webnovel

ภาคต่อตอนที่ 45 พลัดพราก    

หลังจากฝันร้ายคืนนั้นก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว แต่ความกังวลใจไม่ได้บรรเทาเบาบางลงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังติดตาตรึงใจดั่งเงาตามตัวยากจะสลัดให้หลุดออกไปจากหัวได้ ชิงหลินถอนหายใจออกมามืออวบขาวลูบท้องนูนใหญ่เก้าเดือนอย่างเบามือ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามือนางกำลังสั่นดวงตากลมโตฉายแววกังวลใจและหวาดหวั่นชัดเจน

"ฮูหยินน้อย เป็นอันใดไปเจ้าคะ?"เสี่ยวอี้เอ่ยถามนายหญิงด้วยสีหน้าเป็นห่วง เมื่อเห็นฮูหยินน้อยนั่งทอดถอนใจหลายคราว ความจริงช่วงเกือบสองเดือนมานี้ นางสังเกตว่าฮูหยินน้อยเงียบขรึมลงไม่ค่อยพูดค่อยจาเช่นแต่ก่อน อีกทั้งยังมีอาการเหม่อลอยแทบจะตลอดเวลา เห็นแล้วนางใจคอไม่ดีสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายกับฮูหยินน้อย

"ข้าไม่ได้เป็นอะไรแค่เบื่อที่ไปไหนมาไหนไม่ได้เท่านั้น"จำต้องโกหกคำโตเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ก่อนจะหันกลับไปมองดอกบัวหลากสีในสระ

"เช่นนั้นวาดรูปดีหรือไม่เจ้าคะ?"เสี่ยวสุ่ยเสนอความเห็นอย่างกระตือรือร้นหวังให้ฮูหยินน้อยอารมณ์ดี

"ไม่ล่ะ ข้าไม่มีอารมณ์"ส่ายหน้าปฏิเสธสายตายังคงจดจ้องไปยังสระดอกบัว

"เช่นนั้นลองชิมผลผิงกั่วสดๆนี่หน่อยไหมเจ้าคะ?"เสี่ยวอี้ยกจานผิงกั่วยื่นมาเบื้องหน้า

"ขอบใจวางไว้ก่อนเถิด ข้ายังไม่หิว"มองจานแอปเปิ้ลแวบหนึ่งแล้วไม่สนใจอีก นางไม่ได้อยากเรื่องมากหรือทำให้สาวใช้เป็นห่วง แต่ความทุกข์ใจเพราะฝันร้ายที่ไม่อาจบอกเล่าให้ใครฟังได้นี้ มันทำให้หมดอาลัยจนไม่อยากจะทำสิ่งใดแม้แต่การขยับตัว

สองสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ ที่ตนเองไร้ประโยชน์ไม่อาจบรรเทาความทุกข์ในใจของฮูหยินน้อยได้

"โอ๊ะ! เจ้าสองคนร้องไห้ทำไม?"ชิงหลินอุทานถามตกใจเมื่อเหลือบเห็นสองสาวใช้ที่นั่งอยู่ข้างขวามือร้องไห้แบบไร้เสียง

"เสี่ยวสุ่ยเจ็บใจตนเองที่ไม่อาจช่วยฮูหยินน้อยให้คลายทุกข์ใจได้เจ้าค่ะ"เสี่ยวสุ่ยปาดน้ำตาพยายามกลั้นก้อนสะอื้นอย่างสุดกำลัง เสี่ยวอี้เองก็รู้สึกเช่นเดียวกับน้องสาว แต่นางเลือกที่จะก้มหน้าร้องไห้เงียบๆไม่อยากเพิ่มความกังวลใจให้ฮูหยินน้อย

ชิงหลินได้ฟังก็พลันขอบตาร้อนผ่าว สองแขนดึงสาวใช้ซบลงกับไหล่ของตน ลูบหลังทั้งสองอย่างปลอบโยนแล้วกล่าว "ข้าไม่เป็นไรจริงๆ แต่ก็ขอบใจเจ้าทั้งสองที่อยู่เคียงข้างข้า เป็นห่วงข้าและดูแลข้ามาตลอด หากภพหน้ามีจริงขอให้เราเกิดมาเป็นพี่น้องกันเถิดนะ"

"ฮูหยินน้อย"เสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ยกอดเอวนายสาวแล้วสะอื้นไห้จนตัวโยน รู้สึกวูบโหวงในใจกับถ้อยคำของฮูหยินน้อยแต่ไม่กล้าจะกล่าวอันใดออกไป

ที่ด้านนอกศาลามู่หลิ่งเหวินพร้อมสี่องครักษ์ยืนมองภาพนายบ่าวกอดคอกันร้องไห้ด้วยความแปลกใจระคนไม่สบายใจ

"อุ....อุ๊ย...โอ๊ย!!..."

