อุบัติเหตุวัยเด็กทำให้ ‘รามิล’ ต้องสูญเสียการมองเห็น เขาจึงไม่สามารถที่จะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับเด็กสาวคนหนึ่งได้ “โตขึ้นหนูจะเป็นเจ้าหญิงแต่งงานกับพี่เอง” เพราะว่าดวงตาที่ไม่สามารถคอยมองดูเธอเติบโต และปกป้องเธอได้อีกต่อไปเขาจึงไม่สามารถเป็นเจ้าชายให้เธอได้ ทำให้เขาต้องการที่จะปฏิเสธการแต่งงานระหว่างเธอ กับเขาที่ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการให้ ทว่ายิ่งใกล้ชิดความรู้สึก ความผูกพันก็ยิ่งถลำลึกเกินกว่าจะห้ามใจ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเธอยังเป็นเด็กน้อยที่เขาอยากจะปกป้อง เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นสาวน้อยเต็มวัยที่เขาไม่อยากรั้งอนาคตของเธอให้ต้องมาแต่งงานกับผู้ชายตาบอดอย่างเขา
บทนำ
ภายใต้โลกที่งดงามใบนี้ยังมีคนอีกหลายสิบล้านคนบนโลกที่ไม่สามารถมองเห็นความงดงามนี้ได้ด้วยตาของตัวเอง และหนึ่งในนั้นคือว่าที่สามีของเธอในอนาคตที่เขาไม่มีแม้โอกาสจะมองเห็นว่าหน้าตาว่าที่เจ้าสาวของเขาเป็นอย่างไร ผิวสีอะไร หรือแม้กระทั่งสายตาที่เธอมองเขาเป็นอย่างไร หลายคนคงไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวถึงต้องให้เธอแต่งงานกับคนพิการอย่างเขา หรือแม้กระทั่งอาจจะมีคำถามว่าทำไมเธอถึงยอมแต่งงานกับเขาทั้งที่เธอในวัยยี่สิบสองปีมีอนาคตมากมายรออยู่ ทำไมต้องเอาอนาคตตัวเองมาฝากไว้กับผู้ชายพิการทางสายตาคนนี้ ส่วนคำตอบสั้นๆ ของเธอก็คงจะเป็น
…เพราะว่าเขาเป็นคนมอบอนาคตให้เธอมาก่อน
ถึงแม้ว่าว่าที่สามีของเธอเท่าที่จำได้เขาแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเธอเลย ไม่ว่าเธอจะพยายามเปิดใจทำความรู้จักกับเขามากแค่ไหนสิ่งที่เธอจะได้รับกลับจากเขาคือความเงียบ หรือไม่ก็คำตอบสั้นๆ กับท่าทีที่ยุ่งตลอดเวลา เพราะถึงเขาจะมองไม่เห็นเหมือนคนทั่วไปแต่เขาก็สามารถเข้าทำงานตำแหน่งผู้บริหารที่บริษัทผลิตเครื่องสำอางชั้นนำได้อย่างไร้ที่ติโดยใช้การสื่อสารและการทำงานผ่านเสียง และอักษรเบลล์เป็นหลัก การที่เขาพยายามอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ให้คณะกรรมการในบริษัทเห็นว่าการผิดปกติทางด้านสายตาของเขาไม่มีผลต่อการทำงานทำให้เขาเป็นที่ยอมรับของทุกคนถึงแม้จะใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่นานหลายปี
