"ผมต้องการบ้านหลังนั้นมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม"
ผู้ชายท่าทางขึงขังและร่ำรวยตรงหัวโต๊ะพูดเสียงเข้ม ปลาวาฬเองรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทพูดในโต๊ะสนทนานี้ เขานั่งตัวแข็งทื่อ ขนลุก มองคนท่าทางมั่นใจสุดขีดคลั่งด้วยความรู้สึกประหลาดชอบกล เขาแวะมาหาพี่อี๊ดตามที่นัดไว้ตอนเย็น แต่พี่อี๊ดติดประชุม ตอนแรกเขาคิดจะกลับ แต่อยู่ดี ๆ พี่อี๊ดก็เรียกผมเข้าไปประชุมด้วย โธ่... ช่างเป็นเรื่องราวที่แสนจะพิศวงเสียไม่มี
"นี่แหละครับ ปลาวาฬ คนที่ผมตั้งเป้าว่าจะให้ทำตามแผนของคุณเมธัส"
คนพูดคือพี่อี๊ด ผายมืออย่างพินอบพิเทา ตอนนั้นเขาจึงได้รู้ว่าผู้ชายจอมถมึงทึงนี่ชื่อว่าเมธัส ชายอายุประมาณ 30 กว่า แต่ไม่น่าเกิน 40 ปี ใส่ชุดสูทราคาแพงที่ดูด้วยหางตาก็รู้ว่าสั่งตัดมาแบบเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ดวงหน้าขาวแต่คมคายแบบไทยมากกว่า กรามผายออกทำให้หน้าดูเข้มและดุดัน ภาพรวมดูแล้วสรุปได้ว่าเป็นคนหล่อ แต่เป็นคนหล่อจำพวกที่ไม่น่าเข้าใกล้
เด็กหนุ่มเหลือบมองนามบัตรที่วางอยู่ตรงหน้า เมธัสกรุ๊ป นี่หมายความว่าผู้ชายบ้าอำนาจคนนี้คือเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าดังที่มีป้ายโฆษณาใหญ่เบิ้มแปะอยู่ทุกมุมเมืองเหรอเนี่ย
"คนนี้เหรอครับ ?"
เมธัสหันมามองเขา ปลาวาฬจะพยายามจะมองโลกในแง่ดี แต่ไม่ว่าจะเติมประจุบวกให้หัวเท่าไหร่ เขาก็ยังรู้สึกถึงน้ำเสียงดูแคลนนิด ๆ มาจากประโยคนั่น แต่เขาก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่าแกล้งเป็นไม่ได้ยิน ชีวิตในวงการบันเทิงแถบชายขอบสอนให้เขารู้ว่า อย่ามีเรื่องกับใครจะดีที่สุด วันหนึ่งคนเหล่านั้นอาจจะมานั่งเป็นผู้ตัดสินตอนเราแคสติ้งงานอยู่ก็เป็นไปได้
"น้องชื่อปลาวาฬครับ"
พี่อี๊ดหันมาส่งสัญญาณ ผมจึงรีบยกมือไหว้ปลก ๆ ทั้งที่ความจริงก็ไหว้ไปแล้วตอนเจอหน้าครั้งแรกในห้อง
"น้องไปลองชิมอาหารที่แล้ว น้องออกปากว่าอยากรับงาน อีกอย่างน้องเองก็เจอหน้าเชฟโอบมาแล้ว น้องบอกว่าไม่น่าจะยากอะไร"
"เขาจะชนะใจเชฟโอบได้จริง ๆ เหรอ ?"
เด็กหนุ่มยิ้มแหยอีกรอบ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังออกงานดูตัวอะไรสักอย่าง บางงานแคสติ้งก็ทำแบบนี้ มีคนคอยโฆษณาอยู่ เจ้าตัวก็ยิ้มเจื่อน ๆ รับไป
"ผู้ชายเป็นเชฟ พี่ว่าร้อยละเก้าสิบเป็นเกย์แน่นอน"
พี่อี๊ดพูดพร้อมขยิบตา เขาคิดว่าเมธัสน่าจะขนลุกนิด ๆ แล้วล่ะ
"ผีมองเห็นผี พี่ดูแวบเดียวก็รู้ เชฟโอบยังไงก็ต้องเป็นกวางแน่นอน ปลาวาฬนี่สเปกกวางทั่วประเทศ หุ่นดี ซิกแพ็กแน่น เซ็กซ์แอพพีลมหาศาล ถอดเสื้อถอดกางเกงทีฟีโรโมนคลุ้ง คุณเมธัสไม่ต้องห่วง จัดการเชฟโอบได้อยู่หมัดแน่นอน"
เมธัสหันมามองเขาอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนพ่อครัวกำลังเลือกซื้อกะหล่ำปลีสักหัว พินิจพิจารณาละเอียดลออ เขานั่งนิ่งกลืนน้ำลายลงคอก้อนใหญ่ นั่งภาวนาในใจให้ลูกค้าไม่ขอให้ถอดเสื้อให้ดู ไม่งั้นเกมแน่ พี่อี๊ดนะพี่อี๊ด ก็รู้อยู่ว่าช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แล้วจะเอาแพ็กไหนไปโชว์
"ยังไงก็แล้วแต่คุณอี๊ดแล้วกัน ถ้าคุณอี๊ดเห็นว่าเหมาะสม ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร แต่เงื่อนไขเป็นไปตามที่ตกลงนะครับ ผมจ่ายเงินค่าเริ่มงานให้ก้อนเดียว ส่วนที่เหลือทั้งหมด ผมจะจ่ายก็ต่อเมื่องานสำเร็จตามตกลงเท่านั้น"
เมธัสพูดและยืนขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณว่าธุระทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว พูดจาเล็กน้อยก่อนจะขอตัว ผู้ชายที่มีคิ้วขมวดปมเป็นเจ้าเรือนคนนั้นจากไปแล้ว ขนาดตอนเดินจากไปก็ยังหลังตรงแด่ว ไม่เมื่อยบ้างหรือไง หรือคนรวยที่ไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้ ขี้เก๊กชะมัด
"อะไรกันพี่" ปลาวาฬรีบพูดทันทีหลังเห็นว่าเมธัสเดินไปไกลแล้ว "ขายผมเป็นปลาหมอปลาช่อนเลยนะ ผมยังไม่ได้รับปากสักคำว่าจะรับงาน อีกอย่างพี่ไปบุลลี่เชฟเขาว่าเป็นเกย์ได้ไง ถ้าคุณเขาอาไปฟ้องเชฟโอบ โมฯ เราไม่ดราม่าเละเทะกันเหรอพี่"
"ฟ้องอะไรล่ะ เกลียดกันอย่างกับอะไรดี"
"เกลียด ?" เด็กหนุ่มทวนคำแบบงง ๆ
"ใช่ เกลียด" พี่อี๊ดพยักหน้าหนักแน่น "คนที่แกเห็นเมื่อกี้ชื่อเมธัส เศรษฐีอสังหาริมทรัพย์หนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าพ่อโครงการคอนโดติดรถไฟฟ้า นิสัยนี่ห่วยบรม ขึ้นชื่อไปทั่ว ใครดีลงานแล้วไม่แอบด่านี่มหัศจรรย์"
"พี่ก็เลยต้องร่วมนินทาด้วยงี้ใช่ปะ" เขาขัดคอ
"เออ นั่นแหละ สรุปว่าคุณเขาจะขึ้นคอนโดใหม่ กว้านซื้อที่ไว้หมดแล้ว เหลือผืนสุดท้าย ไข่แดงกลางโครงการเลย เสนอเท่าไหร่ก็ไม่ยอมขาย โปรเจกต์ช้ามาสองสามปีแล้ว ท่าทางจะหงุดหงิดหนัก ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน"
พี่อี๊ดยื่นสมุดสรุปงานมาให้ดู ผมเปิดดูคร่าว ๆ ข้างในเป็นรูปเชฟโอบ ประวัติร้าน รีวิวต่าง ๆ ที่มีคนเคยพูดถึง
"กะเพราร้านนี้ไม่มีถั่วฝักยาว"
"ใช่ ร้านที่ฉันส่งแกไปกินนั่นแหละ"
"โห... พี่จะให้ผมไปอ้อนวอนเชฟโอบให้ยอมขายร้านให้คุณเมธัสเนี่ยนะ พี่บ้าปะเนี่ย แค่อ้าปากยังไม่ทันจบประโยค ผมก็คงโดนตะหลิวฟาดจนสลบละมั้ง" เขาส่ายหน้าและดันสมุดงานคืน
"มันไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบนั้นน่ะสิ"
ท่าทางพี่อี๊ดมีลับลมคมในจนน่าหมั่นไส้
"ตอนนี้เหมือนเชฟโอบจะต้องการใช้เงินด่วน แต่จะขายร้านออกมาตรง ๆ ก็กลัวว่าเมธัสกรุ๊ปจะไปทุ่มซื้อได้ เชฟแกเลยมีเงื่อนไขออกมา ร้ายพอกันนั่นแหละคู่นี้"
"เงื่อนไข ?"