"ฮูหยินน้อย! ฮูหยินน้อย! เป็นอันใดเจ้าคะ?!"เสี่ยวอี้ร้องถามนายหญิงเสียงดัง

"หลินเอ๋อร์!!"แม่ทัพหนุ่มพุ่งพรวดเข้ามาถึงตัวภรรยารักอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าสองมือตะกองกอดร่างอวบอุ้ยอ้ายเรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงร้อนรน

"พี่เหวิน?ขะข้าปวดท้อง ปวดเหลือเกินเจ้าค่ะ อะโอ๊ย!!"ตอบสามีรักใบหน้าบิดเบี้ยวและมีเหงื่อซึม มือข้างหนึ่งกุมท้องส่วนอีกข้างกำอกเสื้อของสามีรักไว้แน่นจนเห็นรอยยับย่น

"จิ๋นอี้!! ไปตามหมอมาเร็วเข้า!"

"ขอรับ!!!"

"จิ๋นเอ้อ!! นำความไปแจ้งท่านแม่ข้าที่จวนมู่!!"

"ขอรับ!!

"จิ๋นซาน!! เจ้านำความไปแจ้งท่านแม่ยายข้าเร็วเข้า!!

"ขอรับ!!"

"จิ๋นซื่อ!! เพิ่มกำลังพล คุ้มกันจวนแม่ทัพ อย่าให้แขกไม่ได้รับเชิญกล้ำกรายเข้ามาได้เด็ดขาด!!"

"ขอรับท่านแม่ทัพ!!"

"หลินเอ๋อร์ ไม่ต้องตระหนกไปอีกประเดี๋ยวหมอก็มาถึงแล้ว"แม่ทัพหนุ่มกล่าวปลอบภรรยารักที่อยู่ในอ้อมแขน เท้าทั้งสองก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแต่ทว่านุ่มนวลราวกับเยื้องย่างบนปุยนุ่น ด้านหลังเป็นพ่อบ้านเจาที่พึ่งทราบเรื่อง สองสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์และบ่าวไพร่อีกจำนวนหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่นานด้านหน้าเรือนพักของแม่ทัพหนุ่มและภรรยารัก ก็เต็มไปด้วยญาติจากสองตระกูลที่มารวมตัวกัน หกผู้ยิ่งใหญ่นั่งล้อมโต๊ะกลมที่ถูกยกมามาวางเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

"เหตุใดจึงนานนัก"มู่หลิ่งเหวินลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู มีความกังวลฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลายามที่หมุนตัวหันมากล่าว

"อะไรกัน? พึ่งจะผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามเจ้าก็ทนไม่ได้เสียแล้ว สตรีเวลาคลอดบุตรบางรายใช้เวลาหลายชั่วยาม ข้ามวันข้ามคืนเลยก็ยังมี"มู่ฮูหยินยกชาขึ้นจิบด้วยท่าทีสบายๆ ด้วยทราบรายงานจากหมอหลวงที่มาดูแลตลอดระยะเวลาเก้าเดือน ว่านางแข็งแรงดีรวมถึงบุตรในครรภ์

"อะไรนะขอรับ!?...นางต้องเจ็บปวดเช่นนี้นานถึงเพียงนั้นเทียวหรือ?"แม่ทัพหนุ่มปรี่เข้ามานั่งลงแล้วเอ่ยถามมารดาเสียงเครียด

"ขึ้นอยู่กับแต่ละคน เจ้าอย่าห่วงนักเลย หลินเอ๋อร์อยู่ในมือหมอทำคลอดผู้เชี่ยวชาญเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง นางย่อมต้องปลอดภัย"ชิงฮูหยินกล่าวคล้ายปลอบบุตรเขยของตน

