ตอนที่ 213 สาวกศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกันลางสังหรณ์ของกู่ฉิงซานก็ร้องเตือนขึ้นในทันที
ผู้ฝึกยุทธที่เก่งกาจมักจะมีสัมผัสการรับรู้ทางจิตวิญญาณ หากสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันเลือนลางของโชคชะตา มันมักจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างตามมาในภายหลัง
ตามปกติแล้ว นับว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะเกิดลางสังหรณ์ขึ้น
และคราวนี้ก็บังเอิญว่า ทั้งกู่ฉิงซานและพระสันตะปาปาก็บังเกิดลางสังหรณ์ขึ้นในเวลาเดียวกัน
กู่ฉิงซานเริ่มเค้นสมองเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวในทันทีว่า “หลังจากที่พวกเราเข้าไปในคฤหาสน์ ในช่วงที่งานเลี้ยงอาหารค่ำสิ้นสุดลง และงานเต้นรำกำลังจะเริ่มขึ้น ผมขอให้พวกคุณรีบถอนตัวทันที และกลับไปยังสถานทูต”
ผู้คนในรถหันมามองหน้าเขาด้วยความสงสัย
ท่านทูตเอ่ยถาม “จะเกิดอันตรายขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่หรอกครับ แต่มันจะเป็นการดีกว่าถ้าหากพวกคุณรีบกลับไปก่อน”
กู่ฉิงซาน “เทพธิดากงเจิ้ง”
“ฉันอยู่นี่”
“ตัวแผนมีการเปลี่ยนแปลง ผมขอให้คุณจัดรถเหินเวหาเตรียมไว้ที่สถานทูตให้เร็วที่สุด เมื่อกลุ่มของท่านทูตไปถึง พวกเขาจะได้เริ่มออกเดินทางได้เลยทันที”
“การจัดเตรียมจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า”
กู่ฉิงซานหันไปทางท่านทูตและกล่าว “ต้องขออภัยด้วยนะครับ เกรงว่าหลังจากถอนตัว พวกท่านคงต้องเร่งมือกันหน่อยแล้ว”
ท่านทูตพยักหน้า ในหัวกำลังขบคิด
ตัวแทนภารกิจคนนี้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเทพธิดากงเจิ้งได้เลยโดยตรง นี่เป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้ว่าภารกิจนี้สำคัญมากขนาดไหน และอำนาจพลเมืองของเขาก็จะต้องสูงมากทีเดียว เทพธิดาถึงรับฟังเขาอย่างว่าง่ายขนาดนี้
ท่านทูตเอ่ยปาก “เธอก็ต้องดูแลตัวเองด้วยล่ะ ถ้าพบเจอกับสถานการณ์อะไรที่มันยากเกินไป ก็จงอย่าลังเลที่จะถอนตัวกลับมายังรัฐบาลกลาง ไว้วันหน้าฉันจะเป็นพยานแก้ต่างในเรื่องนี้ให้เธอเอง”
กู่ฉิงซานหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ ตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจแล้วครับ”
ขณะนี้ รถยนต์ก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ตามรถยนต์คันอื่นๆ ที่เริ่มชะลอตัวลงเบื้องหน้า
ข้างหน้ามีอะไรเกิดขึ้นกัน?