ก่อนหน้านี้เธอจะจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสูญเสียการมองเห็นไปตอนอายุสิบเจ็ดปี ตอนนั้นเธอเองก็มีอายุประมาณสิบสามปียังจำได้ว่าเขามักจะมาเล่นเป็นเจ้าชายที่แสนดีให้เธออยู่เป็นประจำเรียกง่ายๆ ว่าเธอกับเขาสนิทกันมาก แต่พอเขาสูญเสียการมองเห็นไปเขาก็เริ่มตีตัวออกห่างจากเธออีกทั้งยังไปรักษาตัวอยู่ที่ต่างประเทศนานอยู่เกือบห้าปีทำให้ช่วงนั้นเธอไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามติดต่อเขามากแค่ไหนเขาก็ไม่ยอมติดต่อเธอกลับมา กระทั่งวันที่เขากลับมาเมื่อสี่ปีก่อนเธอถึงได้เจอกับเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ทำเหมือนกลับไม่รู้จักเธอไปแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปเธอเองก็มีแฟนคนแรกเป็นของตัวเอง เธอเริ่มคบกับแฟนคนแรกมาตั้งแต่เริ่มเรียนจบมัธยมปลายปีที่หก เราคบกันมาสามปีจนกระทั่งเธอเรียนอยู่ปีสามแฟนเธอก็นอกใจเธอไปมีคนอื่นทำให้ต้องเลิกรากันไป และนี้กลับเป็นโอกาสให้พ่อของเธอเสนอให้เธอแต่งงานกับเขา
ในช่วงชีวิตที่ว่างเปล่าถูกแฟนคนแรกนอกใจไปมีคนอื่นทำให้ตอนนั้นเธอยอมรับปากที่จะแต่งงานกับคนพิการเพื่อประชดชีวิต จนได้มีเวลามานั่งตกตะกอนความคิดตัวเองว่าแท้จริงแล้วการแต่งงานกับเขาเป็นสิ่งที่เธอควรทำ
เพื่อชดใช้อนาคตเขาที่เขายอมแลกมันกับเธอ
"วันนี้ลูกก็ไปหารามไหม"
"หนูก็อยากไปนะ แต่เดี๋ยวนี้พี่รามแทบจะไม่ให้หนูเจอหน้าเลย" 'อลิชา' ที่กำลังนั่งดมกลิ่นดอกไม้ตอบกลับไพโรจน์ผู้เป็นพ่ออย่างไม่จริงจังนัก เพราะทุกครัั้งที่เธอไปหาเขาเขาก็จะให้เลขามาบอกเธอว่าไม่ว่างพบให้เธอกลับไป
"พี่เขามีปมในใจเราเข้าใจพี่เขาหน่อยนะ"
"หนูเข้าใจ เข้าใจมากๆ ด้วยหนูเองก็อยากรับผิดชอบทุกอย่างให้ดีที่สุด"
"พ่อดีใจนะที่แกยอมแต่งกับรามน่ะ"
"ต่อให้ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่งอยู่ดี ถ้าปฏิเสธก็คงจะละอายใจเกินไป"
"พ่อรู้แล้วแหละว่าลูกพ่อจะตอบยังไง"
"หนูยอมแต่งแล้วไง ตอนนี้พี่รามเอาแต่ปฏิเสธการแต่งงาน"
"พ่อกับอาราคินเลยวางแผนไว้ให้ลูกแล้วไง"
"หมายความว่าไง"
"เรียนจบแล้วจะไปทำงานที่ไหนเหรอ"
"เอ้า พ่อไม่ให้หนูทำที่บริษัทเราเหรอ" อลิชาเงยหน้ามองไพโรจน์ด้วยสีหน้าประหลาดใจที่เขาถามเธอมาแบบนั้น เพราะธุรกิจที่บ้านของเธอคือการทำเครืื่องหอมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นก้านไม้หอม กล่นอโรม่า เทียนหอม เป็นต้นทำให้เธอตัดสินใจเข้าเรียนสาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเพื่อมาพัฒนาธุรกิจในครอบครัว
