56 ตอนที่ 56 : ผัดกะเพราของจริง – 2

โอบเอื้อมาเปิดร้านผัดกะเพราอยู่คูหาติดกัน

นั่นคือความฉิบหายระดับพหุจักรวาลที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน อยู่ดี ๆ ความประสาทแดกก็มาเยือนถึงข้างบ้าน ระดับแค่แผ่นผนังกั้น แต่การมาถึงของโอบเอื้อเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ทั้งสภาวะร่างกาย สภาวะจิตใจ และสภาวะกระเป๋าเงินของบัญชีธุรกิจ

เชฟหันมาทำผัดกะเพราะสตรีทฟู้ด พูดให้ชัดก็คือหันมาชนกับ กะเพราร้านนี้ไม่มีถั่วฝักยาว โดยตรง เหมือนถนนเลนเดียวที่มีรถสองคันขับสวนกันและไม่มีการแตะเบรก เอาให้ตายกันไปข้าง ปลาวาฬยังจำสีหน้าของชายคนนั้นได้ดี มันปราศจากความห่วงหาอาทรใดแบบที่เคยเห็นในคืนข้ามปีนั่น

เหมือนกับกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน เด็กหนุ่มพยายามเข้าไปเจรจา แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนเป็นคนไม่รู้จักกันมาก่อน โอบเอื้อภาคมาร ภาคที่ทุกคนเกลียด ภาคที่ลืมวิธีการอบมาการอง ปรุงครัวซองค์ และปั่นกรานิต้าไปหมดแล้ว ไม่ใช่แค่กับปลาวาฬ ทั้งเกลือและเจเจก็เป็นคนแปลกหน้าด้วยเหมือนกัน

"ตายแน่มึง"

เจเจบ่นอย่างเครียด ๆ หลังจากร้านของเชฟโอบเปิดได้ไม่นาน ยอดขายของร้านก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด ร้านกะเพราของปลาวาฬขายชื่อการเป็นผู้สืบทอดของโอบเอื้อมาโดยตลอด แล้วถ้าโอบเอื้อมาทำผัดกะเพราขายเอง ใครจะมากินของเขา แถมดันขายในราคาอาหารตามสั่งด้วย

แค่ชื่อ ร้านผัดกะเพราของจริง ก็คิดจะฆ่ากันแล้ว

เชฟโอบไม่เคยพูดว่าร้านของปลาวาฬคือร้านลอกเลียนแบบหรือแอบอ้าง แต่การตั้งชื่อร้านแบบนี้ก็เหมือนพูดอยู่กลาย ๆ กระแสของร้านเชฟโอบดังมาก เชฟระดับประเทศ เคยขายไฟน์ไดน์นิ่งหัวละสามพัน หันมาขายผัดกะเพราจานละหกสิบ ใครก็อยากกิน ถึงแม้จะไม่มีกระแสแง่ลบมาถึงร้านเขา แต่ร้านก็เงียบไปเลย

"กูว่าเชฟแม่งทำกันเกินไปเปล่าวะ"

เกลือบ่น สีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างจริงจัง ออกจะติดว่าโกรธด้วยซ้ำ นี่เป็นช่วงแรกตั้งแต่เปิดร้านมาที่เชฟอย่างเกลือมีเวลาว่างออกมานั่งคุยเล่นข้างนอกได้ในช่วงเที่ยงปลาย ๆ ไม่ถึงบ่ายโมง คนออกันแน่นขนัดหน้าร้าน แต่ไม่ใช่ลูกค้าร้านเขา ส่วนใหญ่เป็นพนักงานขับรถที่มาอาหารร้านข้าง ๆ มากกว่า

"นั่นดิ"

เจเจพูด ปลาวาฬได้แต่นั่งเป็นหมาหงอย รู้สึกผิดก็รู้สึกผิดกับตัวเอง เพราะเด็กหนุ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เชฟทำนั่นอาจจะหมายถึงการแก้เผ็ดเขาล้วน ๆ และความซวยนั่นก็ดันมาตกถึงเพื่อนของเขาทั้งสองคนด้วย แต่ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจ ปลาวาฬก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปตามข้อสันนิษฐาน นั่นก็เพราะความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นอยู่เต็มไปหมด

"โกรธก็โกรธ กูเข้าใจ แต่เรื่องร้านนั่นมันก็เป็นกติกาที่ตั้งขึ้นมาเองเปล่าวะ ถ้ากลัวเมธัสจะยึดไปขนาดนั้นก็เขียนในสัญญาไว้ตั้งแต่ต้นสิว่าห้ามเซ้งต่อหรือทุบทำลายเอาไปทำอย่างอื่น"

