เก้าโมงเช้า…
คุณเซนเพิ่งจะเดินเข้ามาทำงาน!
บ้าจริง! ฉันอุตส่าห์เข้าออฟฟิศมารอตั้งแต่เช้ามืด โฮ โฮ! โคตรง่วงเลย!
คนที่ฉันกำลังรอคอยเดินเข้าประตูมาพร้อมกับทักทายคนโน้นคนนี้ตลอดทางกว่าจะมาเดินถึงโต๊ะทำงานของตัวเอง ฉันจับจ้องคุณเขาตั้งแต่ที่หน้าประตูแล้ว พลางยิ้มหวานค้างไว้รอจังหวะการสบตาของเราทั้งคู่
โอย ตื่นเต้นมาก ความรู้สึกเหมือนตอนอยู่มอสี่แล้วแอบมองรุ่นพี่มอห้าที่กำลังจะเดินผ่านหน้าประตูห้องเรียน
แต่… ไม่เลย คุณเซนเธอไม่สบสายตากับฉันเลย พ่อหนุ่มปากแดงสบตาผู้คนทั้งห้องกว้างใหญ่นั่น ยกเว้นฉัน!
คนขี้งอนเขามองเลยผ่านไปราวกับฉันไม่มีตัวตน ราวกับฉันเป็นอากาศธาตุไร้ซึ่งความหมาย
แล้วนี่คุณเขาไม่คิดจะเดินเข้ามาขอบคุณฉันที่เมื่อวานเย็นอุตส่าห์เอาขนมไปให้หนุ่มๆคนสำคัญที่บ้านของเขาเลยรึ
ฮึ คนใจร้าย! คนขี้งอน! คนขี้เก๊ก! คนไม่มีมารยาท! คนไม่รักดี! คนเซ็กซ์จัด! เอ่อ… เอ้อ…
ใจเย็นก่อนค่ะป้า เดี๋ยวรอพ่อหนุ่มเขาเปิดลิ้นชักโต๊ะก่อน แล้วเขาจะต้องหันมาหาป้าทันที คอยดูก็แล้วกัน!
ก่อนเที่ยง…
คุณเซนเธอยังไม่เปิดลิ้นชักโต๊ะเลย ฮือ ฮือ…
เช้านี้ทั้งเช้าฉันจับตาดูท้ายทอยขาวๆนั่นอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นอันทำงานทำการ พยายามจะไม่ลุกไปไหนหากไม่จำเป็น หรือหากจะลุก ก็จะลุกเฉพาะตอนที่คุณเซนไม่อยู่โต๊ะเท่านั้น
แต่ก็ไม่เห็นเขามีทีท่าว่าจะเปิดลิ้นชักเลย ทำไมเธอไม่คิดจะหยิบจับปากกาขึ้นมาจากในลิ้นชักบ้างวะ?
คุณเซนเธอเป็นคนมีระเบียบ บนโต๊ะทำงานเธอแทบจะว่างเปล่า ทุกครั้งที่ทำงานเสร็จ เธอจะเก็บโต๊ะเรียบร้อย เก็บแก้วกาแฟไปไว้ในครัว เก็บกระดาษวางซ้อนกันเป็นระเบียบ เก็บแฟ้มเอกสารเข้าตู้ เก็บปากกาทุกด้ามไว้ในลิ้นชัก ซึ่งลิ้นชักแรกของโต๊ะทำงานของออฟฟิศเราจะไม่มีกุญแจล็อก เป็นลิ้นชักสำหรับใส่เครื่องเขียน เป็นอันรู้กันว่าเราสามารถเปิดลิ้นชักแรกของเพื่อนร่วมงานได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เผื่อในกรณีที่เราต้องการหยิบยืมเครื่องเขียนของกันและกัน ส่วนกุญแจล็อกจะมีไว้สำหรับลิ้นชักสุดท้ายเท่านั้น เอาไว้สำหรับเก็บของส่วนตัวของใครของมัน ส่วนเอกสารสำคัญของบริษัทจะถูกเก็บไว้ในห้องเอกสารซึ่งระดับผู้บริหารแผนกต่างๆเท่านั้นที่จะมีกุญแจ
ฉันแอบสังเกตคุณเซนมานานจนรู้ว่า อย่างไรทุกๆเช้าพ่อหนุ่มท้ายทอยขาวเธอต้องเปิดลิ้นชักหยิบปากกากับโพสต์อิทขึ้นมาวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะ ฉันถึงได้แอบซ่อนการ์ดง้องอนไว้ในลิ้นชักชั้นแรกนั่นเพราะแน่ใจว่าคุณเซนเธอจะต้องเห็นแน่ๆ อย่างไรเสียวันนี้ฉันจะไม่เป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับคุณเซนก่อนเด็ดขาด ถ้าฉันยังไม่เห็นว่าเธอได้อ่านข้อความในการ์ดนั่นแล้ว
