ณ ตอนนี้ เป็นเวลาประมาณ 14 : 10 อยู่ในคาบบ่ายหลังเวลาพักเที่ยงซึ่งเป็นคาบที่ 5 ดังนั้นนักเรียนหลาย ๆ คนในตอนนี้ต้องเกิดอาการง่วงอย่างแน่นอน เพราะนี่คือคาบที่นักเรียนผ่านการกินข้าวแล้วทำให้เกิดกระบวนการย่อยอาหารขึ้นซึ่งกระบวนการที่ว่าใช้พลังงานมากทำให้เกิดอาการง่วงซึมขึ้นได้ ที่โบราณกล่าวไว้ว่า "หนังท้องตึง หนังตาหย่อน" คงจะเกิดมาจากการกินอาหารแล้วง่วงแบบนี้ ทางโรงเรียนที่เล็งเห็นปัญหานี้จึงมอบหมายให้ 'ฝ่ายวิชาการ' ซึ่งเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของคุณครูทุกคนในทุกระดับชั้น จัดให้วิชาที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียนไม่ให้หลับไปซะก่อนไปอยู่ในคาบบ่าย โดยที่นักเรียนก็ต้องตั้งใจเรียนด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงจัดวิชาของผมไปไว้ท้ายสุด เพราะคาบของผมมีความน่าสนใจมากที่สุดยังไงล่ะ! สงสัยแล้วละสิว่าผมสอนอะไรงั้นผมจะบอกให้ละกันตั้งใจอ่านดี ๆ ล่ะ
"สวัสดีนักเรียนทุกคน ขอต้อนรับสู่วิชา 'การสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบของสื่อดิจิตอลและการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์' หรือเรียกย่อ ๆ ว่า 'วิชา Digital' "
วิชา Digital ที่ผมเป็นคนสอนบอกได้เต็มปากเลยว่าเหนื่อยสุด ๆ เพราะผมต้องสอนควบไปสองอย่างคือ การสร้างสื่อดิจิตอล เป็นการตัดต่อภาพ วิดีโอ แสง สี เสียง หรือการถ่ายทำคลิปต่าง ๆ ตั้งแต่การถ่ายคลิปตัวเองไปจนถึงการถ่ายสารคดีที่สมบูรณ์แบบ และก็อีกอย่างหนึ่งก็คือการเขียนโปรแกรมแล้วรันไม่ให้โปรแกรมที่เราเขียนบกพร่อง ก็ตามชื่อหลักสูตรเลยคือการเรียนเขียนโค้ดซึ่งมันยากกว่าหลักสูตรที่ผมพูดไปในตอนแรกมาก ครูที่สอนจึงต้องมีความรู้ของทั้งสองหลักสูตรเพื่อให้สามารถให้ความรู้แก่นักเรียนได้อย่างครอบคลุมมากที่สุดซึ่งผมที่สอนได้ก็เก่งแบบนี้แหละครับเป็นเรื่องธรรมดา แค่ไม่มีใครเห็นความเก่งในตัวผมเท่านั้นเอง กระซิก ๆ
"ถ้างั้นจะขอแนะนำวิชานะครับ วิชาที่พวกคุณเรียนอยู่..."
