างรถตัวเอง เขายื่นซองกระดาษสีน้ำตาลข้างในเต็มไปด้วยปึกเงิน เบนรับซองนั้นและนับธนบัตรที่อยู่ในนั้น
"นี่ไม่ถึง ห้าแสน เลยด้วยซ้ำ เขาอยากได้ เจ็ดแสน" เบนไม่พอใจ มองหน้าพัฒน์
"แค่นี้ก็เงินทั้งชีวิตผมแล้ว พี่คิดว่าเด็กมัธยมมีเงินเท่าไหร่กัน! พี่ขายเก่งก็ต่อราคาเอาดิ"
เบนนิ่งคิดและดูท่าทีที่พัฒน์โมโห "นายไม่เหมือนกับตอนเด็ก ๆ เลยนะ อย่างกับคนละคน"
พัฒน์มองนาฬิกาข้อมือตัวเอง "ผมต้องไปเรียนแล้ว" กำลังจะเดินออกไปเรียกรถที่ถนน
"แป๊บนะ" เบนพูดแล้วก็ยังไม่ยอมบอก ทำให้พัฒน์สงสัยหันกลับมา เบนโยนเงินเข้าไปในรถ
"อะไร!!"
"อยากรู้เหตุผล" เบนถาม
พัฒน์ถอนหายใจ เขาไม่ค่อยอยากตอบ มองไปทางอื่น
"อย่าบอกทำเพื่อเงิน ตอบมา ทำไม มันแปลก มันฟังไม่ขึ้น นายยังมีอนาคตอีกยาวนะเว้ย เข้ามหาลัยใช้ชีวิต ทำงานประจำ"
เขาคิดว่าเบนไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ตอบให้จบ ๆ เบนไม่น่าเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
พัฒน์ตอบ "ไม่ทำได้ไง พี่คิดว่ามหาลัยระดับโลกจะใช้ผลงาน กีฬาสีโรงเรียนหรือการแข่งขันตอบปัญหาในประเทศ แล้วเขาจะรับเข้าเหรอ" เบนยักไหล่ เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ แต่ก็ฟังไม่ขึ้น "เพราะความรู้เอาชนะได้ทุกอย่างไง ต่อให้พี่จบไอวี่ลีก (ivy league) พี่ก็ต้องทำงานเอกชนเงินเดือนน้อยกว่าค่าครองชีพ เพราะสหภาพแรงงานไม่มีรายได้ขั้นต่ำรองรับ ยกเว้นพี่จะทำนวัตกรรมใหม่ ๆ ขายคนมีเงินถึงจะรวยได้"
เบนส่ายหน้าก่อนจะพูด "ฝึกพูดมาเหรอ"
พัฒน์ขี้เกียจจะอธิบาย "ผมพึ่งตาสว่าง! โอเคนะ"
"อะไรนะ!"
