53 ตอนที่ 53 : ผัดกะเพราหน้าใหม่แต่ใช้ชื่อว่าโบราณ – 2

[เออ กูรู้ตั้งแต่รับสายละ]

ปลาวาฬฟังเสียงอดีตเพื่อนร่วมห้องตอบกลับมาก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก น้ำเสียงของเกลือดูไม่ได้มึนตึงหรือโกรธขึ้งอะไรทั้งสิ้น ออกจะดูปกติมากเสียจนน่าตกใจ ตอนแรกเขานึกว่าจะโดนด่าสักทีสองที หรือไม่ก็ถูกตัดสายหนีทิ้งไปเลยตั้งแต่ต้น

"เป็นไงบ้างมึง สบายดีเปล่า ?"

เด็กหนุ่มถามแก้เก้อ ไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่ผัดกะเพราใส่ถั่วฝักยาวจานนั้น มาถึงตอนนี้ จะมาชวนเลยเสียทีเดียวก็รู้สึกกระดากใจยังไงพิกล

[เข้าเรื่อง ไม่ต้องอ้อมก็ได้]

ปลายสายพูดพร้อมหัวเราะ เขาก็หัวเราะตามไปด้วยแบบเก้อ ๆ เออว่ะ ทำไมคนรอบตัวเขาดูเหมือนจะอ่านเขาออกไปเสียทุกคน

"มึงยังจำได้ไหมที่มึงเคยคุยกับกูอะ" เขาเริ่มเกริ่น "เรื่องที่ว่าถ้ามึงได้เซ้งร้าน มึงจะไปทำร้านต่อ แล้วมึงก็ชวนกูไปทำด้วย แต่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบร้านไป อะไรประมาณเนี้ย"

[กูเห็นและ ถ่าย V-Log ซูมกล้ามลงเพจร้านทุกวัน กูคงไม่เห็นมั้ง]

ปลาวาฬหัวเราะออกมาเสียงดัง ลืมไปเลยว่าไอ้เกลือก็น่าจะตามเพจร้านอยู่ด้วย มันจะไม่เห็นได้ยังไงวะ แบบนี้มันก็น่าจะเดาออกว่าเขาโทรมาทำไม ความกดดันบางอย่างในบทสนทนาค่อย ๆ ละลายหายไป เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ใจร้ายกับเขาเสียทีเดียว

"เออ กูจะชวนมึงมาเป็นเชฟที่ร้านกูนี่แหละ ตอนแรกกูก็ว่าจะทำเป็นร้านเล็ก ๆ ขำ ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ แล้วแม่งมีลูกค้าจองเข้ามาเยอะเลยว่ะ มีคนสั่งออเดอร์แบบแคทเทอริ่งด้วย กูว่าแม่งไม่เล่นแล้วว่ะ กูไม่อยากทำชื่อร้านเสีย กูจะใช้ชื่อร้านเดิมด้วย"

เด็กหนุ่มพูด ด้วยความสัตย์จริง ถึงแม้ว่าไอ้เจ้าเชฟบ้าจะไปอยู่แห่งหนตำบลใดแล้วก็ไม่รู้ในเวลานี้ แต่เขาก็ยังไม่อยากทำให้ชื่อเสียงที่อีกฝ่ายสร้างมาป่นปี้เพราะเขาอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องรักษามาตรฐานไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ฝีมือของเขาจะทำได้

[แล้วนี่ชวนกูในฐานะอะไร]

เขาอึ้งไปอย่างพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดว่าจะโดนถามด้วยคำถามที่แสนตรงไปตรงมาแบบนี้ ไอ้เกลือ เดี๋ยวนี้มึงกลายเป็นคนกล้าพูดกล้าจาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย วันเวลาทำมึงเปลี่ยนไปนะเนี่ย คายไอ้เกลือคนตาตี่จอมหงิมคืนกูมาเดี๋ยวนี้เลย

[ไม่ต้องซีเรียส แต่เอาเคลียร์ ๆ กูขี้เกียจเดา กูจะได้ทำตัวถูก]

ปลายสายพูดต่อมาแบบสบาย ๆ นั่นทำให้เขาโล่งใจไปอีกเปลาะ เกลืออาจจะทำใจได้แล้ว เขาภาวนาให้ทุกอย่างลงเอยที่แบบนั้น ปลาวาฬพึมพำไปมา คิดสะระตะให้รอบด้าน ก่อนจะตอบเสียงกลับไปอย่างมั่นใจ ไม่ได้คิดว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่คิดว่าเป็นคำตอบที่ตรงกับความรู้สึกของตัวเองที่สุด

"เพื่อน"

"เพื่อนร่วมงาน"

"เพื่อนสนิท"

"เพื่อนกินหาง่ายเพื่อนตายหายาก"

"กูให้มึงเลือกสักเพื่อน กูเป็นให้มึงได้หมดเลย"

เขาตอบ ร่ายยาวจนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดัง เจเจที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาเบะปากใส่ ขมุบขมิบปากออกมาเป็นคำที่อ่านได้ว่า ตอแหล!

