บนสะพานสีขาวทอดยาวหกลี้ บรรดาเทพสวรรค์ชั้นเซียนตำแหน่งน้อยใหญ่ต่างทยอยเดินเท้าบนสะพาน บ้างเดินคุยกัน บ้างเดินชมบรรยากาศ ท่ามกลางวันที่นภาสดใส สองฝั่งสะพานเมฆาสวรรค์แห่งนี้ หากมองทอดไปจะเห็นทะเลเมฆาขาวยาวไกลสุดสายตาทั้งสองฝั่ง หากจังหวะดีๆ จะได้เห็นมัจฉาบรรพกาลแปดครีบสองหางเกล็ดสีเงิน กระโดดเล่นลมเหนือเมฆาขาวให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้เดินทางผ่านสะพานเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก
เบื้องหน้าทหารเทพเฝ้าประตูทางเข้าตำหนักเทียนจวิน ปรากฎแสงสีทองระยิบระยับ ทหารเทพทั้งสองเห็นเพียงแค่แสงพริบตานั้นโดยมิรอให้ร่างเซียนปรากฎชัดก็รู้ว่าเป็นผู้ใด ทั้งสองดึงหอกศาสตราวุธเทพที่กั้นประตูอยู่เข้าแนบกาย เปิดทางให้เทพที่กำลังปรากฎกายเบื้องหลังแสงพริบตาสีทองนี้ได้เดินผ่านเข้าไปยังตำหนักเทียนจวิน
"คารวะเซียนอี้ตี้จวิน"
กลุ่มเทพสวรรค์ที่เดินมาจนถึงหน้าประตูทางเข้าตำหนักเทียนจวินเอ่ยคำทายพร้อมยกมือคำนับเทพที่เพิ่งปรากฎกายอยู่เบื้องหน้า ร่างสูงในอาภรณ์ขาวเกศายาวสีเงินเจ้าของนามเซียนอี้ตี้จวินหันกลับมายิ้มบางทักทายเหล่าเทพสวรรค์ ก่อนจะเดินหน้าเข้าไปยังตำหนัก
ไท่เซียนอี้ตี้จวิน เป็นหนึ่งในจตุรเทพของแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทร ระหว่างทางเดินเข้าตำหนักเทียนจวินจึงมิมีผู้ใดกล้าเดินนำหน้า ทำได้เพียงเดินตามหลังเว้นระยะสิบก้าวจนกว่าจะถึงตำหนักเท่านั้น
จากตำหนักไท่เซียนของเซียนอี้ตี้จวินที่ฝั่งบูรพาสวรรค์ หากว่ากันด้วยระยะเดินทางมาตำหนักเทียนจวินก็ใกล้กันมากเพียงพริบตาแสง ทว่าหากปรากฎกายในตำหนักโดยไม่ผ่านทางเข้าประตูให้ทหารเฝ้าเวรยามได้รับรู้การมาถึงของเขาก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย ครั้นจะให้เดินทางไกลบนสะพานเมฆาสวรรค์ยาวหกลี้ก็ดูจะเปลืองแรงไร้ประโยชน์ไปสักหน่อย ดังนั้นเขาจึงเลือกปรากฎกายเบื้องหน้าทหารเทพเฝ้าประตูแล้วเดินต่ออีกร้อยก้าวก็ดูจะเข้าท่ากว่าทางอื่น
"คารวะเซียนอี้ตี้จวิน"
ประโยคเดิมดังขึ้นอีกครั้งเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาถึงภายในตำหนักเทียนจวินอันโอ่อ่า เหล่าเทพสวรรค์ที่มาถึงก่อนกล่าวทักทาย เซียนอี้ยิ้มบางๆ ให้พวกเขา แล้วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเทียนจวิน
"คารวะเทียนจวิน" เซียนอี้ยกมือประกบพร้อมคำนับศีรษะ
"เชิญตี้จวินนั่งตามสบายเถอะ" เทียนจวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสนิทสนมคุ้นเคย เซียนอี้เดินไปนั่งที่ฝั่งซ้ายมือซึ่งเป็นที่ประจำของเขาเอง
ไม่นานนักเหล่าเทพสวรรค์ก็เดินทางเข้ามาถึงภายในตำหนักกันพร้อมหน้า ทุกที่นั่งภายในโถงใหญ่เต็มไปด้วยเทพในอาภรณ์สวยงาม ใบหน้าทุกคนมีรอยยิ้ม เสียงทักทายพูดคุยกันดังก้องไปทั่วโถงตำหนัก ก่อนจะสงบลงเมื่อเทียนจวินเคาะโต๊ะด้วยก้อนหยกทับกระดาษเป็นสัญญาณว่างานเลี้ยงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ความสงบเงียบทำให้ได้ยินเสียงสะบัดตามลมของธงชนะศึกสีขาวปักขอบทองที่ประดับอยู่รอบบริเวณตำหนัก ทุกสายตาพากันมองมาที่เทียนจวินเป็นจุดเดียว เทียนจวินระบายยิ้มอย่างสบายใจพลางกวาดสายตามองไปทั่วโถงตำหนักที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามเป็นพิเศษในวันนี้