"Stop! อธิบายอีกแล้วหรอคะ? เบื่อแล้วอะรีบ ๆ สั่งงานมา เดี๋ยวเสียเวลาทำกันพอดี"
ในขณะที่ผมกำลังจะอธิบายหลักสูตรของวิชานี้ทันใดนั้นเองก็มีเสียงและหน้าที่คุ้นเคยยกมือข้างขวาขึ้นมาแล้วเอาตาจ้องมาที่ผมอย่างเบื่อหน่ายแล้วพูดขัดผมขึ้นมา ผมมองดูดี ๆ แล้วผมก็นึกได้ว่านี่มันรองหัวหน้าห้องที่ผมเป็นครูประจำชั้นอยู่นี่เอง เพราะผมไม่ได้ตรวจดูตารางสอนก่อนว่าผมสอนห้องไหนเลยทำให้เพิ่งรู้ว่าผมสอนห้องของตัวเองอยู่
ปกติห้องที่ผมใช้สอนวิชานี้จะเป็นห้องที่อยู่อีกที่หนึ่งกับตึกของม.6 จากตึกม.6 เดินตรงมาเรื่อย ๆ จะเจอห้องกระจกที่ไม่เล็กมากและไม่ใหญ่มาก ข้างในมีโต๊ะยาวตั้งอยู่กลางห้องเป็นโต๊ะยาวที่โต๊ะทำมาจากกระจกใส ส่วนขาตั้งโต๊ะก็ทำมาจากเหล็กสีดำดูก็รู้แล้วว่าเป็นโต๊ะที่ราคาแพงมาก คอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมี 20 ตัวเป็นยี่ห้อชื่อดังที่มีชื่อเสียงกระช่อนโลกเรื่องการทำงานต่าง ๆ เช่นพวกงานกราฟิกดีไซน์ หรือพวกงานที่ต้องใช้โปรแกรมเฉพาะทางต่าง ๆ ในการทำก็มีอยู่ในเครื่องนี้ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นห้องที่มีราคาแพงมากหากนับรวมของที่อยู่ในนี้ทั้งหมด
"เฮ้อ ก็รู้อยู่หรอกสักวันก็ต้องเป็นอย่างงี้แหละนะ หนอนน้อยที่หัดกระดึ๊บ ๆ ในวันนั้นตอนนี้มีปีกที่เป็นผีเสื้อแสนสวยงามแล้วบินไปจากรังล่ะนะ"
"เดี๋ยวก่อน ๆ อย่างแรกเลยคือการเปรียบเทียบของมาสเตอร์อยู่ในระดับที่แย่มาก อย่างที่สองคือผีเสื้อมันไม่ได้ออกมาจากรังมัน แต่มันออกมาจากดักแด้ต่างหาก"
"ใช่สิ๊! พอมีความรู้มากขึ้นก็เถียงครูที่สอนตัวเองมากับมือ ก็เป็นซะแบบนี้แหละนะเด็กสมัยนี้"
"อะไรของมาสเตอร์เนี่ย!"
"เชอะ!"
"ยัง"
"เชอะ!!"
"ยัง!"
"เชอะ!!!"
"ยังไม่หยุดอีก!"
ไม่รู้ว่ามันกลายมาเป็นบทสนทนามุกตลกแบบนี้ได้ยังไงแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าถึงเวลาต้องสอนแล้วสั่งงานให้กับนักเรียนซะแล้ว
.
.
.
เวลาผ่านมาประมาณ 20 นาที
"เอาล่ะถ้างั้นมีใครสงสัยเรื่อง 'เทคนิคการถ่ายภาพ' ที่เพิ่งสอนไปไหมครับ?"
"มีค่ะ"
"อ้าววว ทำไมไม่ตั้งใจฟังที่สอน!!"
"อ้าว..."
"หยอก ๆ ไม่เข้าใจตรงไหนล่ะ นาวา"
"ไม่เข้าใจว่าทำไมมาสเตอร์ถึงมาสอนค่ะ"
"เอ้า..."
"หยอกเล่นค่ะมาสเตอร์"
ตอนนี้ต้นสอนเสร็จแล้ว ซึ่งสิ่งที่ต้นสอนให้เหล่านักเรียนคือเทคนิคการถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายรูปแล้วต้นก็สั่งงานต่อ
"เอาล่ะ งานนะครับ ให้นักเรียนจับคู่กันถ่ายภาพตัวเองคนละ 1 แบบแล้วเอาภาพที่ได้มาแต่งรูปโดยใช้โปรแกรมตัดต่อภาพที่เรียนไปเมื่อปีที่แล้ว ส่ง 4 โมงหรือหลังเลิกเรียนนะ"
พอพูดสั่งงานเสร็จต้นก็เข้าไปในห้องข้างหลังซึ่งเป็นห้องที่เอาไว้ทำงานของต้น ห้องนี้จะเป็นห้องที่มีอุปกรณ์ถ่ายทำเยอะมากเช่นพวก แสงไฟ ฉาก ไมค์ ลำโพง กล้องถ่ายรูป หรือแม้กระทั่งกล้องที่เอาไว้ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ก็มีแน่นอนว่าอุปกรณ์ที่อยู่ในห้องนี้ทุกอย่างอยู่ในระดับที่มืออาชีพใช้กันและราคาก็แพงมากด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่ในห้องนี้จะเป็นของโรงเรียนทั้งนั้น แต่ก็มีบางอย่างที่ผมซื้อมาเพื่อที่จะเอาไปรับงานข้างนอกมาทำเองในช่วงที่ผมร้อนเงินมาก ๆ
ต้นเข้ามาในห้องนี้เพื่อที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปไปให้นักเรียนยืมไปทำงานที่ผมสั่ง นักเรียนมี 12 คน เพราะฉะนั้นต้นเลยหยิบกล้องไป 6 ตัวเพื่อที่จะให้ครบคู่พอดี ต้นออกมาจากห้องข้างหลังพร้อมกับกล้องที่เขาหยิบมาแล้วนักเรียนก็ค่อย ๆ จับคู่มาหยิบกล้องจากต้นไป
และแน่นอนว่าการทำงานกันเป็นกลุ่มหรือเป็นคู่นั้นจะต้องมีสักคนที่ไม่มีกลุ่มให้อยู่ด้วยเพราะเพื่อน ๆ จับคู่กันหมดแล้ว และคน ๆ นั้นก็คือหัวหน้าของห้อง 10 นั้นเอง
"มาสเตอร์ครับผมไม่มีคู่"
"มาสเตอร์คะหนูไม่มีคู่"
"ห๊ะ? มึงเนี่ยนะไม่มีคู่?"