พัฒน์เดินจากไปโบกรถแท็กซี่และชี้นิ้วไปที่เบน "ไปซื้อเรือมา เราจะเริ่มกันพรุ่งนี้" พัฒน์ขึ้นรถแท็กซี่กลับไป
บ่ายวันถัดมา
มีเรือลำเดียวเทียบท่าอยู่ท่าเรือ เรือประมงสภาพเก่าสองชั้น มีหลังคา สำหรับท่องเที่ยว สีส้มที่ทารอบเรือสีลอกไปบ้าง เบนเดินไปหาลุงจันทร์คนดูแลเรือ เขาพาเบนเข้าไปสำรวจภายในเรือ ดูแต่ละจุดต่าง ๆ ด้วยตัวเองทั้งสำรวจในท้องเรือ ท้ายเรือ หางเสือ รอบ ๆ เรือ ลุงเป็นคนขายเรือให้พี่ผู้จัดการท่า เขาเดินตามเงียบและเล่าว่าเจ้าของเรือเก่าเป็นหนี้ท่าเรือ เลยเอามาขายต่อในราคาถูก ลุงจันทร์ยังเป็นหนี้สมาคมประมงท้องถิ่น ที่มีปัญหากับน่านน้ำในการจับปลาแข่งกับเรือใหญ่ของนายทุน น้ำเสียงเหนื่อยล้า เขาแค่อยากทำเรื่องนี้ให้จบ
ลุงจันทร์ถาม "น้องเบนถามหน่อย คนเยอะรึเปล่า จะทำธุรกิจท่องเที่ยวเหรอ เพราะพี่ต้องเอาเรื่องไปคุยกับเจ้านาย"
เบนสนใจแต่เรือ ไม่ได้หันหน้าไปตอบ "พี่ทรง" เบนพูด
"ไม่ใช่พี่ทรง คนเจ้าของอู่ต่อเรือ เอ่อ… ไม่ใช่ แต่พี่ทรง พี่ผู้จัดการท่าเขาชื่อทรงเหมือนกัน เขาบอกว่าสิ่งที่น้องทำอยู่ ยินดีช่วยนะเพื่ออนาคตของน้อง และเขาจะได้ยกเว้นภาษีถ้ามันเกี่ยวกับการศึกษา" ลุงจันทร์ตั้งใจโน้มน้าวแต่ก็พูดไม่เก่งคอยได้แต่เดินตามเบนไปแต่ละจุดในเรือ ท้ายที่สุดลุงจันทร์สะกิดเบนให้หันหลังกลับมาคุย "มันก็แย่แหละน้อง ท่าเรือเขาอยากขายทิ้ง แต่พี่ให้น้องได้แค่หกแสนบาทนะ"
เบนกอดอกรับคำตอบเอียงหันหน้าดูทะเลรอบ ๆ เรือ คิ้วขมวดตอนกลับมามองหน้าลุงจันทร์ ลุงจันทร์ตัดสินใจตอบตามใจเบน "โธ่น้องเบน งั้นห้าแสนก็ได้"
เบนพยักหน้าเอามือแตะไหล่ลุงจันทร์เดินผ่านร่างกายสูงวัย เดินออกจากเรือในมือหยิบซองเงินจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ลุงจันทร์
ขณะนั้นเป็นเวลาห้าโมงเย็น
พัฒน์ก้าวเท้าลงจากรถโดยสารเช่าส่วนบุคคล เบนยืนกินแฮมเบอร์เกอร์อยู่ทางเข้าท่าเรือ ระหว่างรอพัฒน์ในชุดนักเรียนมัธยมสะพายกระเป๋าเป้ เบนขยำกระดาษห่อเบอร์เกอร์ทิ้งลงถังขยะทางเข้าสะพานปลา "หวังว่าจะเวิร์คนะ" เบนทักทายพัฒน์
พัฒน์พยักหน้าเอามือตบไหล่เบน "อาจารย์ที่โรงเรียนฝากทักทาย" เขาเดินนำเบนเดินตาม ทั้งสองเดินตรงไปที่เรือ เมื่อเดินมาถึงปลายท่าเรือ มีเรือเก่า ๆ ลำเดียวจอดอยู่ สภาพเหมือนเศษไม้ลอยได้ พัฒน์ถอนหายใจผิดหวังกับสภาพเรือประมงที่ได้มา
พัฒน์ถามกึ่งประชด "เงินครึ่งล้าน พี่ได้เศษไม้กับกลิ่นคาวปลามานี่นะ" หันหน้าไปที่เบน
