52 ตอนที่ 52 : ผัดกะเพราหน้าใหม่แต่ใช้ชื่อว่าโบราณ – 1 

ปลาวาฬเริ่มต้นทุกอย่างในวันรุ่งขึ้นทันที

หลังจากเพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ตัดสินใจมาร่วมหอลงโลงในกิจการประหลาดนี้ด้วย เด็กหนุ่มก็พุ่งเข้าชนกับเป้าหมายทันที เงินเก็บในบัญชีจากเมธัสกรุ๊ปเกือบสองล้าน มีเงินเก็บเก่า ๆ อีกรวมกันก็สองล้านกว่า เขาวางแผนการใช้เงินอย่างรัดกุมที่สุด แน่นอนว่าด้วยสมองของเจเจ

"กูบอกไว้ก่อนนะว่ายังไงกูก็ยังอยากทำงานกายภาพบำบัดอยู่ดี กูมาช่วยแค่ช่วงแรก ๆ นะ พอร้านอยู่ตัวแล้วกูไม่ทำต่อนะเว้ย นี่ถือว่าเป็นช่วงพักร้อนเฉย ๆ"

เจเจประกาศกร้าวไว้ และเขาไม่ต่อรองอะไร แค่มันยอมมาช่วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยิ่งเรื่องการวางแผนเงิน ๆ ทอง ๆ คำนวณตัวเลขวุ่นวาย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว มีเพื่อนฉลาด ๆ มาทำให้นี่แหละสบายสุดแล้ว เขามีหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าให้ไอ้เจเจก็พอ

"กูว่าเราควรจะเซ้งร้านนะ ทำใหม่ไม่น่าไหว"

"เออ กูก็ว่างั้น"

หลังจากที่ตระเวนดูตึกว่างให้เช่า รวมไปถึงบ้านว่างให้เช่าแล้ว ราคาต่อเดือนแพงหูฉี่ ถ้าทำเลดี ๆ ในกรุงเทพฯ ก็หลักหลายหมื่นไปจนถึงเหยียบแสน แค่เงินก้อนมัดจำทำสัญญาระยะยาวก็หนักเอาเรื่อง ถ้าต้องมาเปลืองแรงตกแต่งร้านซื้ออุปกรณ์ใหม่หมด เงินไม่เหลือไปหมุนถึงช่วงเปิดร้านพอดี

"กูเคยนึกว่าเงินสองล้านแม่งเยอะ เอาจริงแม่งนิดเดียวเอง"

ปลาวาฬบ่นกับเพื่อน พอคิดได้ว่าจะเซ้งร้านก็เลยลองเข้าไปอยู่ตามกลุ่มพวกเซ้งกิจการ จด ๆ รายชื่อแล้วก็ไปซุ่มดู ส่วนใหญ่ก็มักจะมีปัญหาที่เจ้าของร้านไม่ได้บอก บางร้านก็เพิ่งมีถนนตัดผ่าน ลูกค้าหายไปหมด บางร้านก็เพิ่งมีตลาดมาเปิดใหม่ใกล้ ๆ คนก็หนีไปเกลี้ยง

"หรือเราจะเปิดไกลหน่อยดีไหม แล้วเน้นเดลิเวอรี่เอา"

เด็กหนุ่มเสนอ หลังจากที่มองไปมองมาแล้วหาทำเลถูกใจไม่ได้สักที ค่าเซ้งร้านถูก ๆ ก็หาได้ยากเหมือนงมเข็มในแอตแลนติก ปลาวาฬเองอยากได้ร้านที่เป็นห้องปิดด้วย ไม่อยากได้ร้านรถเข็นหรือร้านตามตลาดโอเพ่นแอร์ เขาขี้ร้อน อย่างน้อยก็ต้องมีส่วนที่เป็นห้องแอร์อยู่บ้าง

"แต่มึงอย่าลืมว่าถ้าไปเปิดไกล ค่าเดลิเวอรี่ก็แพงอีก ไม่มีคนสั่ง"

เจเจแย้งมา เขานึกตามก็รู้สึกว่าจริงจนเถียงไม่ออก ตอนคิดจะทำ ปลาวาฬก็ไม่คิดว่าทุกอย่างจะวุ่นวายขนาดนี้ แต่พอเริ่มต้นตั้งใจจะทำร้านอาหารขึ้นมาจริง ๆ ก็พบว่ามีเรื่องให้คิดให้ชั่งน้ำหนักให้ตัดสินใจมากมายเต็มไปหมด

"กูว่ามึงต้องหาพื้นที่ที่อยู่ในทำเลที่ดี ย่านการค้า กลางใจเมือง แต่บริเวณตรงนั้นอาจจะไม่เป็นที่นิยม เช่น คนไม่เยอะ ห้างไม่ดัง หรือไม่ก็ค่าที่ยังไม่แพง"