แต่เช้านี้ทั้งเช้า คุณเซนเธอยังไม่ยอมเปิดลิ้นชักโต๊ะเลย ฮือ ฮือ…
ไม่ยอมสบตาฉันด้วย โฮ โฮ…
เที่ยงตรง…
ฉันไม่ยอมออกไปกินข้าวเที่ยงข้างนอก ได้แต่ฝากน้องเยลลี่ซื้อแซนวิชเข้ามาให้ ฉันต้องนั่งเฝ้าโต๊ะทำงานคุณเซนไว้ตลอดเวลา คนปากแดงเขากำลังออกไปกินข้าวกับคุณไมตรีที่ปรึกษาคนเก่าแก่ของบริษัทเรา ไม่รู้จะกลับเข้ามาเมื่อไหร่ แต่ปกติคุณเซนเธอจะไม่ค่อยยืดเยื้อเวลาพักเที่ยง เธอจะรีบกินรีบกลับเสมอ ดังนั้นฉันจะลุกไปไหนนานๆไม่ได้ ฉันต้องคอยอยู่แถวนี้เท่านั้น
เฮ้อ! ทำไมการมีความรักในที่ทำงานมันถึงต้องหลบๆซ่อนๆลับๆล่อๆขนาดนี้ด้วยวะ…
บ่ายสามโมง…
ฉันรีบฉวยโอกาสลุกไปเข้าห้องน้ำตอนคุณเซนเธอลุกไปคุยกับน้องมินตราที่โต๊ะ พอเดินกลับมาฉันก็รีบปรายตามองไปที่โต๊ะทำงานของพ่อหนุ่มในทันที
โอว พระเจ้าช่วย! ตัวคนปากแดงไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ เธอยังคงคุยอยู่กับน้องมินตรา แต่บนโต๊ะทำงานของคุณเซนมีปากกาวางอยู่หนึ่งด้ามแล้ว!
ไม่นะ ไม่! คุณเซนเธอเปิดลิ้นชักแล้วรึ!
นี่ฉันพลาดโมเม้นต์สำคัญไปแล้วหรือนี่! โฮ โฮ…
ยี่สิบนาทีก่อนหกโมงเย็น…
ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ไม่ท้อถอยหรอก ฉันต้องดำเนินการต่อไปตามแผนที่เตรียมไว้สำหรับวันนี้
ฉันรีบเดินออกไปซื้อหนวดปลาหมึกทอดที่ซอยข้างๆออฟฟิศ เจ้านี้ขายดีมากคนต่อคิวยาวตลอดเวลา แถมพี่เขามาแนวอินดี้อีก เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย บางวันเตรียมหนวดมาน้อย บางวันเตรียมมาเยอะ แกจะมาตั้งโต๊ะทอดประมาณบ่ายสอง บางวันทอดจนถึงหกโมงเย็นของก็หมด จบ เก็บกลับบ้าน บางวันอยู่ยาวถึงทุ่มสองทุ่ม
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการพลาดแผนสำคัญ ฉันจึงต้องรีบออกไปซื้อเจ้าหนวดมาตุนไว้ก่อน
สิบห้านาทีต่อมา ฉันเดินกลับเข้าออฟฟิศอย่างกระหยิ่มใจ หึ หึ ในที่สุดฉันก็ได้ปลาหมึกทอดร้อนๆมาหนึ่งถุง อดใจไม่ไหวแอบหยิบชิมไปสองสามหนวดขณะเดินกลับมา คุณเซนคงไม่ว่ากัน อือม์ ยังอร่อยเหมือนเดิม
ตามแผนคือฉันจะต้องรอคุณเซนพร้อมกับเจ้าหนวดทอดอยู่ในห้องกาแฟ ซึ่งฉันคาดหวังเอาไว้ว่าคุณเขาจะต้องเดินเข้ามาในห้องกาแฟช่วงเวลานี้ และเราก็จะได้กินหนวดปลาหมึกพร้อมกับหยอกล้องอนง้อกัน
ฉันโผล่หน้าเข้าไปดูลาดเลาในห้องใหญ่ นั่นไง คนขี้งอนยังนั่งอยู่ทำงานอยู่ที่โต๊ะ คิ้วขมวดเชียว ฉันเหลียวมองไปรอบๆ ผู้คนในออฟฟิศบางตาลงมากแล้ว ลูกทีมในแผนกฉันคงกลับกันไปหมดแล้วมั้ง ไม่เห็นมีใครนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแล้ว
โอเค พ่อหนุ่มปากแดงเขาอาจจะกำลังทำงานติดพัน ฉันเดินกลับไปรอที่ห้องกาแฟอย่างใจเย็นดีกว่า
และขณะที่ฉันกำลังจัดหนวดปลาหมึกลงใส่จานอย่างอารมณ์ดีนั้น
"กรี๊ด! หนวดปลาหมึกทอดของโปรด!"