ปลาวาฬฟังเพื่อนอย่างเห็นด้วย แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการถอนหายใจทิ้ง นั่งมองลูกค้าที่มายืนออรอคิวร้านข้าง ๆ เต็มไปหมด บางคนเคยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นร้านเดียวกันก็มี พอรู้ว่าไม่ใช่ร้านที่โอบเอื้อทำก็เดินออก ในฐานะคนทำร้านอาหารคนหนึ่ง มันก็รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย

"กูว่ามึงต้องเคลียร์กับเชฟ"

เกลือพูด ส่งสายตามาอย่างจริงจัง เจเจหันหน้ามาจ้องแบบเห็นด้วย ปลาวาฬผู้เป็นเป้าหมายของดวงตาทั้งสองคู่ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน พูดน่ะง่าย แต่ก็เห็นอยู่ว่าตอนทำน่ะไม่ง่ายเลย ครั้งล่าสุดเจอเชฟด้วยกัน แค่ในฐานะคนรู้จักเชฟยังทำหน้าเหมือนไม่อยากจะจดจำกันเลยด้วยซ้ำ

"กูว่าเชฟกำลังเล่นเกมกับมึงอยู่ เขาอาจจะไม่พอใจเรื่องที่มึงทำกับร้านเขาก็ได้ เขาอาจจะกำลังแก้แค้นมึงอยู่ แบบหนักหน่วงเลยล่ะ"

เจเจพยักหน้ารับอีก เหมือนจะบอกว่าพูดอีกก็ถูกอีก

"มึงก็เห็นว่าเขาทำหน้าใส่กูยังไง เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในชีวิต แม่ง กูไม่ใช่ไม่อยากเคลียร์สักหน่อย วันนั้นกูก็จะเดินเข้าไปคุย"

เขาเถียง ก็เห็น ๆ อยู่ว่าไอ้เชฟบ้าไม่ยอมคุยกับเขา

"ไม่รู้เว้ย แต่มึงนั่นแหละต้นเหตุ ไปคิดหาวิธีคุยกับเชฟให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องได้คุยสองต่อสอง ถ้าเคลียร์แล้วไม่จบค่อยว่ากันใหม่ ถ้าเรื่องไม่จบ กูว่าเตรียมปิดร้านได้เลย"

เจเจบ่น มองไปรอบ ๆ ร้านที่เพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน ความจริงร้านนี้ก็มีความฝันของทุกคนอัดแน่นอยู่ ไม่ว่าจะปลาวาฬ เกลือ หรือเจเจ ปลาวาฬไม่อยากให้ทุกอย่างต้องมาพังด้วยฝีมือของตัวเอง ทำไมทุกอย่างมันยากไปหมดเลยวะ ไอ้เชฟบ้านะไอ้เชฟบ้า ไม่รู้เลยหรือไงว่ากว่าจะได้ร้านนี้มา เขาต้องลงทุนลงแรงไปเท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะเฮ้ย

"เออ กูขอไปลองคิดวิธีก่อน"

เด็กหนุ่มตอบรับไปแบบเนือย ๆ ความจริงเขาคิดหาวิธีมาตลอดอยู่แล้ว แต่มันคิดไม่ออกไง ก็รู้กันอยู่ว่าเขาโง่ที่สุดในสามคน ยังจะมีหน้ามาให้เขาคิดหาวิธีอีก

"แป๊บนึงนะ"

เจเจพูดขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังนั่งหม่นหมองหว่องกาไวกันอยู่บนโต๊ะ โทรศัพท์ของมันสั่น เหมือนจะมีคนโทรเข้า มันหยิบขึ้นมาแล้วทำหน้ามุ่ย แต่ก็ตัดใจรับในที่สุด

"เครียดอยู่ ไว้ก่อนน่า ไม่มีอารมณ์ดูหนัง"

เพื่อนของเขาพูดกรอกใส่ปลายสายไปหลังจากที่เงียบฟังอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง แน่เป็นแช่แป้งว่าเป็นเมธัสแน่นอน จะใครซะอีกล่ะ นอกจากเศรษฐีหนุ่มผู้เกรี้ยวกราด

"มีเรื่องนิดหน่อย"

เพื่อนเขาพูดต่อ ปลาวาฬหันไปมองคนที่มายืนรอหน้าร้านโอบเอื้อจนทะลักมาหน้าร้านตัวเอง ไม่ใช่แค่นิดหน่อยมั้งเพื่อน นี่มันความเครียดระดับมฤตยู