พอคิดได้แบบนั้น สิ่งที่มองหาก็เริ่มชัดเจนขึ้น พวกเขาทั้งสองคนเล็งหาพื้นที่ไปตามย่านชุมชนกลางเมืองต่าง ๆ สยาม สาทร สุขุมวิท ทองหล่อ อารีย์ สีลม ความจริงปลาวาฬอยากได้พื้นที่แถวอารีย์เป็นพิเศษ เพราะใกล้กับร้านเดิมที่เคยอยู่ แต่ก็หาที่เหมาะ ๆ ไม่ได้

เขาและเจเจตระเวนหาทำเลกันอยู่ร่วมเดือน กว่าจะออกไปดูพื้นที่ในแต่ละวันก็เหนื่อยแสนเหนื่อย ดูได้ไม่เกินสามร้านก็หมดแรงแล้ว ประเด็นคือต้องดูคนในช่วงเวลาอาหารเที่ยงกับเย็นด้วย จำนวนร้านที่ดูได้ต่อวันจึงจำกัด แต่ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน ปลาวาฬก็ยังรู้สึกสนุกอยู่ดี ทุกอย่างมันดูเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

"กูว่าที่นี่แหละ โอเคสุดแล้ว"

สุดท้ายเจเจก็จิ้มทำเลแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ไกลจากสยามมาก ความจริงก็อยู่แถบบรรทัดทองที่เคยไปเดินกับไอ้เกลือจนได้เมนูผัดกะเพรามะลุกกุ๊กกุ๋ยมานั่นแหละ โครงการอยู่ติดกัน แต่เหมือนคนมาเดินไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ถ้าเทียบจากระยะการส่งผ่านแอปฯ ถือว่าเป็นทำเลที่ดีมากทีเดียว

"มึงว่าโอเค กูก็โอเค"

สุดท้ายเขาทั้งสองคนก็ตกลงเคาะอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในย่านนั้น เดิมร้านเป็นร้านอาหารตามสั่ง เจ้าของร้านให้อุปกรณ์ทุกอย่าง สัญญาเช่าอีกปีกว่า ค่าเช่าเดือนละสองหมื่น และขอให้รับพนักงานในร้านไปช่วยงานต่ออีก 2 คน นั่นก็ดี เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาหาคนงานใหม่ด้วย

ทุกอย่างใช้แรงงานของปลาวาฬเป็นหลัก โชคดีหน่อยที่เจเจมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวกับพวกออกแบบบ้านหรือตกแต่งภายในก็เลยเอาเรื่องจุกจิกไปปรึกษาได้ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะส่วนใหญ่ก็ตั้งใจจะเน้นขายเดลิเวอรี่อยู่แล้ว ไม่ได้เน้นคนมานั่งกิน หรือถ้านั่งกินก็กินแบบไว ๆ ไม่ได้นั่งแช่อยู่นานเหมือนร้านแพง ๆ

เริ่มตั้งแต่การปรับปรุงร้านให้สามารถนั่งได้แบบไม่เคอะเขิน โต๊ะที่เปลี่ยนมาใช้เป็นโต๊ะไม้ที่เลียนแบบมาจากบาร์ลับบนชั้นสามของร้านเก่า บรรยากาศในร้านทึม ๆ หน่อยคล้ายกับร้านคราฟเบียร์ แต่ขายกะเพรา ส่วนครัวนี่ก็ต้องเปลี่ยนมากพอสมควร เพราะเดิมร้านตั้งครัวไว้ข้างหน้า เขาย้ายมาไว้ข้างหลังแทน

"กูว่าเริ่มโปรโมตเลยดีไหม ?"

"ก็ดีนะ กูว่า ระหว่างรอร้านเปิด"

การเซ้งร้านมาจากเชฟโอบทำให้ได้ทุกอย่างมาด้วย โซเชียลมีเดีย เบอร์โทรศัพท์ และอีเมล เจเจเริ่มวางแผนการทำการตลาดโดยการทำสตอรี่เทลลิ่งถึงการย้ายร้าน การสอบทำอาหารเพื่อหาผู้สืบทอด โชคดีว่าเขาเป็นคนเล่น TikTok ตลอด จึงมีคลิปเก่า ๆ ที่ถ่ายไว้ตอนอยู่ในร้านมาใช้ทำคอนเทนต์ได้เรื่อย ๆ

สิ่งสำคัญคือการสื่อสารถึงแนวทางร้าน

กะเพราร้านนี้ไม่มีถั่วฝักยาว เคยเป็นไฟน์ไดน์นิ่งหัวละสามพันบาทมาก่อน แต่ต่อไปจะไม่ใช่อีกแล้ว เขาจะปรับร้านมาเป็นแนวแฟมิลี่ผสมสตรีท สั่งกลับบ้านก็ได้ นั่งกินก็ได้บรรยากาศ แต่โต๊ะอาจจะน้อยหน่อย สร้างบรรยากาศการกินให้วุ่นวายนิด ๆ เหมือนร้านเดิม

"มึงจะคุมครัวไหวใช่ไหม ?"

