ตอนที่ 1259 ความลับของภัยพิบัติว่างเปล่า!
ในท้องนภา เด็กคนหนึ่งมองลงมาเงียบๆ
ถึงแม้เขาจะเด็กกว่าหลี่ซานหลาง แต่สีหน้าท่าทางของเขากลับดูไม่เหมือนเด็กอายุราวสิบปีแต่อย่างใด
…เทพราชาสัตว์อสูรคงอยู่ในร่างนี้
เสียงของเขายังไม่โตเต็มวัย แต่มันช่างเปี่ยมด้วยพลัง:
“นักบุญ ข้าคิดเสมอว่าเจ้าต่อสู้ได้ดี แต่ขาดวิจารณญาณในหลายๆ เรื่อง คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเปลี่ยนไป”
ขณะฟังคำพูดแรกยั่วยุของอีกฝ่าย กู่ฉิงซานกล่าวเสียงอ่อนว่า “ถ้าเจ้าถูกแมลงวันสิ้นโลกนับไม่ถ้วนกัดมาตลอดชั่วชีวิต เจ้าก็ต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน”
เทพราชาสัตว์อสูรนิ่งไป สายตาของเขาจับจ้องมา
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทุกคนเผยสีหน้ารำลึกถึงความทรงจำขึ้นมา
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกแบบเดียวกัน
มีใครในหมู่พวกเขาบ้างที่ไม่ขัดขืนผนึกของวันสิ้นโลก แม้จะแลกเปลี่ยนร่างกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านี้ในถ้ำหมื่นอสูรแล้ว พวกเขาจะหนีรอดจากการทรมานของวันสิ้นโลกได้หรือเปล่า
ความรู้สึกแบบนั้น พอมาคิดดูตอนนี้แล้ว แค่นึกย้อนกลับไปก็สุดจะทานทน
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด กู่ฉิงซานพบสถานที่ให้นั่งลง
เขาพิงหลังกับเก้าอี้สบายๆ ก่อนกล่าวกับพวกซานไห่ชีเสียว่า “พวกเจ้าไปปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นแล้วบอกว่าอย่าแตกตื่น”
…เมื่อครู่หลังคาถูกยกออกโดยหมัดของเขา ทำให้ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากในสำนัก
พวกหลี่ชุนเตากำลังตรงมาที่นี่
ซานไห่ชีเสียมองกู่ฉิงซาน จากนั้นมองเด็กบนท้องนภา
หลายสิบคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามล้อมทั้งแปดคนเอาไว้แล้ว พวกมันสามารถโจมตีพร้อมกันได้ทุกเมื่อ
ต่อให้อีกฝ่ายปล่อยพวกเขาไป แต่นักบุญก็ยังถูกล้อมอยู่ดีไม่ใช่หรือ
ซานไห่ชีเสียกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราจะอยู่ที่นี่เพื่อคุ้ม…”
“รีบไป” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น
ซานไห่ชีเสียมองกู่ฉิงซานก่อนรู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยวของเขา
นางกัดฟันก่อนพาคนออกไป
คนที่โอบล้อมยังอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ปล่อยให้อีกฝ่ายผ่านไปง่ายๆ
ตอนนี้ บนหอคอยสีดำ มีเพียงผู้แทนที่หลายสิบคนกับเด็กหนึ่งคนบนท้องนภาเท่านั้น
กู่ฉิงซานชี้ไปที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวว่า “เชิญนั่งก่อน ค่อยๆ คุยกัน”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ “นักบุญ เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
กู่ฉิงซานตอบอย่างสงบว่า “ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว หากเจ้าอยากโค่นข้า อย่าคิดว่าจะมีใครรอดเด็ดขาด”