เบนพยักหน้ามั่นใจตอบ "เขาแถมปลาสดมาให้อีกสี่ตัว" เบนชี้ไปทางท้ายเรือ
พัฒน์ถาม "อยู่ตรงไหน" คำพูดมากับการพร้อมก้าวเดินสำรวจรอบ ๆ เรือ
"อยู่ถังน้ำแข็งท้ายเรือ ตัวยาวประมาณฟุตหนึ่งได้" เบนมั่นใจกับเรือที่ได้มา พวกเขาเดินท้ายไปเปิดกระติกท้ายเรือพร้อมกัน อย่างน้อยก็ดีใจที่มีอะไรไว้กินได้
พัฒน์กับเบนเริ่มขนของที่เอามาลงเรือ ทั้งแรม เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ พัฒน์เป็นคนประกอบ เบนเป็นคนคอยช่วย หลังจากประกอบเครื่องพิมพ์เสร็จ พวกเขาต้องเรียนวิธีการขียนออนไลน์ของมหาลัยฮาวาร์ดกับ มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ แคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา วิธีการใช้เวลาทั้งหมดหกสัปดาห์ หลังเลิกเรียนทุกวันหลังเลิกเรียนตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืนทุกวัน วันละหกชั่วโมง สี่สิบห้าวัน เท่ากับว่าแต่ละคนเรียนไป 270 ชั่วโมง รวมกัน จะได้ 540 ชั่วโมงของการเรียนรู้ และการวิพากษ์กันเรื่องทฤษฎี หาความเป็นไปได้ทั้งเครื่องพิมพ์ วิธีการวางเซลล์ ลักษณะเซลล์ ไปจนถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ทำยังไงให้ร่างกายไม่ต่อต้านอวัยวะที่สร้างขึ้นมา จากรูปแบบโครโมโซมที่นำมาใช้ ทั้งงานวิจัยต่างประเทศ และกระบวนดูแลหลังจากเปลี่ยนถ่ายระยะหนึ่งปีห้าปีและทศวรรษ
ในระหว่างนั้น ทุกวันอาทิตย์ตอนกลางวัน พัฒน์จะมาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล
วันนี้พัฒน์นั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างเตียงคอยดูพยาบาลตรวจสอบอุปกรณ์ที่ช่วยให้ชีวิตแม่ยังคงดำเนินในทริปท่องเที่ยวในการหลับใหล พัฒน์รู้สึกถึงบางอย่าง มีบางอย่างผิดปกติแน่
"ฟืด ๆ" เสียงหายใจเข้าของพัฒน์พยายามดมกลิ่นไหม้
กลิ่นควันลอยเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง เข้ามาในห้องผู้ป่วยเลขที่ 633
'กลิ่นบุหรี่' พัฒน์รับรู้ได้เขาเดินที่ระเบียง ยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อจะดูว่ากลิ่นควันบุหรี่มาจากทางไหน ซ้ายหรือขวา พัฒน์เห็นมือที่คีบบุหรี่ออกมานอกหน้าต่างทางด้านขวา พร้อมกับควันที่ออกมาเรื่อยๆ คนสูบบุหรี่อยู่ห้องด้านขวา เขาเอนตัวกลับเข้ามาในห้องหันมาถามพยาบาลในขณะกำลังเช็ดตัวอารยาอยู่
พัฒน์พูดขึ้น "ห้องข้าง ๆ สูบบุหรี่อะครับ" พร้อมกับนิ้วชี้ไปทางด้านห้องนั้น