ช่วงเจ็ดวันสุดท้ายเริ่มมีคนติดต่อจองโต๊ะเข้ามาแล้ว แถมยังมีคนสั่งออเดอร์เป็นข้าวกล่องเข้ามาอีกด้วย ปลาวาฬมองออเดอร์ที่เริ่มไหลเข้ามาอย่างคิดหนัก คนกำลังคาดหวังสูงเกินไปหรือเปล่าว่ารสชาติอาหารจะต้องดีแบบที่โอบเอื้อเคยสร้างมาตรฐานไว้

แต่ปลาวาฬไม่ใช่โอบเอื้อ และไม่มีวันจะใช่โอบเอื้อ

เด็กหนุ่มรู้ตัวดีมาตลอดว่าตัวเองชนะเพราะเจมส์ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย และเกลือเองก็เป็นผู้เลือกที่จะเดินออกจากเกมมาเอง เขามั่นใจว่าถ้าวันนั้นเกลือทำสุดฝีมือ เขาไม่มีวันชนะแน่ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนหลงตัวเอง แต่เขาก็ยังไม่หลงมากพอจนถึงขั้นคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเกลือหรือโอบเอื้อ

"มึงก็ไปสร้างสแตนดาร์ดไว้สูงเหลือเกิน"

ดูเหมือนว่าการตลาดที่เจเจทำจะดีเกินไปสักหน่อย ยิ่งตอนทำ V-Log เล่าเรื่องการปรับปรุงร้าน การเริ่มต้นใหม่ การทำร้านจากผู้สืบทอดที่ไม่มีร้านเดิมอีกต่อไปแล้ว เรื่องเล่ายิ่งทำงานให้คนสนใจมาก ๆ แถมหน้าตาและรูปร่างปลาวาฬก็กลายเป็นจุดขายไปอีก บางคอมเมนต์แทบจะไม่ได้พูดเกี่ยวกับอาหารหรือร้านอาหารเลย

"กูว่าเราต้องใช้ตัวช่วยแล้วว่ะ"

ปลาวาฬพูดอย่างตัดสินใจได้ในที่สุด ดูเหมือนจะไม่มีทางออกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคนลงครัวได้ประจำอย่างน้อยสองคน ทำงานต้องมีวันหยุด ผัดกะเพราคนเดียวเจ็ดวันยังไงก็ตายแน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่กะเพราหมูสับธรรมดา แต่คนเราก็ต้องเผื่อวันป่วยไข้เอาไว้บ้าง

"ตัวช่วยอะไรวะ ?"

เจเจถามอย่างสงสัย ปลาวาฬหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดไล่ค้นหาเบอร์โทรศัพท์ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะโทรหามาก่อน แต่ของแบบนี้ก็ไม่เสียหายอะไร ตามสไตล์ปลาวาฬ อยากรู้ต้องลอง ได้ไม่ได้เดี๋ยวค่อยคิด อย่างมากก็หน้าแตก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ลงเงินไปตั้งขนาดนี้ หน้าแตกสักทีสองที ยังไงก็เจ็บน้อยกว่าขาดทุน

"หวังว่ากัปตันอเมริกาจะรับโทรศัพท์กู"

เด็กหนุ่มเปิดโปรแกรมสนทนาด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เปิดไปหน้าแชตหน้าหนึ่งที่ไม่เคยมีการเคลื่อนไหวมาเป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้ว เขาสูดหายใจลึก ผ่อนออก สูดหายใจลึก ผ่อนออก ก่อนจะตัดสินใจกดไอคอนรูปโทรศัพท์ตรงมุมบนเพื่อโทรไปหาอีกฝ่าย

ปลาวาฬรอสายด้วยใจระทึก ในใจแทบจะบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะกดโทรออก หลายวินาทีที่เสียงรอสายผ่านไปอย่างว่างเปล่า ใจเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกว่าหน้าแห้งผากไปอย่างไรก็บอกไม่ถูก แต่ในห้วงสุดท้าย 00.00 ก็แสดงขึ้นที่หน้าจอ อีกฝ่ายกดรับและกรอกเสียงกลับมา คุ้นเคยมากถึงมากที่สุด ปลาวาฬแทบจะตะโกนกรอกเสียงเข้าไปด้วยความยินดีปรีดา

"ไอ้เกลือ นี่กูเอง"

avataravatar
Next chapter