"เชฟโอบจะยอมเซ้งกิจการต่อให้กับคนที่เชฟโอบยอมรับให้เป็นผู้สืบทอดร้านเท่านั้น ใครที่สนใจก็ต้องไปสมัครเป็นเด็กฝึกงานที่ร้าน หัดงานครัว ทำอาหารจนคล่องแคล่ว เอาชนะใจเชฟแกได้เมื่อไหร่ เขาถึงจะยอมขาย"
เขาไม่อยากนึกเลยว่าเผลอทำหน้าเหวอไปขนาดไหนตอนฟัง
"บ้าไปแล้ว"
"ไม่บ้าหรอก เชฟเกลือนั่นแหละมือวางอันดับหนึ่งที่คาดว่าจะเซ้งร้านได้ไป ฉันจะส่งแกเข้าไปยึดร้านนั้นมาให้ได้ จำไว้นะปลาวาฬ ตอนนี้พุงแกหลามแบบนี้ กางเกงในที่ไหนจะจ้างแกไปถ่ายแบบ วิธีการเดียวที่แกจะเอาชีวิตรอดคือใช้เวลา 2 เดือนที่หยุดออกกำลังกายนี่รับงานนี้ซะ งานนี้ได้เงินก้อนใหญ่ มิหนำซ้ำแกอาจจะไม่ต้องมาถอดเสื้อถอดกางเกงทำมาหากินแล้วก็ได้ แกอยากเปิดฟิตเนสนี่ เอาเงินนี่แหละไปทำทุน"
พี่อี๊ดพูดยาวเหยียดแบบไม่เปิดโอกาสให้ได้เถียงแม้แต่วลีเดียว ตอนแรกเขาก็คิดจะขัดให้เต็มที่ แต่พอได้ยินคำว่าเปิดฟิตเนส ใจเขาก็เริ่มอ่อนระทวยยังไงก็ไม่รู้
"ได้เงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอพี่ ?" เขาแบ่งรับแบ่งสู้
"เงินให้เปล่า 50,000 บาท ขอแค่แกไปทำงานที่ร้านเชฟโอบ" พี่อี๊ดทำท่าจิ้มเครื่องคิดเลข "ถ้าแกทำสำเร็จ แกจะได้เงินอีก 1 ล้าน นี่ยังไม่รวมกำไรที่แกอาจจะได้จากการขายบ้านให้เมธัสกรุ๊ปอีก"
เขาเริ่มจินตนาการ เลขศูนย์ในหัวมันเยอะแยะละลานตาไปหมด
"คิดดี ๆ นะไอ้ปลาวาฬ แกรับงานทีละหมื่นสองหมื่นแบบนี้ไปจนตายก็ไม่รวย รับงานนี้ทีเดียวได้เหนาะ ๆ หลักล้าน หาเซ้งฟิตเนสสักสี่ห้าแสน แกก็ยังเหลือเงินเก็บอีกเยอะแยะ คิดดี ๆ นะ ฉันไม่ได้ให้งานนี้กับใครก็ได้นะเว้ย ฉันเลือกแกเสนอให้คุณเมธัสไปคนเดียว"
"พี่จะให้ผมไปยั่วเชฟโอบเหรอ มันไม่มากเกินไปเหรอพี่ เซ็กชวลฮาราสเมนต์อะ แล้วถ้าผมเกิดพลาดเสียตัวขึ้นมาทำไงอะ พี่จะรับผิดชอบเหรอ" อันนี้เรียกว่ากระบวนการโก่งค่าตัว
"ไอ้ปลาวาฬ! กูให้มึงไปเป็นเชฟฝึกหัด ไม่ได้ให้ไปขายตัว" พี่อี๊ดชี้หน้าคาดโทษมาแบบขำ ๆ
"แหม... ทีเมื่อกี้พี่ขายผมยังกับนางงามตู้กระจก อีกหน่อยผมก็ได้เบอร์ติดหน้าอกแล้วเนี่ย" เขารีบเถียงทันที
"เขาเรียกว่าเทคนิคการเจรจาต่อรอง" พี่อี๊ดส่ายหน้าอย่างเอือมระอา "สรุปว่าแกไปเป็นเชฟฝึกหัดในร้านนั้น ชิงตำแหน่งผู้สืบทอดร้านมาให้ได้ ทำยังไงก็ได้ให้เชฟโอบรักแก หลงแก ยอมขายกิจการให้แก หลังจากนั้นก็แยกย้าย แกได้ 80 ฉันได้ 20 จบปิ้ง"
"โห... งานแบบนี้ยังคิดค่านายหน้าอีก"
"จะทำไม่ทำ ?"
"พี่เอาค่าคอม 10% ก็พอมั้งพี่ งานยากแบบนี้"
"จะทำไม่ทำ ?"
ปลาวาฬกลืนน้ำลายลงคอพลางทำท่านึก แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นการแสดงล้วน ๆ โชคดีว่าเรียนแอคติ้งคลาสมาบ้าง ที่ทำอยู่ก็น่าจะไม่ดูปลอมเท่าไหร่นัก คิดไปคิดมาแล้วก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าออกหัวได้เงินหลักล้าน ถ้าออกก้อยก็ยังได้ค่าเหนื่อยมา 40,000 บาทเน็ต ๆ แถมยังน่าจะได้กินกะเพราในร้านในฝันทุกวันอีก คิดยังไงก็คุ้ม คิดถึงตรงนี้น้ำลายก็ไหลอีกแล้ว อยากเจอเชฟ...เอ๊ย! อยากกินผัดกะเพราฝีมือเชฟอีกเร็ว ๆ จัง
"รับก็ได้พี่ เห็นแก่พี่เลยนะ"
"เออ ก็แค่นี้แหละ ...ว่าแต่แกทำอาหารเป็นหรือเปล่านะ ?"
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมเพิ่มในคลังหนังสือด้วยน้า ʕ→ᴥ←ʔ
...................
ขอฝากช่องทางการติดตามผลงานของนายพินต้าไว้หน่อยน้า
Facebook: นายพินต้า - ninepinta
Twitter: @NINEPINTA
IG: ninepinta