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะขยายออกไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งไปถึงจุดตั้งด่านตรวจ
กองกำลังติดอาวุธของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น ปิดล้อมบริเวณโดยรอบไว้อย่างแน่นหนา
ผู้ฝึกยุทธในชุดคลุมยาวสีขาวยืนอยู่ที่นั่น ขณะที่มืออาชีพหลายคนกำลังปิดล้อมรอบตัวเขาอย่างใกล้ชิด
เขากวาดสายตามองไปยังเหล่ามืออาชีพทีละคนๆ ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก “ตอนนี้พวกเจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งยอมโยนตัวเองไปอยู่ในคุกทันที สอง เข้ารับการสอนสั่งจากข้า…ถ้าต้องการน่ะนะ”
แล้วจู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “และแน่นอน ว่าถ้าพวกเจ้าชนะ ข้าจะสั่งกองกำลังทั้งหมดในที่นี้ ปล่อยพวกเจ้าไป”
“นี่แกพูดจริงใช่ไหม?” มืออาชีพเอ่ยถามด้วยความไม่เชื่อถือ
“สาวกศักดิ์สิทธิ์มิเคยโป้ปด เจ้าเองก็น่าจะทราบเรื่องนี้ดี”
แม้ว่าจะเผยถึงรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่สายตาของสาวกศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังมองไปยังพวกเขามันกลับฟุ้งไปด้วยความเฉยเมย ราวกับว่ากำลังเฝ้าดูสิ่งมีชีวิตที่ถูกขังอยู่ในโรงฆ่าสัตว์อย่างไรอย่างนั้น
มืออาชีพหลายคนหันมาสบตากัน ฉันมองแก แกมองฉัน ในหัวใจของพวกเขาเริ่มเต้นถี่ระรัว
“อย่างนั้นพวกเราขอเลือกที่จะได้รับการสอนสั่งจากแก”
“ยอดเยี่ยม ตัดสินใจได้ดี”
“ถ้าพวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็เข้ามาได้เลย!”
มืออาชีพห้าถึงหกคนเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่ละคนทำท่าทางมือไปตามกระบวนท่ายุทธต่างๆ และวินาทีต่อมา ฉากการโจมตีอย่างรุนแรงและคลุ้มคลั่งก็เปิดม่านขึ้น
ชายในชุดคลุมสีขาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขายกสองมือขึ้นกอดอก และปล่อยให้การโจมตีอันดุดันหลากหลายรูปแบบกระแทกเข้าใส่ร่างกายตน
ชุดคลุมยาวถูกแรงปะทะจนหลงเหลือเพียงเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผยร่างกายอันเปลือยเปล่าช่วงบนของเขา ทว่าทั้งคนทั้งร่างกลับยังคงยืนนิ่งรับการโจมตีจาก น้ำแข็ง เปลวเพลิง คมกระบี่ ขวาน และอาวุธโจมตีอื่นๆ
หลังจากนั้นผ่านไปอีกหลายลมหายใจ
“ตายซะ!”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมมันถึงยังไม่ตายลงซะที?”
ในบรรดาผู้คนที่รายล้อม บางคนได้เอ่ยอุทานออกมา
เนื่องเพราะร่างช่วงบนของสาวกศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้กลับยังคงมิได้รับบาดเจ็บใดๆ แม้กระทั่งร่องรอยของบาดแผลก็ยังไม่มี
หากกล่าวกันในเรื่องของการถูกโจมตี มันกลับกลายเป็นมืออาชีพหลายคนที่รุมล้อมเองที่ได้รับบาดเจ็บโดยไม่มีสาเหตุ คนหนึ่งเริ่มล้มลง ตามด้วยอีกคนหนึ่ง
สาวกศักดิ์สิทธิ์ในชุดคลุมขาวมองดูเหล่าผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสบนพื้น และแม้จะยังถูกอีกฝ่ายโจมตีอยู่ แต่สองขาของเขาก็ยังเดินอย่างมั่นคงไปทีละก้าวๆ ก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น และย่ำลงบนคอของมืออาชีพคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ดวงตาของผู้ถูกกระทำกระตุกเล็กน้อย ตามด้วยร่างกายที่สูญสิ้นเรี่ยวแรงและแน่นิ่งไป ทว่าสาวกศักดิ์สิทธิ์ยังมิได้ยกเท้าออก หัวของเขาก้มลง เฝ้าชมผลงานชิ้นเอกที่ตนพึ่งรังสรรค์ขึ้นอย่างใกล้ชิด
เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“สัตว์ประหลาด! เจ้าหมอนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ!”
มืออาชีพที่ยังมีชีวิตอยู่หลุดปากออกมา จิตใจของเขาแทบจะพังทลายลงแล้ว
สาวกศักดิ์สิทธิ์หันไปมองเขา และกล่าวว่า “การหันคมอาวุธมาโจมตีข้า เปรียบดั่งเป็นการดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกใบนี้ทางอ้อม และสิ่งที่จะต้องแลกกับการล้างมลทินในครั้งนี้ก็คือความตาย!”