"เอาล่ะ ก่อนที่พวกเราจะเริ่มฉลองชัยชนะในสงครามที่แดนสวรรค์สามารถปราบเผ่ามารฮุยอินลงได้นั้น ข้าขอประกาศมอบรางวัลให้กับทหารเทพผู้กล้าหาญเสียก่อนเป็นอย่างไรเล่า"
จบประโยคของเทียนจวิน หวังจิ้น เทพอักษรคนสนิทของเทียนจวินก็ส่งม้วนอักษรผ้าไหมทองให้เทียนจวินเปิดอ่าน
"ในสงครามเผ่ามารฮุยอินครั้งที่สอง นำทัพสวรรค์โดยเทพสงคราม อวี๋หลี่จวิน มีความสามารถในการสร้างค่ายกลจนนำชัยชนะมาสู่แดนสวรรค์ ข้าขอมอบรางวัลให้ท่านเทพสงครามดังนี้ ไข่มุกราตรีบรรพกาล หลินจือเซียนตงไห่ ปะการังเพลิงสีชาด เกล็ดสีเงินและแปดครีบของมัจฉาบรรพกาล ทั้งหมดนี้ข้าจะให้คนนำไปส่งให้ท่านที่ตำหนักหลังงานเลี้ยง"
อวี๋หลี่จวิน เทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในจตุรเทพของแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทรเช่นเดียวกับเซียนอี้ ร่างสูงในอาภรณ์สีรัตติกาลเกศายาวสีครามลุกจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเซียนอี้ มายืนเบื้องหน้าคำนับเทียนจวินเพื่อรับรางวัลทั้งหมดนั้น
"ขอบพระทัยเทียนจวิน" เทียนจวินยกมือผายขึ้นเล็กน้อยเป็นการเชิญให้เขากลับไปนั่งที่ได้ ท่ามกลางสายตาชื่นชมของเหล่าเทพสวรรค์
เซียนอี้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพลางนึกชมเทียนจวินอยู่ไม่น้อยในการเลือกของรางวัล อย่างแรกคือไข่มุกราตรีบรรพกาล ยิ่งขนาดใหญ่ยิ่งแสดงถึงอายุหลายแสนปี ไข่มุกที่หลี่จวินได้รับไปอายุคงจะราวสามแสนปีเลยกระมัง ไข่มุกวิเศษตั้งแต่สมัยบรรพกาลนี้ เมื่อนำไปวางไว้ในตำหนักนอกจากจะดูสวยงาม ยามค่ำคืนจะส่องแสงสีครามคล้ายสีนภายามราตรี ทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดนิมิตที่ดี หรือหากกำลังฝันร้าย ไข่มุกราตรีก็จะทลายฝันร้ายนั้นให้ผู้เป็นเจ้าของฝันดีตลอดไป การที่หลี่จวินเพิ่งกลับมาจากสงคราม ภาพแห่งการสูญเสียพี่น้องทหารเทพย่อมส่งผลต่อจิตใจ หากคืนใดฝันร้ายถึงภาพเหล่านั้นในสงคราม ไข่มุกราตรีบรรพกาลนี้ก็จะช่วยให้เขานอนหลับพักผ่อนไร้กังวลต่อไปได้
ส่วนหลินจือเซียนตงไห่ เป็นหลินจือที่ช่วยคืนพลังเซียนและปราณที่เสียหายให้คืนกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ หลี่จวินเสียพลังเซียนไปมากในสงคราม หากเทพสงครามฟื้นฟูพลังเซียนได้เร็วขึ้นเท่าไหร่ แดนสวรรค์ก็ไร้กังวลเร็วขึ้นเท่านั้น
สำหรับปะการังเพลิงสีชาด เป็นหนึ่งในส่วนประกอบศาสตราวุธเทพที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง หากใช้หลอมทำดาบ เมื่อกวัดแกว่งดาบกลางอากาศจะปรากฎเปลวเพลิงสีชาดน่าเกรงขาม และมิมีสิ่งใดที่คมดาบจากปะการังเพลิงสีชาดจะไม่สามารถเฉือนผ่านไปได้ เหมาะแก่การเป็นศาสตราวุธคู่ใจเทพสงครามแห่งแดนสวรรค์นี้แล้ว