"เออดิ! ก็อายไม่คู่กับกูอะ แล้วมึงอะทำไมไม่มีคู่?"
"สภาพเดียวกันนั้นแหละ"
"น่าสมเพชชะมัด"
"แหม่ มึงก็ต่างกันหรอกอีนาวา!"
"จะเอาหรอยะ! ไอปัน"
"โอ้ว สองคู่กัดของห้องที่ไม่มีคู่งั้นรึ หึ ๆ ๆ"
"เอ่อ...ขำทำไมครับ/คะ?"
ต้นทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างที่น่าสนุกมากแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแบบไร้เดียงสา
"งั้นก็คู่กันไปเลยสิ!"
"เอ๋~!"
ดูจากท่าทางของทั้งคู่แล้วเหมือนว่าสองคนนี้จะเป็นคู่กัดกันมาโดยตลอด ให้มาคู่กันก็คงจะมีสภาพอย่างที่เห็นนี่แหละ
"เดี๋ยวก่อนค่ะพวกหนูไม่ถูกกันนะคะ มาสเตอร์ก็รู้อยู่"
"ใช่แล้วครับ"
"ช่วยไม่ได้นี่นา ผู้ชายห้องเรามี 5 คน ส่วนผู้หญิงมี 7 คน มันก็ไม่แปลกที่ถ้ามีงานจับคู่แล้วพวกผู้หญิงกับผู้ชายคู่กันเองหมดเลยมันก็ต้องเหลือผู้ชายกับผู้หญิงอย่างละหนึ่งคนอยู่แล้วนี่"
"ให้คู่กับหมอนี่สู้ถ่ายเองดีกว่า!"
"ให้คู่กับยัยนี่ผมยอมไม่ส่งงานดีกว่า"
"ช่วยไม่ได้นี่นาตอนนี้กล้องมันเหลือแค่ตัวเดียวนี่"
"งั้นหนูจะทำคนเดียวค่ะ!"
"งั้นผมไม่ทำ!"
"นี่~ พูดอย่างงั้นจะดีหรอ งานนี้มีคะแนนพอที่จะเปลี่ยนเกรดได้เลยนาา อีกอย่างที่ให้จับคู่กันเพราะว่าอยากให้ถ่ายภาพของคู่ตัวเองมาให้ดีด้วยนะ"
"เชอะ! ยังไงหนูก็ไม่..."
"เข้าใจแล้ว!"
ตอนที่นาวากำลังจะตอบกลับต้นไปว่าจะไม่ทำงานนี้ก็โดนปันพูดตกลงขึ้นมาซะก่อน นาวาที่ได้ยินที่ปันพูดถึงก็ทำหน้าตกใจไปพักหนึ่งแล้วพูดตอบกลับปันไป
"ฉันไม่ได้อยากคู่กับนายสักหน่อย!"
"เอาน่า แค่ทำงานคู่กันเอง"
นาวาทำหน้าบูดให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนเธอกำลังจะบอกว่า 'ทำไม่ฉันต้องคู่กับคนอย่างนายด้วย' แต่เธอก็ยอมคู่กับปันในท้ายที่สุด
.
.
.
