webnovel

เป็นแฟนกันนะ

"อะไรกัน" กูณฑ์อุทานออกมาเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบ "นายมีเมียเป็นยักษ์เหรอ"

มลกุมขมับ ทักษะจับใจความหมอนี่แย่จริง ๆ "นางเป็นอสูร เทวอสุรีไม่ใช่ยักษ์ เผ่าพันธุ์ของนางเคยอยู่บนสวรรค์ดาวดึงส์มาก่อน จนถูกท้าวมัฆวานปฏิวัติ พวกเทวอสูรรูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากเทวดาหรอก"

"งั้นนายก็ได้เมียสวยน่ะสิ" กูณฑ์แซว

มลเบ้ปาก "ข้าไม่ได้อยากได้สักหน่อย อย่างไรข้าก็รักอุสาคนเดียว"

"ฉันคิดว่านายกับอุสาเป็นพี่น้องกันเสียอีก" เคียวขัด

"เหอะ แล้วเจ้ากับกูณฑ์เป็นอะไรกัน" มลย้อน

"ก็เพื่อนกัน" เคียวตอบ

กูณฑ์ถอนหายใจ เอาคางเกยที่ไหล่ของเคียว "ทำขนาดนี้แล้วเป็นได้แค่เพื่อนเหรอ"

มลหัวเราะ "ถ้าเจ้ากับกูณฑ์เป็นเพื่อนกัน ข้าก็เป็นพี่น้องกับอุสาเหมือนกัน"

"เรารีบเดินทางกันเถอะ" เคียวรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเข้าตัวไปมากกว่านี้

มลยิ้มเยาะ แต่ก็ไม่ได้ไล่เบี้ยเพื่อนอีก เขายกมือไหว้เทพารักษ์ พลางอธิษฐานหรือเรียกให้ถูกคือข่มขู่ว่า

"ท่านทำให้พวกเราเสียเวลาไปกับการไปปราบอสุรา ขอท่านช่วยย่นระยะทางให้เราไปถึงภูเขาสรรพยาโดยเร็วด้วยเถิด"

ด้วยฤทธิ์ของเทพารักษ์ทำให้พวกเขาไปถึงภูเขาสรรพยาได้ภายในเย็นวันนั้นเลย

"เกือบตาย" กูณฑ์ว่าพลางเดินโซเซลงจากเรือ เรือนี่แล่นเร็วกว่าเรือด่วนเจ้าพระยาเสียอีก เล่นเอาเขามึนไปหมด

พวกเขามายืนอยู่บนยอดเขาที่เรียบมาก ทั้งยังนุ่มนิ่มไม่ต่างอะไรกับแทรมโพลีน กูณฑ์เองพอหายมึนแล้วก็อดกระโดดเล่นไม่ได้

"ยะฮู้!" แต่ก็สนุกอยู่ได้ไม่นานเพราะพื้นลื่น ๆ ทำให้เขาล้มก้นจ้ำเบ้า "โอ๊ย!"

"สมน้ำหน้า" มลพูดเรียบ ๆ

กูณฑ์ยันตัวลุกขึ้นยืน จ้องมลเขม็ง

"ไม่มีเวลาเล่นแล้ว" มลว่า "เดี๋ยวข้าจะทำพิธีเรียกต้นยามาอยู่แถวนี้ เสร็จแล้วกูณฑ์ก็ใช้พลังไฟละลายน้ำแข็ง หลังจากนั้นข้าจะยิงธนูให้เกิดหลุม เสร็จแล้วให้เคียวยื่นมือไปจับให้เร็วที่สุด เข้าใจหรือไม่"

กูณฑ์และเคียวพยักหน้ารับ มลลงไปนั่งขัดสมาธิ หลับตาและเริ่มสวดคาถาทันที

กูณฑ์สังเกตเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวจากใต้น้ำแข็ง เขากำลังจะอุทาน แต่เคียวปิดปากเขาเอาไว้

"อย่ารบกวนสมาธิ" เคียวกระซิบ

เวลาผ่านไปสักพัก มลลืมตาขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้กูณฑ์ พอมลลืมตาขึ้น พวกที่เคลื่อนไหวอยู่ก็เหมือนจะหนีไป มลจึงรีบสวดคาถาต่อ

กูณฑ์รวบรวมพลังเวทละลายน้ำแข็ง เผยให้เห็นผืนดินและโสมคนที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่

มลหยิบธนูขึ้นมายิงไปที่พื้นดินทำให้เกิดหลุม ตอนนี้พวกโสมคนต่างพากันหนีตายกันจ้าละหวั่น

"จัดการมันเลย" มลสั่ง

เคียวใช้มือยาว ๆ ของเขา เอื้อมไปหยิบพวกโสมคน ส่วนมลก็นั่งลร่ายคาถากันไม่ให้พวกมันหนีไปไหน ในที่สุดเคียวก็เอาโสมคนทั้งสี่ออกมาจากใต้ดินได้