ในกระแสเสียงอันเย็นเยียบ เผยถึงร่องรอยของความชั่วร้ายอันล้ำลึก ขณะที่ฝ่าเท้าเบื้องล่างของเขาเริ่มเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะไปยังมัน และเขาก็พลันตระหนักได้ถึงรูปแบบของกระบวนท่านี้ได้ทันที
มันคือเทคนิคเทียนซวนที่แสนลึกล้ำอันเป็นเอกลักษณ์ของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ การไถ่บาป
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทคนิคเทียนซวน ‘การไถ่บาป’ ความเสียหายใดๆ ก็ตามที่โจมตีเข้ามา จะต้องได้รับการถูกส่งกลับคืนกว่าสองร้อยเปอร์เซ็นต์
และสาวกศักดิ์สิทธิ์ที่ครองครอบ ‘การไถ่บาป’ นี้จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ
คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์นั้นโหดร้ายมาโดยตลอด และไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม มืออาชีพทุกคนต่างก็ทราบกันดี ว่าเทคนิคเทียนซวนของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์นั้นน่าเกรงขามมากขนาดไหน
เพราะในอดีตที่ผ่านมา คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์นั้นแนบสนิทราวกับเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ได้มอบเมล็ดพันธุ์อันเลอค่าอย่างน้ำยาปลุกเทคนิคเทียนซวนให้แก่คริสตจักร ในขณะเดียวกันคริสตจักรก็มีหน้าที่ปกป้องราชวงศ์ และมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
จนกระทั่งในวันนี้ ที่ราชวงศ์ถูกสังหารลงโดยคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ หลงเหลืออยู่แค่เพียงแอนนาคนเดียวเท่านั้น
ชายร่างกำยำคว้าขวานยาวขึ้นมา ทั้งร่างกายระเบิดชั้นพลังของหวนคืนไร้ลักษณ์ และพุ่งเข้าตรงไปยังสาวกศักดิ์สิทธิ์
“จงหัวหลุดไปซะ!”
ชายร่างกำยำตะคอกคำหนึ่ง ขวานยาววาดฉีกอากาศอย่างแรงจนเกิดเสียงหวีดหวิว และเฉือนคมไปยังสาวกศักดิ์สิทธิ์โดยตรง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แสนดุดันเช่นนี้ สาวกศักดิ์สิทธิ์กลับยังคงยกมือกอดอกดังเดิม และไม่มีทีท่าว่าคิดจะหยุดมัน
“ขวานอย่างนั้นหรือ? ก็แค่อาวุธขยะ” เขาเอ่ยดูหมิ่น
บังเกิดแค่เสียง ‘ปัง!’ ที่หนักทึบ สัมผัสของคมขวานสับลงบนร่างของเขา มันให้ความรู้สึกคล้ายกระทบเข้ากับยางหนาๆ
สาวกศักดิ์สิทธิ์ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม มิได้รับบาดเจ็บใดๆ
เพียงแค่ใช้เนื้อหนังเพียวๆ เท่านั้น ก็สามารถป้องกันการโจมตีอย่างเต็มกำลังของอีกฝ่ายได้!
เรื่องแบบนี้น่ะมันชักจะบ้าเกินไปแล้ว!!