ตอนน้ีปันกับนาวาเดินออกมาข้างนอกด้วยกันเพื่อที่จะถ่ายภาพตามงานที่ต้นสั่ง
สวัสดีครับ ผมชื่อ ปัน เป็นหัวหน้าห้อง ม.6/10 ครับ ตอนนี้เป็นเวลา 15 : 10 เนื่องจากมาสเตอร์ต้นสั่งให้จับคู่กันถ่ายภาพมาส่ง ผมซึ่งเป็นของเหลือจากกลุ่มผู้ชายของห้องต้องมาจับคู่ทำงานกับผู้หญิงที่เป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็ก ในทุก ๆ วันตอนสมัยพวกเรายังเป็นเด็กพวกเรามักจะแกล้งกันไปกันมาแบบไม่หยุดหย่อนเหมือนกับหมาและแมวมาเจอกันแล้วเปิดศึกตีกัน ตอนประถมก็อยู่ห้องเดียวกัน ตอนมัธยมก็วนกลับมาเจอกันอีกมันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่านี่คือโชคชะตาของพวกเราหรือเปล่า พอพวกเราอยู่ด้วยกันมานานมากขึ้นความรู้สึกของผมก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป จากเด็กผู้หญิงที่ผมมองเธอเป็นศัตรูในตอนนั้นตอนนี้ผมไม่สามารถมองเธอเป็นศัตรูเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ความรู้สึกนี้ผมอยากจะบอกเธอไปจริง ๆ แต่ก็ไม่มีโอกาสเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือเปล่าที่ทำให้พวกเราไม่เคยญาติดีต่อกันเลยหรือเป็นเพราะผมที่ไม่มีความกล้ากันแน่ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าเธอจะคิดยังไงกับผม สายตาที่เธอมองมาที่ผมในตอนนี้คือสายตาที่ใช้มองผมในฐานะศัตรูคู่แค้น หรือมองผมในฐานะเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นคู่กัดกัน หรือมองผมในฐานะผู้ชายคนหนึ่งกันนะ...
"นี่! ช้าจังเลยนะ"
"เฮ้อ...คร้าบ ๆ กำลังเดินไปคร้าบ"
"เดินช้ากว่าผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าตัวเองแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน!"
"เธอจงใจเดินเร็วใช่มั้ย!"
ดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงสีส้มมาบนพื้นโลกแบบเต็มที่ ลมโชยนิด ๆ กลิ่นต้นไม้ที่โชยเข้ามาให้ความรู้สึกสดชื่น ในช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ พวกผมเดินหามุมถ่ายรูปดี ๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงที่สาดส่องมา
"นี่ถามหน่อยสิ ทะ...ทำไมปันถึงบอกว่าอยากคู่กับฉันล่ะ"
ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระอาทิตย์ที่สาดแสงสีส้มแดงมาหรือเป็นเพราะการระบายความร้อนของร่างกายของเธอกันแน่ ที่ทำให้หน้าเธอแดงได้ขนาดนี้
"ทำไมน่ะหรอ..."
"ก็...นายเกลียดฉันไม่ใช่หรอ"
เธอพูดออกมาพร้อมสีหน้าที่กำลังกังวลกับคำตอบของผม
"ก็เปล่านี่"
เธอทำสีหน้าดีใจนิด ๆ แต่ไม่แสดงออกมาสักพักก็ทำหน้าบึ้งตึงใส่
"แล้วทำไมต้องมาชวนทะเลาะตลอดเลยล่ะ"
"ก็...ถ้าไม่ชวนเธอทะเลาะก็ไม่รู้จะมองหน้าเธอยังไง..."
ผมตอบโดยที่เก็บอารมณ์ทางสีหน้าให้ได้มากที่สุด
"ฮ่า ๆ ๆ เหตุผลอะไรล่ะนั้น งั้น...ฉันให้ความร่วมมือก็ได้"
"จริงดิ ทำไมอะ?"
"แล้วจะถ่ายรูปที่ไหนล่ะ"
"เมินกันเลยรึ"
"ฉันมีที่หนึ่งที่อยากไปน่ะ"
"แล้วมันคือที่ไหนล่ะ"
"ตามมานี่!"