[งั้นกูเลือก Friends with Benefits แล้วกัน]

ปลายสายหัวเราะคิก น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยอาการเย้า ปลาวาฬเองก็แทบจะหัวเราะออกมา ไอ้เกลือ เดี๋ยวนี้ไอ้เกลือมันร้ายนัก

"ถ้ามึงไม่ติด กูก็ไม่ติดนะ"

อย่าท้า ขอร้องว่าอย่าท้าเรื่องนี้กับปลาวาฬ มึงสู้กูสู้นะไอ้สัด ปลายสายถึงต้องกลับต้องรีบละล่ำละลักมาว่าพูดเล่นแค่ขำ ๆ ตอนนี้มันโอเคแล้ว เพื่อนกันนี่แหละโอเคสุด

"แล้วมึงเริ่มงานได้เมื่อไหร่ ?"

[ตอนนี้กูทำข้าวกล่องเดลิเวอรี่ขายในเฟซบุ๊กอยู่ เคลียร์ออเดอร์เก่าสักสองสามวันก็เริ่มงานได้เลย]

เกลือตอบแบบสบาย ๆ และหลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนได้เริ่มต้นอีกครั้งจากสองกลายเป็นสาม ปลาวาฬ เจเจ และเกลือ โดยมีสมุนสารพัดนึกที่คอยช่วยงานจิปาถะอยู่ที่ร้านอีกสองคน

หลังจากถกเถียงเรื่องการแบ่งผลกำไรกันอยู่นาน เจเจก็เป็นคนเคาะอัตราส่วนให้ แบบที่คิดว่าเหมาะสมกับทุกคน

ปลาวาฬรับบทเป็นเจ้าของร้าน

กำไรหรือขาดทุน ปลาวาฬเป็นคนรับผิดชอบหลัก เงินขาดเงินเกิน ปลาวาฬต้องตัดสินใจ ส่วนเจเจรับบทเป็นผู้จัดการร้าน ชั่วคราวที่หกเดือนก่อน สัญญาใจกันว่าจะไม่ลาออกจนกว่าจะหาผู้จัดการคนใหม่มาแทนได้และเทรนด์งานกันจนรู้เรื่องดี ส่วนเกลือรับบทเป็นพ่อครัว ได้เงินเดือนคงที่เป็นก้อน และได้ค่าคอมมิชชันเป็นส่วนแบ่งจากยอดขายของร้านด้วย

เกลือรับหน้าที่ดูแลครัวเป็นหลัก เจเจดูแลหน้าร้าน ส่วนปลาวาฬรับบทเบ๊สารพัดนึก ทำอาหารก็ทำได้ ดูแลลูกค้าหน้าร้านก็ทำได้ เรียกว่าเป็นตัวสแตนด์บายคอยดูแลในช่วงที่คนขาด

ปลาวาฬและเกลือใช้เวลาสามวันสุดท้ายง่วนกันอยู่ในครัว จูนสูตรและฝีมือกันให้ตรงเป๊ะ ตั้งเป้าว่าไม่ว่าใครทำรสชาติก็ควรจะเหมือนกันให้ได้มากที่สุด

"ขอให้มีความสุขกับมื้อแห่งการปฏิวัติรสชาติทางอาหารนะครับ"

ปลาวาฬเสิร์ฟผัดกะเพราจานแรกของร้านอย่างปีติใจที่สุด สุดท้ายความพยายามทุกอย่างก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจนได้ เขาตัดสินใจใช้กิมมิกเล็ก ๆ น้อย ๆ จากร้านเดิมมาแต่งเติมเสริมต่อกับที่นี่ ถึงแม้ว่าเมนูทั้งหมดของร้านจะเป็นผัดกะเพราที่ไม่ได้แปลกใหม่ แต่ทุกสัปดาห์ก็จะมีเมนูผัดกะเพราพิเศษวนมาให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง

"ผัดกะเพราจานนี้ชื่อว่าผัดกะเพราหน้าใหม่แต่ใช้ชื่อว่าโบราณครับ"

เด็กหนุ่มเจ้าของร้านยืนพูดยิ้มกับกล้อง คนที่จองโต๊ะมาวันแรก ๆ ส่วนใหญ่เป็นฟู้ดบล็อกเกอร์ที่มาทำคอนเทนต์รีวิวร้านอาหารกัน หลายคนก็ขอถ่ายคลิปขอสัมภาษณ์หรือถ่ายรูปด้วย เขาไม่ติด ชีวิตนี้เคยชินกับการถูกถ่ายรูปทั้งแบบใส่เสื้อและถอดเสื้อจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว

