ตอนที่ 38 ความสงสัยในคราแรก!
“ผู้น้อยมู่หรงอี้เซวียน” น้ำเสียงเขาอบอุ่น พูดอย่างไม่ช้าและไม่เบาจนเกินไป
“ที่แท้ก็เป็นท่านอ๋องสามแห่งแคว้นแสงสุริยัน มิน่าถึงได้มีบุคลิกเช่นนี้”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า ดึงสายตากลับมามองผู้คนข้างกาย แล้วพูดยิ้มๆ “ท่านทั้งหลาย สัตว์เทวะเพิ่งถือกำเนิด เชื่อว่ายังอยู่ในป่าเก้าหมอบนี้เป็นแน่ พวกเราก็ใช้ฝีมือตัวเอง ดูสิว่าใครจะหาได้พบก่อนกัน!” ยามเขาพูดก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะใช้กระบี่บินไปหาบริเวณรอบๆ...
คนอื่นๆ เมื่อเห็นเขาจากไป ก็เกิดกลัวว่าตัวเองจะรั้งท้าย จึงแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว เพื่อเริ่มตามหารอบบริเวณนี้
ทุกคนด้านล่างเห็นพวกเขาไปกันแล้ว ทั้งหมดก็โล่งใจได้อย่างอดไม่ได้
ผู้ฝึกเซียนมาปรากฏตัวกันเจ็ดแปดคน ต้องรู้ไว้ว่าปกติพวกเขาส่วนใหญ่จะได้ยินเพียงนามของผู้ฝึกเซียน แต่ไม่มีวาสนาได้พบเจอ พอวันนี้ได้เห็นกลับตกใจกลัวแทบตาย
เมื่อเห็นเหล่าผู้ฝึกเซียนเจ็ดแปดคนขี่กระบี่เหินฟ้าไปด้วยท่วงท่าเช่นเซียน ในดวงตาเฟิ่งชิงเกอมีความมุ่งมาดปรารถนา นางมองมู่หรงอี้เซวียนที่ข้างกาย แล้วพูดเสียงเบา “พี่มู่หรง หากภายหน้ามีโอกาส พวกเราไปกราบเข้าสำนักเซียนเพื่อฝึกบำเพ็ญด้วยกันเถอะ!”
“ได้สิ” มู่หรงอี้เซวียนตอบรับเสียงอบอุ่น ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มบางๆ
พอได้ยินเขาพยักหน้ารับปาก ในใจนางก็หวานชื่น ถามเสียงอ่อนว่า “พี่มู่หรง เช่นนั้นพวกเราจะยังตามหาสัตว์เทวะอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
“มีผู้ฝึกเซียนหลายท่านนั้นอยู่ พวกเราก็ไม่มีโอกาสแล้ว ต่อให้หาเจอก็เกรงว่าจะนำมาซึ่งหายนะแห่งความตาย”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะกลับไปหรือ?”
ได้ยินเช่นนั้น มู่หรงอี้เซวียนมองนาง แล้วพูดเสียงอบอุ่น “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ให้องครักษ์ตระกูลเฟิ่งไปส่งเจ้า ข้ายังต้องไปช่วยท่านฉินเก็บโคลนจากบ่อน้ำใจกลางที่ปากภูเขาในส่วนลึกสุดของป่าเก้าหมอบอีก”
“ข้าจะไปกับท่าน”
นางดึงแขนเสื้อเขาพลางเขย่าเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงอ่อน “พี่มู่หรง ข้ายังไม่อยากรีบกลับนัก ข้าอยากตามท่านไป”
“ส่วนลึกของป่าเก้าหมอบต่างจากที่นี่ อันตรายที่พบเมื่อลึกเข้าไปในทุกสามสิบจั้งล้วนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะบ่อน้ำใจกลางตรงปากภูเขา ว่ากันว่าน้อยคนนักที่จะไปถึง เพราะที่นั่นมีสัตว์ร้ายขั้นสูงระดับสามเฝ้าอยู่ เจ้าเชื่อฟังข้า แล้วกลับบ้านก่อนเถอะ รอข้ากลับไปจะไปหาเจ้า”
ฟังเขาพูดเช่นนี้ ก็รู้ว่าคงไม่พานางไปด้วย จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ “ก็ได้เจ้าค่ะ! ข้าจะกลับบ้านไปก่อน ท่านกลับไปแล้วอย่าลืมว่าต้องมาหาข้านะเจ้าคะ”
“ได้สิ”
เขายิ้มเรียบๆ หลังจากมองนางแวบหนึ่ง ก็เรียกคนสิบคนจากพวกที่ตัวเองพามา และออกคำสั่งไปว่า “พวกเจ้าจงตามอารักขาคุณหนูเฟิ่งกลับจวน หากเกิดเหตุระหว่างทาง ข้าจะไต่สวนพวกเจ้า!”
“ขอรับ!” ทั้งสิบคนตอบรับอย่างเคารพ แล้วเดินตามหลังองครักษ์ตระกูลเฟิ่งไป
หลังจากเฟิ่งชิงเกอได้ยินคำพูดเขา นางก็ชื่นอกชื่นใจ ถึงจะบอกลาเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ และกลับไปก่อนโดยมีองครักษ์ตระกูลเฟิ่งคุ้มครอง
จนกระทั่งเฟิ่งชิงเกอค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกล รอยยิ้มบนใบหน้ามู่หรงอี้เซวียนก็ถูกเก็บไป สายตาอันลึกล้ำและสงบนิ่งมองลึกไปยังเงาร่างที่ไกลออกไปแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเก็บแววตานั้นลง ปกปิดความคิดและประกายในแววตา
อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วที่ได้ยินการเคลื่อนไหวจากด้านหลังพุ่งทะยาน กลิ้งไปที่ตีนเขาแล้วเก็บกลิ่นอายบนตัว มือหนึ่งกุมไข่สีทองในอกเสื้อไว้ พลางแนบตัวติดกับกำแพงดินด้านหลัง เธอพยายามใช้พุ่มหญ้าตรงหน้าพรางตัวเองเพื่อเลี่ยงการถูกพบ
ในช่วงหลายลมหายใจนั้น ผู้ฝึกเซียนคนหนึ่งเหยียบพาหนะลอยฟ้าบินผ่านมาจากกลางอากาศ ดวงตาเขากวาดมองลงมาในป่าด้านล่าง ตามหาสิ่งที่ต้องสงสัย
เฟิ่งจิ่วแนบตัวติดกำแพงดินไม่ขยับเขยื้อน กลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างกลางอากาศนั้นค่อยๆ ไกลออกไปจนหายลับไปอีกด้านหนึ่ง เธอถึงจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฮู่! อันตรายเกินไปแล้ว ไข่นี่เป็นปัญหาจริงๆ!”
เธอขมวดคิ้วถลึงมองไข่สีทองในอกเสื้อ พลางคิดว่าจะจัดการกับมันด้วยวิธีอะไรได้บ้าง?
…………………………………………………….