เด็กกำลังจะพูดจาเหลวไหลอีกสองสามประโยค ใครจะนึกล่ะว่ากู่ฉิงซานจะกล่าวว่า “ซากศพวิญญาณชั่วร้ายกำลังจะตื่นขึ้นมา ตอนนี้ พวกเราอยู่ที่นี่เพื่อห้ำหั่นอีกฝ่ายให้ตาย ทำแบบนี้ไม่คิดว่าคนที่ดูอยู่จะหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ”
เด็กเปิดปาก แต่ไม่ได้พูดจาเหลวไหลอีก
กู่ฉิงซานมองเขาแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อข้าตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ควรกลั่นแกล้งคนที่อยู่เบื้องล่าง ถ้ามีเรื่องอะไร พวกเราก็ค่อยๆ คุยกันก็ได้”
สามประโยคที่กล่าวมาข้างต้นเรียงจากดุดันไปโอนอ่อน ประโยคแรกบอกว่าไม่หวาดกลัวที่จะสู้ ประโยคที่สองบอกว่าใครบางคนกำลังรออยู่ในความมืด สุดท้ายก็ยอมถอยออกมาแล้วขอให้อีกฝ่ายลงมาคุย…
ด้วยดวงตามืดมน กู่ฉิงซานพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
หากอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจมาสู้จนตัวตาย พวกเขาย่อมเลือกที่จะลงมาคุยก่อน
ไม่ใช่แค่นั้น เขาเห็นกู่ฉิงซานเผยสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมา ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าถึงกับเพิ่งได้รับข้อมูลมาก็เลยอยากคุยกับเจ้าน่ะ”
ข้อมูล!
สายตาของเด็กขยับ
ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดนี้ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงกับมีข้อมูลที่เขาอยากแลกเปลี่ยนอยู่ด้วย
นักบุญสงครามคือตัวตนที่สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ ไม่มีทางโกหกเรื่องแบบนี้แน่นอน
เด็กจ้องกู่ฉิงซาน จากนั้นพลันยิ้มออกมาแล้วโบกมือ
ในท้องนภา เงาดำหลายสิบร่างหายไปทันที
เด็กบินลงมาก่อนมานั่งฝั่งตรงข้ามกู่ฉิงซาน
“เจ้ามีข้อมูลอะไร” เด็กถาม
กู่ฉิงซานพิงเก้าอี้ กางแขนออกแล้วกล่าวว่า “นั่นก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ข้าคิดว่าพวกเราควรเริ่มจากเคลียร์เรื่องวิญญาณชั่วร้ายให้ชัดเจนก่อน”
“ง่ายๆ ข้าต้องการทุกสิ่งเกี่ยวกับวิญญาณชั่วร้ายนั่น ถ้ามีหนทางไปหกสุสานที่แท้จริง มันทั้งหมดก็ต้องเป็นของข้า” เด็กกล่าว
“แล้วของข้าล่ะ” กู่ฉิงซานถามสั้นๆ
“เจ้าน่ะหรือ เจ้าหมกมุ่นอยู่กับความลับทั้งหลาย ข้าสามารถบอกความลับในสุสานของหกภพได้หลังจากเรื่องนี้จบลงแล้ว ส่วนเทวภัณฑ์เขตแดนหกวิถี อย่าแม้แต่จะคิด”
เทวภัณฑ์เขตแดนหกวิถี
สิ่งนี้มันคืออะไร
กู่ฉิงซานสับสนก่อนกล่าวอย่างสงบว่า “สำหรับเรื่องนี้ ข้าต้องเตรียมการบางอย่าง หากไม่มีข้า การเดินทางของเจ้าอาจจะไม่ราบรื่นก็ได้”
“เจ้าจะเตรียมการอะไร” เด็กถาม
กู่ฉิงซานกำมือข้างหนึ่งเป็นรูปกำปั้น
แสงสีเหลืองอ่อนแผ่ออกมาจากกำปั้น
เด็กชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจและกำลังจะพูดบางอย่าง ทันใดนั้น แสงหมองหม่นเปลี่ยนไป
แสงทั้งหมดหายไปสิ้น ลมหายใจสั่นสะท้านมาจากกำปั้นของเขา
ถึงแม้ลมหายใจนี้จะคงอยู่เพียงสั้นๆ แต่ก็ทำให้เด็กรู้สึกถึงภัยคุกคามอันลึกล้ำ
เขายืนขึ้นทันทีแล้วตะโกนว่า “นี่มันพลังอะไรกัน!”