พยาบาลตามพัฒน์มาดูที่ระเบียง เธอเดินออกจากห้องนี้ไปสู่ห้องกลิ่นควัน เขามองหน้าแม่ด้วยความเป็นห่วง เขาตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำ ในขณะเดียวกัน ห้องข้าง ๆ นครชายวัยกลางคนชุดคนไข้ยืนสูบบุหรี่ ชลน้องชายอายุสิบหกปีที่กำลังนั่งเปิดนิตยสารอยู่บนโซฟา พยาบาลเดินเข้ามาในห้องอย่างเป็นมิตรแจ้งให้นครทราบ
"ที่นี่เป็นเขตห้ามสูบบุหรี่นะคะ คนไข้ รบกวน…" พยาบาลกล่าวเตือน
ทันใดนั้น…
พัฒน์วิ่งเข้ามาในห้อง ในมือทั้งสองจับเก้าอี้พับถือสูงเหนือหัว พุ่งตรงไปหานครด้วยความเร็ว พัฒน์กระหน่ำฟาดไปที่ชายคนนั้น รัวฟาดด้วยเก้าอี้ไม่หยุดมือ นครร้อง "โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!" จนล้มลงหลังแตะพื้นห้อง
พัฒน์ตะโกนถาม "ไอ้หัวขวด!! สูบไปกี่มวนแล้ว ตอบมาดิ" แขนยังเหวี่ยงเก้าอี้ไปตามลำตัวนคร
"มวนเดียว! มวนเดียว!" นครตอบ
พัฒน์หยุดฟาดเก้าอี้หายใจหอบ นครลุกขึ้นแบบทุลักทุเล จับแขนเสื้อเช็ดเลือดที่ปาก "นายเจอดีแน่" นครท้าทายพัฒน์ ในขณะที่ชลอยู่หลบอยู่ด้านหลังนครด้วยความกลัว
"เอาดิ อยากโดนตีแล้วร้องเป็นเด็กต่อหน้าน้องชาย ก็มาเลย! มาดิ! ดูไม่น่าเป็นไรแล้วนี่ กลับไปได้แล้ว อยากนอนโรงพยาบาลเพิ่มอีกเหรอ มาสิ! มาสิ! เอาเลย! เอาเลย!" พัฒน์ตื่นเต้น เขาแทบไม่รับรู้สึกถึงความกลัวเขากำลังถูกครอบคลุมด้วยความโกรธ
พยาบาลดูตกใจกับเหตุการณ์ ที่เขาทำ พัฒน์ทำท่าเงื้อเก้าอี้ฟาดอีก
ทั้งคู่ตกใจ ถอยไปข้างหลัง "พี่เรากลับกันดีกว่า" ชลจับแขนของนคร ทั้งสองพี่น้อง รีบถอยกรูด กลัวลนลาน
"ไอ้โรคจิต!!" นครด่าก่อนออกจากห้อง
เขาทำท่าทีที่จะวิ่งเข้าไป ให้พวกนั้นตกใจรีบหันหลังออกจากห้องไป พัฒน์ตื่นเต้นรู้สึกมีชีวิต เขาวางเก้าอี้ลงมองหน้าพยาบาลที่ตื่นกลัวก่อนที่จะเดินกลับไปห้องที่ 633 เขานั่งลง เฝ้ารอการตื่นมาของแม่ต่อไป
เข้าสัปดาห์ที่ เจ็ด ของการเขียนข้อมูลการวางเซลล์อวัยวะตับและไต บนเรือกลางทะเลฝั่งอันดามันออกจากฝั่งภูเก็ตไป 30 กิโล เบนกินไก่ทอดพร้อมกับเอากล้องส่องทางไกลส่องไปรอบ ๆ จากชั้นบนของเรือ
"เยี่ยม มีแต่ปลาวาฬ"
พัฒน์คิ้วขมวด หันไปทางเบน "วาฬ" เขาพูดเตือน
"ใช่ ๆ ทางนี้ มาดูดิ แล้วก็แถวนี้ไม่ค่อยมีเรือมานะ เขาบอกว่าแถวนี้มีสถานีวาฬด้วย"
"สถานีวาฬเหรอ" พัฒน์ทวนตอบ
"ใช่ มันอยู่ทางนี่ไง" เบนชี้ไปทางทะเล
พัฒน์ถอนหายใจ กวักมือ ให้เบนลงมาทำงานในเรือต่อ "โอเค มาพิมพ์อวัยวะกันดีกว่า" เบนปีนลงมาจากหลังคาเรือ