สุดท้ายคือเกล็ดสีเงินและแปดครีบของมัจฉาบรรพกาล หากได้เดินผ่านสะพานเมฆาสวรรค์แล้วมีโอกาสได้เห็นมัจฉาบรรพกาลกระโดดเล่นลมเหนือเมฆาขาวอย่างเพลิดเพลิน ของรางวัลนี้มิได้แย่งชิงชีวิตของสัตว์เทพบรรพกาลเพื่อได้มาไม่ หากแต่ทุกๆ หมื่นปีจะมีมัจฉาบรรพกาลสิ้นชีวิตลงตามอายุขัย ร่างแปดครีบสองหางเกล็ดสีเงินจะถูกเก็บนำมาเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่เทียนจวินเป็นธรรมเนียม โดยจะถูกเก็บรักษาในตำหนักคลังสวรรค์ โดยครานี้สามารถนำเกล็ดสีเงินไปทำเสื้อเกราะอ่อน และใช้แปดครีบหลอมเป็นเสื้อเกราะแข็งด้านนอก ชุดเกราะสีเงินนี้ถือเป็นอาภรณ์ที่สง่างามเหมาะแก่แม่ทัพสวรรค์ที่มีใบหน้างดงามเช่นหลี่จวิน
"และสำหรับทหารเทพผู้กล้าหาญที่ปกป้องแดนสวรรค์จนได้รับชัยชนะ ข้าขอมอบปราณเซียนจตุรเทพให้แก่ทุกคน"
เทียนจวินอ่านม้วนอักษรอีกครั้ง ครั้งนี้ได้เสียงฮือฮาด้วยความดีใจและปีติยินดีสำหรับเหล่าบรรดาพี่น้องทหารเทพยิ่งนัก เพราะปราณเซียนจตุรเทพเป็นของวิเศษที่หาได้ยาก คือเป็นปราณเซียนของจตุรเทพทั้งสี่ในแดนสวรรค์ ที่กลั่นร่วมกันทุกหมื่นปีออกมาเป็นไอบรรจุลงในขวดยาขนาดเพียงเท่าครึ่งฝ่ามือ ไอเซียนนี้สามารถชำระไอมาร ฟื้นฟูพลังเซียนได้เจ็ดถึงแปดส่วนเลยทีเดียว สำหรับทหารเทพที่ร่วมรบในสงครามมาอย่างสุดกำลัง การได้ชดเชยไอเซียนจากจตุรเทพแทบจะถือว่าได้รับชีวิตใหม่
"สุดท้ายสำหรับทหารเทพผู้วายชนม์ ข้าจะขอมอบหอกศาสตราวุธเทพให้แก่ทุกครอบครัว เพื่อเป็นตัวแทนของทหารกล้า คอยปกป้องคุ้มครองครอบครัวของพี่น้องทหารเทพต่อไป"
"ขอบพระทัยเทียนจวิน ขอเทียนจวินมีพลานามัยแข็งแรงแสนปี แสนแสนปี"
เสียงกึกก้องจากบรรดาเทพสวรรค์แซ่ซ้องด้วยความปีติและซาบซึ้งในพระทัยของเทียนจวิน โอรสสวรรค์ผู้กล้าหาญ เฉลียวฉลาดและซื่อตรงแห่งแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทร
"เอาล่ะ เชิญทุกท่านกินอาหาร และร่วมงานฉลองกันให้สำราญเถิด มาๆ ดื่มๆ" เทียนจวินกล่าวอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะยกจอกสุราดอกท้อป่าชูขึ้นแล้วร่วมดื่มกับทุกคนหนึ่งจอกเป็นธรรมเนียม
ระหว่างที่เทพสวรรค์กำลังนั่งรับประกินอาหารร่วมกันอย่างรื่นเริง นางกำนัลก็ยกพิณผีผาเข้ามาวางใจกลางโถงตำหนักเพื่อเตรียมการแสดงดนตรี ร่างบางระหงในอาภรณ์สีชาดเกศาดำสนิทลุกขึ้นจากที่นั่งสำรับอาหารแล้วคำนับเทียนจวินด้วยท่าทีอ่อนน้อมสวยงามสมเป็นเทพธิดาสวรรค์
"คารวะเทียนจวิน ฟางเหนียงขออนุญาตบรรเลงเพลงจากพิณผีผาให้ทุกท่านได้ฟังเพคะ"
ฟางเหนียง เทพธิดาดอกไม้สวรรค์ ผู้มีกิริยาอ่อนช้อยสวยงาม เป็นที่หมายตาของเทพหนุ่มทั้งหลาย ทว่านางมิเคยแสดงความสนใจแก่ชายใด นอกจากเทพสงครามหลี่จวินเจ้าของใบหน้าน้ำแข็งเท่านั้น
เสียงพิณผีผาเริ่มบรรเลง ดอกไม้ทั้งภายนอกและภายในตำหนัก แม้ในแจกันแก้วก็พากันเบ่งบานตามเสียงเพลงอย่างมหัศจรรย์ กลิ่นเกสรหอมฟุ้งละอองลอยในอากาศระยิบระยับ สร้างบรรยากาศให้งานเลี้ยงดูวิเศษขึ้นอีกสามส่วน สายตาทุกคู่ชื่นชมความสามารถของฟางเหนียงที่โดดเด่นไม่แพ้ใบหน้าสวยหมดจดงดงามของนางเลย