จู่ๆคิตตี้ก็โผล่เข้ามาอย่างไม่คาดฝัน หล่อนปราดเข้ามาหาฉันด้วยท่าทางดีใจสุดขีด
เฮ้ย มาจากไหนวะเนี่ย
"ซิสช่างรู้ใจหนู ตอนนี้หนูหิวมากเลย วันนี้ไม่ได้กินอะไรทั้งวัน มีกาแฟตกถึงท้องถ้วยเดียว"
"อ้าวคิตตี้ พี่นึกว่าเธอกลับบ้านไปแล้ว" ฉันเริ่มหน้าซีด แผนที่วางไว้กำลังจะถูกทำลายลง
"เปล่าค่ะ วันนี้หนูอยู่ในห้องออกแบบทั้งวันเลย ขอบคุณนะคะซิส" ไม่พูดเปล่า น้องรักของฉันยังถือวิสาสะหยิบหนวดปลาหมึกหนวดแรกเข้าปากเคี้ยวหยุบหยับ
ดะ เดี๋ยวค่ะน้องรัก คิตตี้เดี๋ยวก่อนค่ะ…
ฮือ ฮือ หนวดแรกไปซะแล้ว
มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันมักจะซื้อของกินเข้ามาเผื่อแผ่พวกเราในออฟฟิศบ่อยๆ คือที่ฉันชอบเชื้อเชิญให้คนอื่นมาร่วมวงกินด้วยน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก ฉันติดนิสัยชอบกินจุบกินจิบ ชอบทดลองซื้อโน่นซื้อนี่มากิน ลูกชิ้นทอดเอย เอ็นไก่ทอดเอย แล้วก็กินไม่หมด ต้องไหว้วานให้คนอื่นๆเขาช่วยกินเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดที่ซื้อของกินมาทิ้งๆขว้างๆ เลยเป็นอันรู้กันว่าถ้าเห็นฉันมาพร้อมของกิน นั่นคือทุกคนต้องมีหน้าที่ช่วยฉันกินให้หมดแน่นอน
"อ้าว พี่ลิน คิตตี้ ยังไม่กลับกันอีกหรือครับ" เสียงทุ้มๆนั้นดังขึ้นที่ประตูห้องกาแฟ
เฮ้ย สุกรีมาจากไหนอีกเนี่ย
"สุกรีเพิ่งกลับจากโรงงานเหรอ มาเร็ว มาช่วยพี่ลินกินหนวดปลาหมึกทอด กำลังร้อนๆเลย" คิตตี้เฉลยที่มาของสุกรี พร้อมทั้งหยิบหนวดทอดหนวดที่สองเข้าปาก
ฉันเห็นสุกรีกำลังจ้องมองมาที่หนวดทอดอย่างสนอกสนใจเช่นกัน
"เอ้อ คือ… คิตตี้ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้น รู้ว่าหิว แต่เดี๋ยวติดคอ ส่วนสุกรีกินช้าๆนะ หนวดมันยังร้อน"
ฉันพยายามถ่วงเวลาการกินของลูกทีมทั้งสองไว้พลางมองไปที่ประตูห้องกาแฟ ทำไมคุณเซนยังไม่เข้ามาอีก แล้วนี่วันนี้สุกรีไปโรงงานมารึ ฉันไม่ทันได้สังเกตเลย
เอาจริงวันนี้ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ได้แต่นั่งแอบเฝ้ามองคุณเซนทั้งวัน
"หนวดทอดเจ้านี้ อร้อย อร่อย" คิตตี้น้องรักเพลิดเพลินกับหนวดที่สามสี่ห้า
"นั่นสิ ผมกำลังหิวอยู่พอดีเหมือนกัน ขอบคุณพี่ลินมากนะครับ เหมือนนางฟ้ามาโปรด" แล้วสุกรีน้องคนสนิทก็ตามไปด้วยหนวดที่หกเจ็ดแปดด้วยความรวดเร็ว