“นี่มันเป็นไปไม่ได้”
ชายกำยำคร่ำครวญออกมา ปากกระอักเลือดคำโต
สาวกศักดิ์สิทธิ์กางมือข้างหนึ่งออกไป แล้วคว้าคอของชายกำยำ
“นี่มันยังไม่ทำให้ข้ารู้สึกจั๊กจี้ด้วยซ้ำ เจ้าช่างน่าผิดหวังจริงๆ”
เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา และส่งพลังลงไปยังฝ่ามือข้างที่คว้ากุมลำคออยู่ในทันที
บังเกิดเสียง ‘แกร๊ก’ ครั้งหนึ่ง และคอของชายกำยำก็บิดงอ เอียงลงในมุมแปลกๆ
และชายคนนั้นก็สิ้นชีวิตลงในทันที
“เอาล่ะ การสองสั่งจบลงเพียงเท่านี้”
สาวกศักดิ์สิทธิ์โยนร่างไร้วิญญาณลงบนพื้น เอ่ยปากกล่าวด้วยความเบื่อหน่าย
คนในกองกำลังคริสตจักรหลายคนรีบยกถังไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมา และอีกสามสี่คนก็เดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
คนหนึ่งล้มตัวลงกับพื้น อีกสองคนโค้งตัวลง หันหน้าไปยังเบื้องหลัง ขณะที่อีกหนึ่งนั่งคุกเข่า
พวกเขากำลังสร้างบันไดมนุษย์
สาวกศักดิ์สิทธิ์เหยียบย่ำผ่านทั้งสี่คน ทิ้งรอยเลือดที่ติดอยู่บนฝ่าเท้าลงตามชุดคลุมของพวกเขา ไหลหยดย้อยตามเป็นทาง
และสาวกก็เข้าไปในถังไม้ขนาดใหญ่
หลายนาทีต่อมา สาวกศักดิ์สิทธิ์ก็ก้าวออกมาปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนพร้อมชุดคลุมยาวสีขาวตัวใหม่เอี่ยม
“ท่านครับ ท่านต้องการนำคนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับไปสอบสวนหรือไม่?” ทหารกองกำลังติดอาวุธคนหนึ่งเอ่ยถาม
บนพื้น ยังคงเหลือมืออาชีพที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แม้ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ทว่าก็เปรียบดั่งปลาที่ถูกจับขึ้นมาเหนือน้ำ ปากอ้าพะงาบๆ พยายามดิ้นรนหายใจ และใกล้จะตายลงในไม่ช้า
“ไม่จำเป็นเป็น ก็แค่พวกตะกอนขยะยิงมันทิ้งซะตรงนั้นนั่นแหละ” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา
“ทราบแล้ว!”
บังเกิดเสียงลั่นกระสุนออกมาจากรังเพลิง ดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ
สาวกศักดิ์สิทธิ์เอ่ยแนะ “อย่าลดความระมัดระวังลง จับตาดูพวกคนที่ดูน่าสงสัยต่อไป”
“ตรวจสอบให้แน่ใจว่างานเลี้ยงอาหารค่ำวันนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น”
“ขอรับใต้เท้า!”
กู่ฉิงซานเรียกจิตเทวะกลับคืน ใช้สมาธิไตร่ตรองอย่างเงียบๆ
นั่นคงจะเป็นหนึ่งในเจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรมานตนแห่งการไถ่บาป อีวานกล่าว
เขาเป็นตัวตนที่โหดร้ายและอันตรายยิ่ง ชอบที่จะอ้างคำว่าสอนสั่ง แต่แท้จริงแล้วก็แค่ต้องการที่จะฆ่าผู้อื่นเล่นๆ เท่านั้น
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของอีวานเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น โชคยังดีที่เขามิได้ฝึกฝนพลังวิญญาณ มิฉะนั้นเกรงว่าความแข็งแกร่งของเขาคงทะยานขึ้นไปถึงระดับขั้นก่อกำเนิด!
ในคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด นอกเหนือไปจากสมเด็จพระสันตะปาปา เหล่าสาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนับว่าเป็นตัวตนที่ครอบครองความแข็งแกร่งขั้นสูงสุด
ในเวลานี้ ช่วงที่กู่ฉิงซานได้เดินทางมายังจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงความกังวลเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือพระสันตะปาปาและสาวกศักดิ์สิทธิ์นี่แหละ
กู่ฉิงซานจีบมือใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ
ในวินาทีต่อมา ประกายแสงอ่อนๆ ก็ปรากฏขึ้นและยับยั้งระดับยุทธให้เป็นไปตามที่เขาต้องการโดยสมบูรณ์
ไม่นานนัก รถยนต์ของคณะทูตก็ค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ
ท่านทูตเปิดประตูรถ เดินออกมาดูสถานการณ์ข้างหน้า
มองไปยังข้างถนน มีรถยนต์มากกว่าสิบคันถูกจอดนิ่งอยู่กับที่ ทั้งหมดคงจะเป็นพวกที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยง
..........................................................