อยู่ดี ๆ เธอก็ให้ความร่วมมือผมเฉยเลย ผมเดินตามเธอไปเรื่อย ๆ ด้วยความมึนงง
เธอพาผมขึ้นไปบนตึกที่เป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ เธอพาผมเดินขึ้นบันไดของทางหนีไฟมาเรื่อย ๆ จนมาถึงชั้นบนสุด บนนี้บรรยากาศดีสุด ๆ ลมพัดกำลังดีเย็นสบาย อากาศสดชื่นเกินที่จะบรรยายออกมาได้เหมือนได้ค้นพบโลกใบใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
"นี่ปัน! มาดูตรงนี้สิ"
เพราะดาดฟ้าของตึกนี้ใหญ่มากทำให้นาวาต้องตะโกนเรียกผมที่กำลังมองดูวิวที่มุมอื่นของตึกอยู่
ผมเดินมาหาตามเสียงที่นาวาเรียกผม เธอชี้ไปทางด้านหน้าของเธอ ซึ่งมีสวนของโรงเรียนนี้อยู่ตรงหน้าของพวกผม
"ดูสวนของโรงเรียนเราสิ ถ้ามองจากมุมนี้จะเห็นเป็นรูปหัวใจล่ะ"
ผมลองมองดูหลายครั้ง มองยังไงผมก็ไม่เห็นเป็นรูปหัวใจสักที
"แล้วเธอเจอสถานที่ดี ๆ แบบนี้ได้ยังไงหรอ"
"ตอนที่เล่นไล่จับกับนายตอน ม.4 ไง"
"อันนั้นน่าจะเรียกว่าวิ่งไล่หากูดีกว่านะ"
"ฮ่า ๆ ๆ"
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา ลมที่พัดให้ต้นไม้ในสวนพลิ้วไหวทำให้เกิดเสียงลมพัดใบไม้ที่สบายหูมาก ๆ ทันทำให้ผมคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบและสบายแบบนี้นาวาก็พูดขึ้นมาพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข
"ที่นี่เหมือนสถานที่สำหรับเราสองคนเลยเนาะ"
ผมอึ้งกับคำพูดของเธอสักพัก ผมหันไปหาเธอที่กำลังมองดูสวนอย่างตั้งใจ แสงอาทิตย์สาดส่องมาตรงหน้าเธอแต่เธอหันตัวมาทางผมประมาณ 45 องศา ทำให้เกิดเงาบนใบหน้าและบนตัวเธออย่างชัดเจน
"แชะ"
ในเวลานั้นผมก็เผลอกดปุ่มถ่ายภาพเธอไปเสียแล้ว ผมไม่มั่นใจว่าในตอนที่ผมกดปุ่มถ่ายภาพเธอคิดอะไรอยู่ แต่ว่าผมมั่นใจความรู้สึกนี้ของผม ความรู้สึกที่ว่าไม่อยากปล่อยให้ภาพที่มีรอยยิ้มอันแสนมีค่าของเธอนี้หายไป ผมเลยกดปุ่มถ่ายภาพเธอไปโดยที่ไม่รู้ตัว
"เมื่อกี้นายถ่ายภาพฉันหรอ?"
นาวาทำหน้าตกใจเมื่อได้ยินเสียงกดปุ่มถ่ายภาพของผม ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไปทำให้นาวาโมโหนิดนึงแล้วพูดว่า
"งั้น...ขอถ่ายรูปของนายด้วยสิ"
เธอพูดออกมาโดยมีท่าทีเคอะเขิน ตาของเธอทั้งสองดวงจ้องมาที่ผมอย่างมีความหวัง
"เอาสิ"
"ได้หรอ!"
นาวาทำหน้าดีใจถึงที่สุดก่อนที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองจนกลับมาหน้าธรรมดาอีกครั้ง
ในระหว่างที่นาวาหามุมถ่ายภาพของผมอยู่ ผมก็ลองเอาเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หลายเหตุการณ์มาคิดว่าในตอนนี้เธอรู้สึกกับผมยังไง คู่กัดก็ไม่ใช่ ศัตรูก็ไม่เชิง ผมเป็นอะไรสำหรับเธอกันแน่นะ ความรู้สึกของผมในตอนนี้ควรจะบอกเธอไปในสักวันหรือเปล่านะ เธอจะรับได้ไหมนะ ว่าแต่ควาามรู้สึกของผมมันจะใช่ความรู้สึกนั้นจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าแค่ชื่นชมเธอหรอกหรอ
"นี่~ มายืนตรงนี้สิปัน!"
"โอเค ๆ"
ผมเดินมายังจุดที่เธอชี้มาแล้วเก็กท่าหล่อเท่ให้กล้อง ทุกอย่างพร้อมแล้วเธอเลยเริ่มถ่ายทันที
"จะถ่ายละนะ หนึ่ง สอง...."
เธอนับเลขไปสองเลขแล้วหยุดไป เอาหน้าออกจากกล้องมองมาที่ผมแล้วนิ่งไปสักพัก ผมไม่เห็นหน้าของเธอเพราะหน้าม้ากำลังบังอยู่
"นี่นาวา...เธอเงียบทำไมน่ะ ค้างท่านี้นานมันน่าอายนะ"
"นี่ปัน..."