"นั่นสิ...ในระหว่างที่รอ มาตั้งชื่อเด็กๆไปพลางดีรึไม่?"มู่หลิ่งฟู่เสนอความคิดเห็นลดความร้อนใจของบุตรชาย

"อา..ดี!...ข้าเห็นด้วย"ชิงหยวนตบเข่าฉาดอย่างชอบใจ

"แต่เรายังไม่รู้ว่าเพศของหลานเลยนะเจ้าคะ?"มู่ฮูหยินเอ่ยแย้ง

"แฝดหญิงชายขอรับ"แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น

"เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?"มู่หลิ่งฟู่หรี่ตาถามด้วยความประหลาดใจ แม้หมอจะมีความสามารถบอกได้ว่าสตรีใดตั้งครรภ์เดี่ยวหรือแฝดก็จริง แต่ตนยังไม่เคยได้ยินว่ามีหมอที่เก่งกาจถึงขั้นระบุเพศของเด็กในครรภ์ได้มาก่อน

"หลินเอ๋อร์...เป็นคนบอกเจ้าหรือ?"ชิงฮูหยินคาดเดา

"ขอรับ"แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าลงเล็กน้อย

"อา..ถ้าเป็นนางกล่าว...ก็ย่อมเป็นดังนั้น"

"..."ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของมู่ฮูหยิน

"....."ตลอดเวลาการสนทนาเฟิ่งอิงไม่ได้กล่าวคำใดออกมาเลย ดวงตาคมเรียวดุเอาแต่จ้องไปที่ประตูที่ปิดสนิท มีเสียงร้องครวญครางเจ็บปวดของน้องเล็กดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ คิ้วเข้มของชายหนุ่มวันสามสิบขมวดมุ่นด้วยความกังวลใจ ภาวนาให้นางและลูกปลอดภัย

"อาเฟิ่ง!...อาเฟิ่ง!.."

เสียงเรียกของชิงหยวนบิดาบุญธรรม เรียกสายตาเฟิ่งอิงให้กลับมามอง

"ขอรับท่านพ่อบุญธรรม"

"เจ้าคิดว่า สองชื่อนี้เป็นเยี่ยงไร?"ชิงหยวนวางกระดาษสีขาวมีตัวอักษรอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม

"...เหวินหลงกับหลิงเหม่ย ไพเราะดีขอรับ"เฟิ่งอิงกล่าวใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยน

"ดี!...ในเมื่อเห็นตรงกัน ก็ให้หลานของเราใช้นามนี้ก็แล้วกัน!"มู่หลิ่งฟู่ตบเข่าฉาดกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม

"นี่ยามใดแล้ว?"จู่ๆชิงฮูหยินก็เอ่ยขึ้น

"อืม..น่าจะเลยยามอุ้ยแล้วกระมัง? เจ้าถามทำไมรึเหม่ยหลิน?"มู่ฮูหยินตอบแล้วย้อนถามสหายสนิท

"เจ้าดูนั่นสิ"ชิงฮูหยินจูงมือฮุ่ยจื่อสหายสนิทออกมาแล้วชี้ขึ้นไปบนฟ้ากล่าวต่อ "ข้าจำได้ว่าตอนที่มาถึงท้องฟ้าสดใสเจิดฟ้ายิ่งนัก แต่เพลานี้..."ชิงฮูหยินตั้งข้อสังเกต ท่าทีสบายไร้ความกังวลกำลังถูกความเครียดขึงเข้ามาแทนที่ทีละน้อยในขณะที่หูก็ฟังเสียงร้องครวญครางของบุตรีซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่านางยังไม่คลอด

หรือจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้? ท้องฟ้าที่สดใสเจิดจ้าเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนกลับมืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ จนยามนี้คล้ายเวลาพลบค่ำไปแล้ว!