ฉันจดๆจ้องๆพยายามจะกันไว้สักสองสามหนวด แต่ก็ช้ากว่าสองมือของสุกรีที่กำลังจับจองหนวดแข่งกับคิตตี้
จบกัน! หนวดไปหมดแล้ว! ฮือ ฮือ… โฮ โฮ…
"อ้าว คุณเซน มาพอดีเลยครับ" สุกรีเขาหันไปหาคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ ฉันก็หันไปหาเขาคนนั้นด้วยสายตาละห้อยสุดขีดเช่นกัน
เซนขา คิตตี้กับสุกรีกินหนวดทอดของเซนหมดแล้ว ฮือ ฮือ… ฉันร่ำร้องฟ้องคุณเซนในใจ
"คุณเซนเคยชิมหนวดปลาหมึกทอดเจ้าที่อยู่ซอยข้างๆออฟฟิศเราไหมครับ"
ห้ะ สุกรียังมีอีกหนึ่งหนวดในมือ! ลูกทีมคนรู้ใจของฉันชูหนวดทอดเส้นสุดท้ายไปที่ตรงหน้าของคุณเซน
แว่บหนึ่งที่ฉันเห็นคนปากแดงเขาแอบปรายตามาทางฉัน ก่อนจะหันเหสายตากลับไปที่หนวดในมือของสุกรี
"อ้อ อร่อยหรือครับ" คุณเซนตอบคำถามของสุกรีด้วยการถามคำถามใหม่ยิ้มๆ
เซนขา พวกนี้แย่งหนวดทอดของเซนไป… ฉันทำหน้าตาน่าสงสารแม้จะรู้ว่าคุณเซนเขาไม่มอง
"อร่อยมากครับ ลองชิมดูไหมครับ" สุกรีเขายื่นเจ้าหนวดเส้นสั้นๆนั่นไปที่ปากคุณเซน
แล้วโดยที่ฉันก็คาดไม่ถึง! คุณเซนเขาอ้าปากงับเจ้าหนวดนั่นเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เธอปรายตามองมาที่ฉันนิดๆอีกครั้งด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
สรุปนี่คุณเซนเขารู้ไหมว่าไอ้หนวดนั่นมันคือชิ้นสุดท้ายของจำนวนหนวดทั้งหมดที่ฉันตั้งใจซื้อมาให้เขา!
"อื้อ อร่อยจริงๆครับ" คนพูดเคี้ยวไปยิ้มไป มองไปแต่ทางคิตตี้และสุกรี
"เสียดายคุณเซนเข้ามาช้า พวกหนูกินกันหมดไปแล้ว พี่ลินเขาเป็นคนซื้อมาค่ะ" คิตตี้รายงานด้วยความอิ่มอร่อย
"ขอบคุณครับ" คราวนี้คนปากแดงเขาหันมาทางฉัน แววตาดูอมยิ้มขึ้นนิดนึง ฉันรีบทำตาเป็นประกายวิบวับตอบกลับทันที แต่คุณเซนเขาทำท่าเหมือนไม่รับรู้ กลับหันไปมองโถแก้วใสทรงกลมที่วางอยู่บนเค้านท์เตอร์ชงกาแฟนั่น
"สวยดีนะครับ" คุณเขาชี้มือไปที่โถเตี้ยๆนั้นพลางพยักพเยิดกับสุกรีและคิตตี้
"อุ๊ย พวงมาลัยดอกปีบ! ต๊าย! คิตตี้เพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกันค่ะคุณเซน ฝีมือใครกันนี่" แล้วคิตตี้เขาก็หันไปพินิจพิจารณามาลัยดอกปีบที่ลอยน้ำอยู่ในโถแก้วนั่นอย่างจริงจัง
"การร้อยมาลัยนี่ไม่ใช่งานง่ายๆเลยนะครับ หนุ่มสาวสมัยนี้ไม่น่าจะมีใครร้อยเป็น" สุกรีเข้าไปร่วมสังเกตด้วย