"หืม? มีอะไรหรอ"
"ชอบนะ"
ทันใดนั้นลมก็พัดเข้ามาทำให้ผมของนาวาเปิดขึ้นทำให้ปันเห็นหน้านาวาที่แดงกว่าแสงอาทิตย์อัสดงเสียอีก คำพูดที่พูดออกมาจากปากเธอเมื่อกี้มันทำให้ผมติดสตั๊นไปพักนึง เหมือนโดนเมดูซ่าตัวเองแข็งเป็นหินอยู่อย่างนั้นประมาณ 2 นาที
"แชะ"
เสียงกดปุ่มถ่ายภาพจากกล้องของเธอทำให้ผมงงนิด ๆ
"ฮ่า ๆ ๆ ล้อเล่นหรอกย่ะ แค่อยากทำให้นายตกใจจนเสียหน้าเท่านั้นแหละ"
"อีนาวาาาา!"
"ฮ่า ๆ ๆ"
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง หนุ่มสาวสองคนกำลังวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนานทั้งคู่ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานและกำลังสนุกสนานกับช่วงเวลาไม่กี่นาทีนี้
สักพักทั้งคู่ก็เหนื่อยเพราะวิ่งไล่กันเลยพากันถ่ายรูปให้เสร็จแล้วเก็บของกันกำลังจะลงไป
"ไม่ได้วิ่งไล่จับกันอย่างเต็มที่อย่างงี้มานานแล้วเนอะ"
"นั้นสินะ"
เหตุการณ์เมื่อกี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องโกหกก็ตามแต่มันทำให้ผมมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกนี้ที่มีให้กับเธอนั้นคือความรู้สึก 'รัก' นั้นเอง ในตอนที่พวกผมกำลังเก็บของแล้วเตรียมจะลงไป ผมลองมองไปที่สวนดูอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมในตอนนี้ผมถึงเห็นสวนเป็นรูปหัวใจกันนะ มันทำให้ผมรู้สึกว่าความรู้สึกและมุมมองของมนุษย์นี่มันซับซ้อนจริง ๆ เลยนะ
.
.
.
ณ ห้องวิชา Digital ในระหว่างที่ต้นนั่งปิดไฟแล้วทำงานของตัวเองอยู่ก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามา
"มาสเตอร์ครับมาส่งงานครับ"
"ดีมาก ๆ แค่นี้ก็ทำได้ไม่ใช่หรอ"
"กว่าจะถ่ายได้ก็นานเลยค่ะ เพราะไอแว่นโง่ที่ไหนก็ไม่รู้"
"ด่าใครฟะ ยัยป้า!"
"หยุดกัดกันสักที!!!"
"ก็มันเริ่มก่อน"
"มึงนั้นแหละอีนาวา"
"ไปนั่งที่รอคนอื่นกลับมา ไป!!!"
ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เลิกเรียนแต่ต้นปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านก่อนเพื่อที่จะตรวจงานที่นักเรียนส่งมา
"เฮ้อ...ถึงจะถ่ายมาสวยกันทุกรูปเลยก็เถอะ แต่มันถ่ายมาผิดจากที่สั่งไว้กันหมดเลยไม่ใช่หรอฟะ!!"
ต้นตรวจงานเสร็จก่อนเวลา 16:00 หรือเวลาเลิกเรียนเลยจะรีบเดินไปห้องพักครูเพื่อที่จะไปร่วมงานฉลองของลิลลี่อย่างเร่งรีบ ต้นเปิดประตูออกไปอย่างเร่งรีบแต่ดันลืมล็อคประตูไว้แล้วเดินไปห้องพักครูอย่างเร่งรีบ
สักพักก็มีคนเปิดประตูห้องเข้ามาสวมหน้ากากไว้แล้วเดินอย่างค่อย ๆ ไปยังโต๊ะที่ต้นทำงานอยู่แล้วเซฟข้อมูลทุกอย่างของห้อง 10 และงานรวมถึงรูปภาพที่นักเรียนถ่ายกันมาเมื่อกี้ แต่ไม่สามารถเซฟข้อมูลลับของต้นได้เพราะมันไม่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของต้นเลยแม้แต่นิดเดียว คนสวมหน้ากากทำท่าทางไม่สบอารมณ์นิด ๆ แล้วเซฟข้อมูลทุกอย่างที่เซฟได้ลงในแฟลชไดร์ฟขนาดใหญ่แล้วรีบเดินไปที่ประตู หันซ้ายหันขวาพอรู้ว่าไม่มีใครก็รีบวิ่งออกไป