แม่ทัพหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังสี่สหายน้อย ดวงตาคมทรงเสน่ห์จดจ่ออยู่ที่ประตูไม่ยอมขยับ เสียงร้องครวญครางของภรรยารัก ได้ยินแล้วรู้สึกปวดแปลบในอกอย่างบอกไม่ถูก

ขณะเดียวกันทางด้านสี่สหายน้อยที่ยืนคอยนอนคอยอยู่หน้าประตู กำลังเคร่งเครียดไม่แพ้หกผู้ยิ่งใหญ่

"พี่ใหญ่..หมั่นโถวใจคอไม่ดีเลย"เจ้าจิ้งจอกน้อยที่นอนหมอบราบกับพื้นตรงหน้าประตูเงยหัวเรียวเล็กร้องบอกเป่าเปาน้อย "อย่าห่วง ข้าเชื่อว่าหลินหลินต้องปลอดภัย"เป่าเปาน้อยร้องตอบวางเท้าหน้าบนอุ้งเท้าของเจ้าหมั่นโถวน้องสาว

ฝ่ายฟงฟงน้อยเหลือบมองฟานฟานน้อยน้องชายที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา นับแต่หลินหลินถูกอุ้มเข้าไปด้านในจนถึงเพลานี้ก็กว่าหนึ่งชั่วยามแล้วต้องมีเหตุร้ายเป็นแน่เพราะในบรรดาพวกมันสี่ตัว ฟานฟานมีลางสังหรณ์แม่นยำและแกร่งกล้าที่สุด ทุกครั้งจะคอยเตือนให้รู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ แล้วเหตุใดคราวนี้น้องชายข้าเอาแต่เงียบไม่ยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องเช่นที่เคยทำเล่า?

"ฮูหยินน้อย!...เบ่งเจ้าค่ะ!...เบ่งอีก!...อึ๊บ!...อีกนิดเดียว..อีกนิดเดียว...ดีเจ้าค่ะ..อีกนิดเดียว..อา..ออกมาแล้ว!..."

"แว๊ๆๆ"เสียงร้องไห้จ้าสองเสียงของเด็กทารกทำเอาทุกคนถอนหายใจออกมาเสียงดังด้วยความโล่งใจ

โดยเฉพาะแม่ทัพหนุ่มที่ยินดีปรีดากว่าใครเมื่อได้ยินเสียงร้องของลูกน้อยทั้งสอง แต่เพียงวูบเดียวร่างแกร่งก็เครียดเกร็งขึ้นมากับท่าทางแปลกๆของสี่สหายน้อย ที่พร้อมใจกันยืนนิ่ง หันหน้าไปทางประตูที่ยังคงปิดสนิท มีเพียงใบหูกระดิกไปมาเล็กน้อยเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าพวกมันไม่ใช่รูปปั้น

"น้องเขย..มีอะไรรึ?"เฟิ่งอิงถาม แต่ยังไม่ทันแม่ทัพหนุ่มจะตอบประตูพลันเปิดออกพร้อมกับเสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย อุ้มทารกแรกเกิดที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าเนื้อดีสีแดงสดออกมาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ก่อนจะค่อยๆยื่นส่งให้ฮูหยินทั้งสองรับไปอุ้ม

"คุณชายน้อยเป็นพี่ และคุณหนูน้อยเป็นน้องสาวเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้รายงานผู้เป็นนายทั้งหลาย

"แล้วนางเป็นเช่นไรบ้าง?"แม่ทัพหนุ่มมองดูลูกน้อยของตนครู่หนึ่งก่อนหันมาถามถึงภรรยารัก ใบหน้าหล่อเหลายังคงฉายแววกังวลใจชัดเจน

"ฮูหยินน้อย!...ฮูหยินน้อยเจ้าคะ!...แย่แล้ว!...ข้าจับชีพจรนางไม่ได้!..."เสียงตะโกนของหมอทำคลอด ทำให้แม่ทัพหนุ่มพุ่งพรวดเข้าไปด้านในอย่างร้อนรนมีเฟิ่งอิงตามเข้าไปติดๆ

"เกิดอะไรขึ้น!!!?"แม่ทัพหนุ่มตวัดเสียงถามหมอทำคลอดร่างอวบอ้วน จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มของภรรยารักที่นอนหลับตาพริ้มหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษเขม็ง

"ทะท่านแม่ทัพ..ฮะฮะฮูหยินน้อย...ชีพจร...ฮูหยินน้อย..บ่าวหาชีพจรของฮูหยินน้อยไม่พบเจ้าค่ะ"หมอทำคลอดหญิงร่างอวบอ้วนหมอบราบกับพื้นร่างสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

Next chapter