"อยากรู้ก็เข้ามาดูเองสิ"

เจเจพูดตัดบทง่าย ๆ ก่อนจะวางสายไป ความจริงการที่เมธัสจะมาที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ รายนั้นก็แวะเวียนมาหาเพื่อนเขาที่ร้านบ่อยอยู่แล้ว

"กะอีแค่วัน ๆ เดียว จะอะไรนักหนาวะ โวยวายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต จองตั๋วหนังก็ไม่บอกกูก่อน อ้างด้วยว่าตั๋วแพงไม่อยากทิ้ง ไม่อยากทิ้งแล้วซื้อทำไม"

ไอ้หน้าตี๋บ่นเป็นหมีกินผึ้ง มันชอบมาด่าเมธัสลับหลังแบบนี้แหละ ด่าต่อหน้าก็เถียงกันไม่จบไม่สิ้น ขิงก็ราข่าก็แรง เขาเห็นสองคนนี้เถียงกันจนชินชาเสียแล้ว ตี ๆ กันไปเดี๋ยวก็ดีกันเอง เจเจมันขี้บ่นแต่นิสัยมันผู้ใหญ่ เมธัสก็งี่เง่าแต่ก็ขี้เอาใจ ไป ๆ มา ๆ เข้ากันได้เฉย

"อ๋อ วันนี้วาเลนไทน์"

คนเฉลยคือไอ้เพื่อนแว่นกลมที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอย่างสงสัย อ๋อ ถึงว่าทำไมเมธัสมันเซ้าซี้เจเจจัง ที่แท้วันนี้ก็เป็นวันแห่งความรักนี่เอง หน้าไอ้เกลือดูเฉย ๆ เขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องวันนี้อะไรนักหนา ก็คนไม่มีแฟน จะเอาอะไรมาสนใจวาเลนทงวาเลนไทน์

ไม่นานเมธัสก็มาถึง ย้ำว่าไม่นานคือไม่นานจริง ๆ ไม่ถึง 15 นาทีได้ เหมือนจะเหาะมา แต่ถ้าให้เดารายนั้นน่าจะจองตั๋วหนังไว้แถวสยาม คนอย่างเมธัสน่าจะเลือกโรงหนังที่แพงที่สุดเท่าที่จะแพงได้ มีไม่กี่ที่ ไม่แถวสยามก็เส้นรถไฟฟ้านี่แหละ พอไม่ได้ดั่งใจก็เลยเหาะมาถึงอย่างรวดเร็ว

"เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันนะเนี่ย"

เมธัสมาถึงก็เจอกับสภาพร้านผัดกะเพราของโอบเอื้อที่แทบระเบิด ช่วงก่อนหน้านี้ร้านนี้ยังทุบ ๆ สร้าง ๆ อยู่ เมธัสเลยยังไม่เคยมาเห็นตอนที่เปิดร้านเต็มที่สักครั้ง พอเห็นแล้วก็อึ้งอยู่พอสมควร แบบนี้คงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงควรจะเครียดนักเครียดหนา

"พูดอย่างกับตัวเองเป็นคนดีงั้นละ"

เจเจบ่นพึมพำ จะว่าไปเรื่องทั้งหมดมันก็เริ่มต้นขึ้นเพราะเมธัสอยากจะทำคอนโดมิเนียมไม่ใช่เหรอ เรื่องมันเลยอลหม่านกันมาได้จนถึงวินาทีนี้ ปลาวาฬมองผู้มาใหม่อย่างตลก ๆ แต่จะว่าไปก็ไม่ถูกหรอก ถ้าไม่มีเมธัส เขาก็ไม่ได้ไปที่ร้านนั้น ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่วันที่ดีนัก แต่อดีตที่ร้านนั้นก็งดงาม

"เจอกันครั้งล่าสุดเพราะอะไรนะ ก่อนหน้าที่จะมาเจอที่ร้านน่ะ"

ปลาวาฬเป็นคนรับอาสาเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังโดยละเอียด คนฟังนั่งพยักหน้ารับไปเรื่อย ๆ อย่างตั้งใจ ท่าทางจริงจัง เหมือนจะแก้ปัญหานี้ให้ได้ ระหว่างทางก็ครุ่นคิดและแสดงสีหน้าหลาย ๆ อย่าง บางครั้งก็ถาม เขาก็ตอบไป เมธัสถามละเอียดเกี่ยวกับเรื่องคืนสิ้นปี

"คุณก็ทำแบบที่เชฟโอบทำสิ คืนนี้แหละ วันวาเลนไทน์"

avataravatar
Next chapter