กู่ฉิงซานพูดออกมาห้าคำ “ภัยพิบัติว่างเปล่า”
สีหน้าของเด็กเปลี่ยนไป
เขาจ้องกำปั้นของกู่ฉิงซานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “นี่มันเป็นไปไม่ได้ พลังนี้ไม่ได้มาจากหกภพ หมัดของเจ้าคือ ‘ปู้โจว’… ตำแหน่งเทพใหม่ที่เจ้าได้รับคืออะไรกันแน่”
กู่ฉิงซานปิดปากโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
ความลับแค่นั้นมากพอจะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามก่อนจะเข้าใจทุกสิ่งได้
ความจริง ในช่วงการตื่นขึ้นตอนแรกของวิชาหมัด กู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบหนึ่งสิ่งแล้ว
หุ่นเชิดขุนเขา ไม่ให้อภัย หมื่นเงาและภัยพิบัติว่างเปล่าสอดคล้องกับสี่พลังเหนือธรรมชาติของดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพ:
ผู้พิทักษ์ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ ทำลายกฎเกณฑ์ ชะตาชีวิตและอมตะ
ผู้พิทักษ์ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์สามารถควบคุมภูเขาล้อมเหล็กใหญ่ได้ ส่วนหุ่นเชิดขุนเขาสามารถฉกฉวยความคิดของผู้คนได้ ทำให้ผู้คนไม่สามารถควบคุมจิตใจและร่างกายได้
ทำลายกฎเกณฑ์สามารถทำการโจมตีด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์โดยไม่สนกฎเกณฑ์ทั้งหมดได้ มันสอดคล้องกับไม่ให้อภัย…
ไม่ให้อภัยสามารถทำลายวิชาทั้งหมดได้ แถมยังแผ่ขยายไปยังทุกสรรพสิ่งอีกด้วย
ส่วนอมตะ…
“อมตะ: พลังทั้งหมดในโลกสิบทิศไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับดาบเล่มนี้ได้”
มันสอดคล้องกับภัยพิบัติว่างเปล่า
“ภัยพิบัติว่างเปล่า: ‘หุ่นเชิดขุนเขา’ ‘ไม่ให้อภัย’ และ ‘หมื่นเงา’ ล้วนโจมตีใส่เป้าหมาย ทำให้สามารถกระตุ้นพลังภัยพิบัติว่างเปล่าที่หลงเหลืออยู่ในชิ้นส่วนของภูเขาล้อมเหล็กใหญ่มาโจมตีศัตรูได้”
“พลังของภัยพิบัติว่างเปล่า: นี่คือภัยพิบัติที่กระแทกใส่ภูเขาล้อมเหล็กใหญ่และทำลายพลังของ ‘อมตะ’ มันบันทึกความทรมานของทั้งหกภพเอาไว้”
คำบรรยายแบบนั้นทำให้กู่ฉิงซานเคลื่อนไหว
ยังไงเสีย ในฐานะธิดามากพรสวรรค์ของโลก จักรพรรดินีของเหล่าเทพ เรนี่โดลเพียงสามารถทำลายโลกชิ้นส่วนหกภพได้เท่านั้น
หวนคืนชาติภพหกวิถีที่สมบูรณ์และแท้จริงไม่น่าจะสามารถพ่ายแพ้นางได้
ถ้าอย่างนั้น ภัยพิบัติว่างเปล่ามาจากไหนกันล่ะ
ความลับของภัยพิบัติว่างเปล่าอาศัยอยู่ในรูปแบบหมัดนี้!
………………………………………