"ผัดกะเพราสูตรนี้เป็นสูตรที่ผมใช้แข่งขันในการสอบครั้งสุดท้ายเพื่อรับตำแหน่งผู้สืบทอดร้านจากเชฟโอบครับ ผมเน้นการใช้วัตถุดิบที่เรียบง่าย กินแบบไม่ต้องตีความ แต่อร่อยและมีความสุข ผมอยากทำผัดกะเพราที่เข้าถึงได้ง่าย กินได้ทุกวัน"

อดีตนายแบบฉีกยิ้มเสียกว้าง เป็นการเป็นงาน หันหน้าไปในมุมที่รู้ว่าจะเข้ากล้องแล้วดูดีที่สุด ลูกค้าที่ถือกล้องอยู่พยักหน้าเป็นอันว่าการถ่ายคลิปเรียบร้อย เขาจึงขอตัวเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าโต๊ะอื่น ปั้นหน้าไม่เหนื่อย ฉีกยิ้มแบบดารา อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปทำงานนักแสดงอีกครั้งยังไงยังงั้น

"ผัดกะเพราบะหมี่กึ่งครับ จานนี้เชฟเกลือของเราทำให้ผมกินในวันแรกตอนที่เข้าไปอยู่ในร้าน ตอนนั้นผมทำอาหารไม่เป็นเลย จานนี้เป็นรสชาติของมิตรภาพครับ"

นี่ก็อีกโต๊ะ ปลาวาฬผายมือไปที่อาหารที่วางมาอย่างตั้งใจ เลือกคำพูดอย่างพิถีพิถัน ในร้านนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วน ความทรงจำของเขาอัดแน่นอยู่ที่นี่

"จานนี้เป็นผัดกะเพราไข่ดาวกลม จานนี้เป็นการสอบรอบแรกของผู้สืบทอดครับ จริง ๆ เหมือนสอบทอดไข่ดาวแบบอาหารเช้าอเมริกันมากกว่า"

นี่ก็อีกโต๊ะ เจ้าของร้านมือใหม่ไม่เคยเหนื่อยจะตอบคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า พูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่องในใจไว้เสมอว่าทุกอย่างคืออาชีพ ทุกคนเจอเขาครั้งแรก ดังนั้น เขาต้องสร้างความประทับใจให้ทุกคนให้ได้

"แนะนำผัดกะเพราน่องไก่กรอบครับ ถ้าอยากกินอาหารอย่างอื่นที่ไม่ใช่ผัดกะเพราจ๋า จานนี้จะเป็นไก่ทอดกรอบ แยกซอสกะเพรามาเป็นเครื่องจิ้ม จานนี้ผมชอบมากครับตอนเป็นเชฟฝึกหัดในร้าน วันไหนเชฟทำจานนี้เลี้ยงในครัว ผมนี่เบิ้ลตลอดเลย"

ทุกอย่างดำเนินไปวันต่อวัน วันต่อวัน ปลาวาฬเองก็จำไม่ได้ว่าแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปัญหาสารพัดสารพันที่แก้ก็ลงมือทำกันไปแก้กันไป มีปัญหาก็ขอโทษลูกค้า แก้ไข ปรับปรุง และทำใหม่ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เขารู้สึกว่าร้านมีคนแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน จนตอนหลังถ้าวอล์คอินก็ไม่มีโต๊ะให้นั่งแล้ว ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น

ส่วนสั่งกลับบ้านและผ่านแอปฯ ก็ต้องจำกัดจำนวน เพราะทำไม่ไหวจริง ๆ โดยเฉพาะช่วงพักเที่ยงเป็นช่วงเวลาที่ครัวแทบแตก ขนาดทั้งเขาและเกลือลงมือกันผัดกันแล้วผัดกันอีกแต่ก็ยังรับทุกออเดอร์ไม่ได้ เจเจต้องคอยนับจำนวน พอครบจำนวนกล่องที่วางเป้าไว้ก็ต้องปิดรับออเดอร์ในแอปฯ ทันที

เงินทองไหลมาเทมา อาจไม่ถึงขั้นร่ำรวยแต่ก็หมุนในร้านได้อย่างไม่ลำบากลำบนนัก เรียกว่าเหนื่อยแต่ก็สบายใจ เพราะได้เห็นเงินเป็นเนื้อเป็นหนัง ทำบัญชีทุกวันหลังจากปิดร้านก็ยิ้มได้

บางครั้งปลาวาฬก็รู้สึกว่า ไม่แน่การทำร้านอาหารก็อาจจะเป็นความฝันของตัวเองก็ได้นะ

avataravatar
Next chapter