มลหยุดร่ายคาถา หันมาชื่นชมผลงานอย่างพึงพอใจ

"เราได้เกือบครบแล้ว" มลว่า ตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากอาศรม เขาไม่เคยมั่นใจเลยว่าจะทำสำเร็จ แต่ตอนนี้พวกเขาเกินครึ่งทางแล้ว

"เราได้เสาบาดาล มะม่วงของเวมานิกเปรต แล้วตอนนี้ก็ได้โสมคน" กูณฑ์นับนิ้ว "แล้วอันสุดท้ายคืออะไรนะ เราจะไปเอามาจากไหน"

ทั้งมลและเคียวหันมามองหน้าเขา

"สิ่งสุดท้ายคือคบเพลิงของเทพอัคนี" เคียวว่า "นายไม่รู้เหรอว่ามันอยู่ไหน"

กูณฑ์ส่ายหัว "ถึงฉันจะเป็นร่างอวตารของเทพอัคนี แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านสักอย่าง ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าคบเพลิงนั่นอยู่ที่ไหน"

"ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร" มลปลอบ "เจ้ารีบบำเพ็ญตบะขออาวุธจากเทพเถิด"

"ฉันไม่ใช่ฤๅษีนะถึงจะบำเพ็ญตบะ" กูณฑ์ท้วง

"ไม่ใช่ฤๅษีก็บำเพ็ญตบะได้" มลว่า

"นายไม่อยากกลับบ้านแล้วเหรอ" เคียวถาม

"อยากสิ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญตบะยังไง"

"เดี๋ยวข้า/ฉันสอนเจ้า/นายเอง" มลและเคียวพูดพร้อมกัน

"ให้นายเป็นคนสอนก็แล้วกัน" เคียวว่า "ฉันเคยอ่านมาแต่ในหนังสือ คนมีประสบการณ์น่าจะสอนได้ดีกว่า"

มลยืดอก "แน่นอนอยู่แล้ว" เขาหันมาสอนวิธีบำเพ็ญตบะให้กับกูณฑ์

ตอนนี้กูณฑ์อยู่ในท่าขัดสมาธิ ท่าทางพร้อมบำเพ็ญตบะเต็มที่

"ฉันต้องบำเพ็ญนานแค่ไหน"

มลยักไหล่ "ไม่แน่ใจเหมือนกัน อย่างต่ำ ๆ ก็คงเป็นปี ๆ"

"อะไรนะ" กูณฑ์ร้อง ตั้งท่าจะผุดลุกขึ้นยืน "ฉันไม่เอาด้วยหรอก"

เคียวดันตัวให้กูณฑ์กลับไปนั่งเหมือนเดิม

"เรามาถึงขนาดนี้แล้วนะ กูณฑ์ นายจะยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้"

"บำเพ็ญตบะเป็นปี ๆ ใครจะไปทำได้" กูณฑ์หน้ามุ่ย

"เอาอย่างนี้" เคียวพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกับที่ผู้ใหญ่ใช้เวลาปลอบเด็กงอแง "ถ้านายบำเพ็ญตบะแล้วได้คบเพลิงมา นายจะขออะไรจากฉันก็ได้หนึ่งอย่าง"

แววตาของกูณฑ์สดใสขึ้นมาทันที

"ขออะไรก็ได้จริงนะ" เขาถามย้ำ

เคียวพยักหน้ารับคำ

ในที่สุดกูณฑ์ก็นั่งบำเพ็ญตบะ การบำเพ็ญตบะนี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย หลักการของมันก็คือต้องนั่งขัดสมาธิ หลับตา ทำจิตให้สงบ ระหว่างบำเพ็ญตบะจิตต้องนิ่งอยู่ตลอด ห้ามลืมตาขึ้นอย่างเด็ดขาด มลและเคียวตัดสินใจเฝ้ายามให้กูณฑ์ คอยกันให้ใครหรืออะไรมาทำร้ายกูณฑ์ได้ อีกทั้งพวกเขาจะคอยป้อนอาหารให้กูณฑ์อีกด้วย

สามสหายคาดว่าพวกเขาคงต้องอยู่บนยอดเขากันอีกนาน การบำเพ็ญตบะขอพรจากเทพเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดคนมีบารมีมากกว่ากูณฑ์ยังต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ แต่คราวนี้ดูเหมือนสวรรค์จะเริ่มเห็นใจพวกเขาแล้ว เพราะพอกูณฑ์นั่งบำเพ็ญตบะยังไม่ถึงครึ่งวัน พระอินทร์ก็มาปรากฏตัวขึ้น ส่องแสงจ้าไปหมด เด็กหนุ่มอยากลืมตาขึ้นเพื่อดูว่าเป็นแสงอะไร แต่คำเตือนของเพื่อนที่ไม่ให้ลืมตาก็ทำให้กูณฑ์ยังคงหลับตาแน่น พยายามตั้งจิตให้เป็นสมาธิ