"งั้นก็น่าจะเป็นฝีมือของคนมีอายุหน่อยนะครับ" คนปากแดงเขาวิเคราะห์พวงมาลัย แต่สายตาล้อเลียนกลับปรายมาทางฉัน
"ต้องเป็นป้าผ่องแน่ๆ คนโบราณที่จะร้อยมาลัยได้ในออฟฟิศเราก็น่าจะมีแต่ป้าแกเท่านั้น" สุกรีรีบด่วนสรุป
"ฝีมือพอใช้ได้นะเนี่ย แม้จะร้อยเบี้ยวไปเบี้ยวมา แต่ถือว่าให้คะแนนความพยายามก็แล้วกัน" คิตตี้เขาให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา แต่ฉันกลับหน้าแดง
ค่ะ นี่แหละค่ะลูกทีมของฉัน คุณกิตติพัทธ์เขาเป็นคนเนี้ยบเช่นนี้เอง
"เอ อยู่ดีๆทำไมป้าผ่องแกเกิดนึกโรแมนติคขึ้นมาได้ครับเนี่ย" สุกรีขมวดคิ้วนิดๆ แล้วก็หันมาทางฉัน "พี่ลินมีคู่แข่งแล้วนะครับ"
ห้ะ อะไร คู่แข่งอะไร? ฉันเริ่มเลิ่กลั่ก
แล้วสุกรีเขาก็หันไปทางเจ้านายหนุ่ม
"ปกติพี่ลินเค้าชอบซื้อดอกไม้มาจัดแจกัน ที่คุณเซนเห็นแจกันพร้อมดอกไม้สวยๆที่ตั้งอยู่ในห้องนี้บ่อยๆ นั่นล่ะครับฝีมือพี่ลินเค้า"
"ครับ ผมรู้ว่าคุณลินเค้าชอบดอกไม้" คราวนี้คนพูดเขาหันมายิ้มหวานให้ฉันแบบเต็มๆ ฉันรีบยิ้มหวานตอบกลับทันที รออยู่แล้วค่า
แต่ก็อีกครั้งที่เขาทำท่าเหมือนไม่รับรู้ แล้วก็เดินไปที่เครื่องชงกาแฟเพื่อที่จะตั้งหน้าตั้งตาชงกาแฟ
"เอ้อ หกโมงกว่าแล้ว กลับกันเถอะพวกเรา" ในที่สุดฉันก็เอ่ยอะไรออกมาบ้าง
ตอนนี้ใจอยากจะให้น้องๆรีบกลับกันไปก่อน ให้ออฟฟิศไม่เหลือคนเลยยิ่งดี แผนกุ๊กกิ๊กกับคุณเซนด้วยหนวดปลาหมึกเป็นอันล้มเหลว เห็นทีฉันต้องถอยไปตั้งหลักก่อน
เอาไงต่อไปดีวะเนี่ย…
สองทุ่ม…
อา ในที่สุดคุณเซนก็เดินออกมาแล้ว เฮ้อ จบสิ้นการรอคอยอันยาวนานเสียที
หน้าบริษัทเรามีร้านกาแฟเล็กๆที่มีมุมนั่งมุมหนึ่งที่สามารถเห็นคนเข้าออกจากตึกชัดเจน ซึ่งหลังจากพลาดจากแผนหนวดทอดแล้วฉันก็คิดว่าการงอนง้อกันในออฟฟิศไม่น่าจะได้ผล ไม่รู้วันนี้มีอะไรกันนักหนา พวกแผนกบัญชีเขาไม่ยอมกลับบ้านกันเสียที งั้นต้องรอให้พ่อหนุ่มปากแดงเขาเลิกงานก่อนจะดีกว่า ฉันจึงวางแผนใหม่โดยการเข้ามานั่งจับตาดูคุณเซนจากมุมตรงนี้ของร้านกาแฟ นั่งรอไปไถเฟซบุ๊คไปเรื่อยๆก็ได้
ปรากฏว่าฉันได้นั่งจนเพลินสมใจ เกือบเผลอหลับคาโต๊ะไปแล้ว สั่งกาแฟหลายแก้วจนคิดว่าคืนนี้น่าจะตาค้าง เพราะกว่าคุณเซนจะออกมาจากตึกก็สองทุ่มกว่าๆ ตอนฉันเห็นคนตัวสูงๆนั่นกำลังเดินจูงจักรยานออกมา ฉันรีบพรวดพราดออกมาจากร้านแทบไม่ทัน
"เซนคะ!" ฉันปราดเข้าประชิดตัวพ่อหนุ่มสิงห์จักรยาน