พัฒน์พูดกับตัวเองเบา ๆ "สถานีวาฬเหรอ" เขาตลกกับตัวเองที่ต้องทำงานกับเบน เรื่องราวธรรมชาติวัยเด็กเราตื่นเต้นกับสิ่งนั้นเสมอ
พวกเขาเริ่มร่างโปรแกรมการวางข้อมูลทางชีวภาพ โครงสร้างเส้นเลือด แดง ในตับ ใช้เซลล์ตัวอย่างจากตับเปลี่ยนเป็นข้อมูลเพื่อหา วิธีการขยายเซลล์หลัง ยังต้องเขียนวิธีการดูดซึมโปรตีนและสารอาหาร ขนาด รูปทรงอวัยวะใหม่ ผ่านโปรแกรมจำลองสามมิติ ยังมีเรื่องการปลูกถ่ายที่ต้องคิด พวกเขาเขียนไฟล์ตับเสร็จใน สี่สัปดาห์ พร้อมกับการพิมพ์ โมเดลต้นแบบโดยใช้เรซิ่นเพื่อดูโครงสร้าง อวัยวะตับกับไต สุดท้ายก็สามารถได้ไฟล์ที่พิมพ์ได้ทั้งสองอวัยวะ เขาบันทึกแยกทรัมไดรฟ์
"ตับ" "ไต" และพวกเขาเริ่มพิมพ์โมเดลต้นแบบ
พัฒน์ถอนหายใจเมื่อทั้งสองอย่างเสร็จแล้ว เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้พับในเรือ ต้องการการพักผ่อน หันไปทางหน้าต่างนอกเรือ ท้องฟ้ากับทะเลตอนนี้ดีกว่าวันไหน ๆ
"เยี่ยม! นี่พัฒน์พระเจ้าชัด ๆ นายทำแบบนี้ให้ตรงกับดีเอ็นเอได้โดยที่ร่างกายไม่ปฏิเสธ นี่มันเปลี่ยนโลกได้เลยนะเว้ย เป็นดอกเตอร์ ยื่นจบเฉพาะทางได้เลยนะ พระเจ้า!! ไอ้พัฒน์" น้ำเสียงตื่นเต้นของเบน ไม่ได้ทำให้พัฒน์รู้สึกตื่นเต้นไปด้วยเท่าไหร่
พัฒน์ยอมรับคำชมด้วยน้ำเสียงเหนื่อย "จริง ๆ แล้วมันก็แค่การเรียงตัวของชีวพื้นฐาน ขอบใจมาก ที่โอเคกับที่ผมทำ"
"โอเคเหรอ นายแม่งอัจฉริยะ ลูกค้าทุกคนต้องอยากได้สินค้านี้"
"แล้วทีนี้เอาไง จะทำยังไงต่อ" พัฒน์ถามด้วยความอยากรู้
เบนอธิบายแผนการ "เราจะขายการไฟล์ และโปรแกรมของตับ และทำตลาดไต ตลาดไตกว้างกว่า เราต้องเอาเงินไปซื้อเครื่องพิมพ์ชีวภาพในระหว่างนั้น เราต้องการคนเพิ่ม"
พัฒน์พยักหน้าเข้าใจ เช็ดเหงื่อ ท้องปั่นป่วน เขาคลื่นไส้ถึงกับต้องวิ่งไปอ้วกบริเวณขอบเรือ เบนตามมาใบหน้าสงสัยในอาการเมาเรือที่พึ่งออกอาการ กับยื่นน้ำให้ พัฒน์เอามือเช็ดเศษอ้วกที่มุมปาก ดื่มน้ำ "แล้วจะหาจากไหนกัน" พัฒน์ถาม
เบนยื่นกระดาษ กางกระดาษยื่นมาทางพัฒน์ "คิปป์ทีม" พัฒน์ทวนกับรายชื่อที่เห็นบนกระดาษโน๊ต
เบนมั่นใจในรายชื่อทั้งหกคน ความทรงจำเกี่ยวกับแต่ละคนเต็มไปด้วยความสนุกในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แน่นอนว่าพัฒน์ไม่ได้รู้จักทุกคน
"ต้องทุกคนเลยเหรอ"
เบนพูดยิ้ม ๆ ว่า "ที่ขึ้นมาทันทีแค่ 'โช' กับ 'ไมล์' ก็พอล่ะ แทบไม่ต้องถึงหมายเลขสี่"
โน๊ต(คิปป์ทีม)
1.ฟามิเนะ ไดโตะ โช
2. โทนี่ ยามาซากิ
3.พอล ไมล์
4.เอก
5.คิม ยอง ซู
6.ลิน ลาพาธี