"ลืมตาขึ้นเถิด สหายเรา" พระอินทร์ว่า ปกติแล้วเขาไม่ได้มาให้พรเร็วขนาดนี้หรอก แต่กูณฑ์เป็นร่างอวตารของเทพอัคนีซึ่งเป็นสหายของเขา ถึงเขาจะเป็นพระอินทร์ เป็นเทวดาที่ได้รับการกราบไหว้ เคารพนับถือ แต่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ที่ปราศจากกิเลส ความลำเอียงก็มีอยู่บ้างในกมลสันดาน

"ลืมตาเถอะ" เคียวว่า

กูณฑ์ค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้น แล้วก็ต้องหรี่ลงเมื่อแสงจ้ามากระทบตา

พระอินทร์ยิ้ม ก่อนจะลดรัศมีของตัวเองลง

"ท่านบำเพ็ญตบะ ต้องการอะไร"

"ผมต้องการคบเพลิงของเทพอัคนี" กูณฑ์พูด

พระอินทร์หยิบคบเพลิงขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า ก่อนจะส่งให้เด็กหนุ่ม

"ขอบคุณครับ" กูณฑ์พูดอย่างยินดี เขาหันไปหาเคียวด้วยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย "สัญญาว่าอะไร จำได้ไหม"

"รู้แล้วน่า" เคียวตอบสะบัด ๆ "รอให้พระอินทร์ไปก่อนก็ได้ ใจร้อนจริง"

มลจ้องคบเพลิงด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

"นายไม่ดีใจเหรอ" กูณฑ์ถามเมื่อเห็นสีหน้าเฉยชาของเพื่อน "เรารวมของได้ครบแล้วนะ"

"ดีใจก็ดีใจอยู่หรอก" มลตอบไม่เต็มเสียง "แต่ของครบแล้วเราต้องทำอย่างไรต่อ"

กูณฑ์ยกมือขึ้นเกาหัว พยายามเค้นความทรงจำว่าเจ้าตาสั่งมาว่าอย่างไรบ้าง แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไรก็จำได้แค่ว่าเจ้าตาสั่งให้รวบรวมของทั้งสี่ แต่หลังจากนั้นต้องทำอะไรต่อ ก็ไม่รู้เหมือนกัน

"เราคงต้องกลับไปหาเจ้าตาอีกที" เด็กหนุ่มหัวไฟเสนอขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

"เราขอเสนออะไรหน่อยได้ไหม" พระอินทร์ถาม

"เชิญเลยขอรับ" มลตอบอย่างพินอบพิเทา

"เราคิดว่าถ้าท่านกลับไปหาเจ้าตาของท่าน คงไม่ทันการณ์ จากนี่ไปอาศรม ค่อนข้างจะไกลอยู่" และเพื่อให้เด็กทั้งสามเห็นภาพว่าไกลแค่ไหน พระอินทร์ใช้ฤทธิ์สร้างแผนที่สามมิติกลางอากาศ "พวกท่านอยู่ตรงนี้ อาศรมอยู่ตรงนี้ ต่อให้ใช้เรือยนต์ก็ต้องเดินทางกันอีกเป็นเดือน ๆ"

"แล้วท่านจะแนะนำอะไรหรือขอรับ" มลถาม

"ท่านกลับไปเมืองมลิวัน และขอความช่วยเหลือจากฤๅษีที่อยู่ที่นั่นจะดีกว่า" ท้าวมัฆวานว่า พรางชี้เส้นทางที่ลัดที่สุดให้ "ไปตามเส้นทางนี้ รับรองไม่เกินสามวัน เราจะช่วยย่นระยะทางให้"

มลคุกเข่ากราบ "ขอบพระคุณมากขอรับ"

"เราจะกลับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว" พระอินทร์ว่า พลางเหาะกลับไป

กูณฑ์เงยหน้ามอง พอเห็นแน่ว่าอีกฝ่ายไปลับตาแล้ว ก็ถอนหายใจออกมา "ในที่สุดก็ไปสักที"

"นายพูดงี้ได้ไง" เคียวตำหนิเพื่อน "ท่านอุตส่าห์มาช่วยเรา"

"รู้แล้วน่า แต่ถ้าท่านไม่ไป ฉันก็ทวงรางวัลจากนายไม่ได้น่ะสิ"

"จะขออะไรก็ขอมา" เคียวว่า

กูณฑ์หอมแก้มเคียวเบา ๆ "หอม ชื่นใจชะมัด"

มลเบ้ปาก "หอมอะไร เคียวเป็นผี ไม่เคยแต่งหน้าทาแป้งสักหน่อย ดันบอกว่าหอม"