ระหว่างบรรเลงเพลง สายตาคู่หวานของเทพธิดาพลางปรายตามองหลี่จวิน ชายที่นางหมายปองมาตลอดห้าหมื่นปี ทว่าหลี่จวินไม่ได้สนใจ เขายังคงใบหน้าเรียบนิ่งพูดคุยกับซือมิ่ง เทพลิขิตชะตาอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้จะถูกเมินจากชายที่แอบรัก แต่ฟางเหนียงก็คล้ายจะชินเสียแล้ว ขอเพียงแค่ได้พบหน้าของเขาบ้างก็พอใจนางแล้ว
"ท่านว่าอย่างไรนะซือมิ่ง" หลี่จวินถามซือมิ่งที่นั่งอยู่ข้างกันอีกครั้ง เมื่อซือมิ่งร่ายคาถามือแล้วปรากฎดวงดาวเก้าแฉกขึ้น แสงสว่างของดวงดาวเก้าแฉกส่องขึ้นลอยเหนือฝ่ามือของซือมิ่งจนเทียนจวินสังเกตเห็นและหันมามองอย่างสนใจ ท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงพิณของฟางเหนียง
"เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือเทพซือมิ่ง" เทียนจวินเอ่ยถาม เมื่อเห็นชัดแล้วว่ามีดาวเก้าแฉกปรากฎแสงสว่างสวยงามเหนือฝ่ามือของเขา
ซือมิ่งไม่รอช้า รีบลุกจากที่นั่งสำรับอาหารออกมายืนเบื้องหน้าเทียนจวิน ฟางเหนียงเห็นดังนั้นจึงหยุดเล่นพิณลงเสียก่อน แล้วทุกคนจึงหันความสนใจไปยังซือมิ่งที่กำลังจะกล่าวทูลเทียนจวินอยู่เบื้องหน้า
"ทูลเทียนจวิน ดาวเก้าแฉกปรากฎขึ้นในดาราจักรลิขิตชะตาของข้า คาดว่าอีกไม่เกินสองก้านธูป แดนสวรรค์ของเราจะมีผู้ให้กำเนิดเทพธิดาที่มีพลังปราณเซียนสูงส่งนางหนึ่ง เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก" เทียนจวินได้ยินดังนั้นก็มองดาวเก้าแฉกที่ลอยเหนือฝ่ามือของเทพซือมิ่งอย่างแปลกใจ ในแดนสวรรค์จะมีเรื่องน่ายินดีถึงสองเรื่องเชียวหรือ
"ดี! ดีมาก แล้วเทพธิดานางนี้จะเกิดมาเป็นบุตรของใครกันล่ะ ข้าอยากไปรับขวัญด้วยตัวเองจริงๆ วันดีเช่นนี้ ข้าจะพลาดได้อย่างไร" เทียนจวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเคล้าเสียงหัวเราะ ท่ามกลางความสนใจของเหล่าเทพสวรรค์ ซือมิ่งนิ่งไปอย่างใช้ความคิด
"น่าแปลก ที่ข้ามองไม่เห็นที่จุติของนาง" ซือมิ่งขมวดคิ้ว เขาใช้จิตเซียนเพ่งมองดาราจักรลิขิตชะตาในห้วงความคิด แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงสว่างของดวงจิตดาวเก้าแฉกเท่านั้น
"เป็นไปได้อย่างไร" เทียนจวินถามอีกครั้ง เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บนแดนสวรรค์มาก่อน โดยเฉพาะกับซือมิ่ง เทพลิขิตชะตาด้วยแล้วย่อมเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะหากไม่รู้สถานที่จุติ แล้วจะเขียนชะตาชีวิตของผู้นั้นต่อไปได้อย่างไรเล่า
ยากที่จะตอบคำถามเทียนจวิน ซือมิ่งคิ้วขมวดแทบจะผูกเป็นปม นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดปรากฎการณ์ของการจุติชีวิตใหม่ที่เทพลิขิตชะตาอย่างเขามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากดวงจิตที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นเท่านั้น
เทพธิดาน้อยแท้จริงเป็นบุตรสาวของเทพองค์ใดกันแน่!
ฝากกดติดตาม กดถูกใจ และคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ไรท์จะได้มีแรงสู้ๆ ^^v เรื่องนี้ 42 ตอน ช่วยอยู่ด้วยกันจนจบเลยนะคะ