"นั่นสิเนอะ แต่ว่าเราก็พึ่งจบมาใหม่ๆ ลองไปฝึกงานที่อื่นดูไหม"
"ที่อื่นที่พ่อหมายถึงบริษัทพี่รามรึเปล่า" เธอกล่าวถึงรามิลด้วยชื่อเล่นที่เรียกจนติดปาก
"รู้ทันตลอดเลยลูกสาวคนนี้"
"พ่อไม่ต้องมาตีเนียนวางแผนอะไรไว้บอกมาเลยดีกว่าค่ะ" อลิชาหรี่ตามองจับผิดไพโรจน์อย่างรู้ทัน
"พ่อกับอาราคินว่างแผนให้เราไปฝึกงานที่บริษัทรามิลไงจะได้เจอกันบ่อยๆ พ่อฝากให้เราไปอยู่แผนกน้ำหอมให้แล้ว" ไม่ใช่แค่พ่อของเธอที่รู้ว่าเธอต้องการจะแต่งงานกับรามิล แต่ครอบครัวของเขาเองก็รับรู้และสนับสนุนเธอมาตลอดถึงขั้นเตรียมวันแต่งงานเอาไว้ให้ แต่ก็ถูกเขาบ่ายเบี่ยงไปทุกรอบ
"ว่าไงนะ!" อลิชามองหน้าพ่อตาค้าง เธอไม่คิดว่าทุกอย่างจะปุบปับแบบนี้
"พ่อให้ป้าสายเก็บเสื้อผ้าลูกให้แล้ว"
"เก็บเสื้อผ้า? แล้วทำไมต้องเก็บเสื้อผ้าด้วย"
"ลูกต้องย้ายไปอยู่กับพี่เขาน่ะ จะได้เดินทางไปบริษัทพร้อมกันไง"
"แบบนี้มันไม่ดูแปลกไปหน่อยเหรอยังไงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ สักหน่อยจะให้หนูย้ายไปอยู่กับพี่เขาเนี่ยนะ พ่อไม่หวงลูกสาวคนเดียวหน่อยเหรอ"
"จะช้าเร็วก็ต้องได้แต่งกันอยู่ดี พ่อก็แค่ผลักดันให้ได้กันสักที ไม่ใช่สิให้ลงเอยกันสักที ก็ไม่ใช่อีกให้เปิดใจให้กัน ใช่ๆ เปิดใจให้กัน คิดซะว่าทดลองอยู่ก่อนแต่งละลายพฤติกรรมกันแล้วกัน"
"พ่อทำแบบนี้พี่รามเขารู้รึยังเนี่ย"
"พ่อคุยไว้แล้วรามไม่ได้ว่าอะไร"
"พ่อพูดจริงรึเปล่าแค่จะเจอหน้ายังไม่อยากให้เจอแล้วนี่ให้หนูไปอยู่ด้วยเนี่ยนะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ"
"ถ้าอยากรู้ว่าทำไมวันนี้ก็ไปหาพี่เขาสิพ่อจองโต๊ะไว้ให้แล้ว"
"ตลอดเลยพ่ออะทำอะไรไม่เคยปรึกษาหนูเลย"
"ถ้าปรึกษาแล้วลูกจะเห็นด้วยเหรอ"
"แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว ดูพ่อทำแต่ละอย่างสิคนปกติที่ไหนเขาทำกัน" อลิชาได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย สงสัยวันนี้เธอคงเลี่ยงที่จะไปเจอรามิลไม่ได้อย่างน้อยก็ควรบอกให้เขามาพูดกับพ่อเธอเรื่องยกเลิกการทดลองอยู่ด้วยกันอะไรนี่ซะถึงแม้มันจะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ให้ได้เข้าใกล้เขาก็เถอะ
ทำท่าไม่อยากแต่งงานกับเธอปฎิเสธกำหนดวันงานแต่งอยู่ทุกรอบจะมาทดลองอยู่อะไรกันไม่เห็นจะเข้าท่าเลยสักนิด อลิชาได้แต่คิดตัดพ้ออยู่ในใจเพียงลำพังก่อนจะวางมือจากดอกไม้ตรงหน้าลุกเดินไปแต่งตัวที่ห้องนอนเพื่อออกไปพบกับรามิลตามนัด….ที่พ่อเธอจัดการนัดเอาไว้ให้