กูณฑ์แลบลิ้นใส่ "หอมความน่ารัก ไม่มีแฟนก็อย่าอิจฉานะ เด็กน้อย"

"ใครเป็นแฟนนาย/ แฟนคืออะไร" ทั้งวิทยาธรและภูตตะโกนขึ้นพร้อมกัน

"ก็นายไงแฟนฉัน" กูณฑ์ตอบเคียวก่อน เขาเป็นคนรู้จักจัดลำดับความสำคัญอยู่แล้ว และเคียวก็สำคัญกับหัวใจเขามากกว่ามล

"โมเมจริง ๆ" เคียวตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก

"ก็นายจะให้ฉันขออะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ" กูณฑ์ทำท่าไร้เดียงสาเหมือนลูกแมวตัวเล็ก ๆ

"นายก็หอมแก้มฉันไปแล้วไง" เคียวว่า คนอื่นอาจจะหลงท่าทางลูกแมวของกูณฑ์ แต่เคียวรู้ดี ทำท่าเหมือนลูกแมว แต่ความจริงเป็นเสือชัด ๆ

"อันนั้นไม่ใช่คำขอของฉันสักหน่อย ฉันจะขอนายเป็นแฟนต่างหาก"

"อย่างนี้มันขี้โกงกันนี่" เคียวว่า

"ฉันรอนายมาเป็นชาติ ๆ แล้วนะ ไม่คิดจะเห็นใจกันบ้างเหรอ"

"นายเป็นคน แต่ฉันเป็นภูต" เคียวว่า

"นายจะบอกว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้งั้นสิ"กูณฑ์พูดเสียงขึ้นจมูก "เราก็อยู่ด้วยกันได้มาตลอด แค่ขอเปลี่ยนสถานะเอง ทำไมจะไม่ได้"

"ตอนแรกเราอยู่กันแบบเพื่อน" เคียวพูดอย่างอิดโรย เขาจะทำยังไงถึงอธิบายให้เด็กหัวดื้อคนนี้เข้าใจได้นะ "แต่ถ้าเราเป็นแฟน มันจะต่างกันนะ ถ้านายเป็นแฟนฉัน นายจะไปเป็นแฟนคนอื่นไม่ได้"

กูณฑ์เลิกคิ้ว "ก็แหงอยู่แล้วสิ คนเราจะมีแฟนหลายคนได้ยังไง เออ อาจจะมีคนมีบ้าง แต่ฉันไม่มีแฟนหลายคนแน่นอน"

"แล้วนายจะทนได้เหรอ ฉันไปเดทกับนายแบบปกติไม่ได้นะ คนเขาจะมองนายเป็นคนบ้า พูดคนเดียว นายเอาฉันไปอวดใครก็ไม่ได้ คนจะคิดว่านายไม่มีใครเอา" เคียวพูดเตือนสติเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่า

"เรื่องคุยกับนาย เดี๋ยวฉันส่งกระแสจิตเอาก็ได้ หรือถ้าทำไม่ได้ฉันก็ใช้หูฟังบลูทูธ คนก็คิดว่าฉันคุยมือถือ ไม่เป็นไรหรอก ส่วนเรื่องที่จะเอาไปอวดใคร แฟนนะ ไม่ใช่สินค้าแฟชั่นโชว์ เรารู้ว่าเรารักกันก็พอแล้ว"

"นายแน่ใจนะ" เคียวถามย้ำอีกครั้ง

"แน่ใจสุด ๆ ไปเลยล่ะ"

เคียวพยักหน้า ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยเข้ามาหากูณฑ์ "เกี่ยวก้อยกันหน่อย"

กูณฑ์ทำตาม เคียวโยกนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันขึ้น ๆ ลง ๆ "ฉันจะเป็นแฟนกับนาย รักและซื่อสัตย์กับนาย คอยอยู่เคียงข้างกันทั้งยามสุขยามทุกข์ จนกว่า…" เคียวหยุดพูด ปกติประโยคต่อไปต้องเป็นจนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน แต่เคียวก็ตายไปแล้ว ดังนั้นไม่ต้องพูดก็ได้

"ฉันก็เหมือนกัน" กูณฑ์ว่าตามประสาคนขี้เกียจพูดเยอะ

มลได้แต่มองฉากหวานแหววตรงหน้า ก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเองว่า

"ไม่มีใครบอกข้าสักคน ว่าตกลงแฟนคืออะไร" แต่ถึงจะไม่มีใครบอกมลก็พอเดาได้จากบรรยากาศรอบข้าง เป็นเพื่อนกันยังขนาดนี้ ไม่รู้เลื่อนขั้นไปแล้วจะขนาดไหน ใครไม่มาเป็นมลไม่เข้าใจหรอก

 

Next chapter