"อ้าว!" คนตัวสูงชะงักไปเมื่อจู่ๆก็หันมาเห็นฉันโผล่พรวดออกมาจากไหนไม่รู้
"นี่มาดักรอผมเหรอ" แหม ถามตรงจริงนะคะพ่อคุณ
"ก็ใช่น่ะสิคะ รอตั้งเกือบสองชั่วโมงแน่ะ" ฉันก็ตอบตรงๆกลับไปบ้าง "ไถเฟซเล่นจนเบื่อหน้าเพื่อนไปหลายคนแล้วค่ะ"
"รอเพื่อ?" หลังจากหายตกใจที่เห็นฉันโผล่มา คนขี้งอนก็เริ่มทำหน้ากวนประสาท
"ลินมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยค่ะ" ฉันทำน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
"ถ้าเรื่องงานค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้านะครับ ตอนนี้เลิกงานแล้ว ผมขอเวลาเป็นส่วนตัว" แน่ะ เสียงงอนมาเชียว รู้หรอกว่ายังงอนอยู่
แม้เจ้าตัวจะเริ่มออกเดินจูงจักรยานหนี แต่แค่เขายอมพูดกับฉัน ฉันก็ดีใจมากแล้ว
"ไม่ใช่เรื่องงานค่ะ เป็นเรื่องสำคัญมากกว่านั้นมาก และต้องพูดวันนี้เท่านั้นค่ะ" ฉันเดินตามพยายามทำหน้าจริงจังที่สุด
"งั้นว่าไปครับ" เขาหยุดเดิน ถอยเอาจักรยานแอบเข้าริมฟุตบาท แล้วทำท่าตั้งใจฟัง แต่แววตานั้นยังเฉยอยู่และคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย
"ลินเห็นนะคะ ว่าเซนซื้อเสื้อยืดที่ระลึกจากบาหลีมาฝากป้าผ่อง พี่สมาน ลุงยุทธ์ แล้วก็ลุงป้อมเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆในออฟฟิศ อย่างนี้มันไม่แฟร์ เซนเลือกปฏิบัติ" ฉันเขยิบเข้าชิด ทำน้ำเสียงตัดพ้อยาวเหยียด
คุณเซนเขาเป็นคนอย่างนี้จริงๆ เขาชอบเอาใจแม่บ้าน คนขับรถ แล้วก็ยามของบริษัทเราเป็นพิเศษ
"ก็พวกเค้าไม่ได้อยู่บนออฟฟิศ อาจจะไม่ได้มีโอกาสกินช็อกโกแลตที่ผมวางไว้ในห้องกาแฟ ผมก็เลยซื้อเสื้อยืดจากร้านค้าในสนามบินมาฝากพวกเค้า"
"แล้วลินล่ะคะ เซนไม่เห็นมีของฝากจากบาหลีมาให้ลินบ้าง"
"ก็เราไปบาหลีมาด้วยกันไม่ใช่หรือครับ" คราวนี้ฉันเห็นความขำเริ่มแทรกเข้ามาในตาเรียวคู่นั้น
"ก็ใช่ แต่เราไม่ได้กลับมาพร้อมกัน เซนอาจไปเห็นอะไรดีๆในร้านค้าที่สนามบินที่ลินไม่เห็น อย่างเสื้อยืดที่เซนซื้อมาฝากป้าผ่องก็เป็นลายดอกชบาส้วยสวย ลินก็อยากได้บ้างไรบ้าง"
"นี่ลินแอบอิจฉาคุณผ่องฉวีหรือครับ" น้ำเสียงนั่นเริ่มกลั้วหัวเราะแล้ว และดวงตาเรียวก็มองฉันอย่างจำนน
"แน่นอนสิคะ ใครก็อยากได้ของฝากพิเศษจากหนุ่มหล่อๆมั้ยอะคะ หล่อซะสาวหลงขนาดนี้ ใครไม่หลงลินหลงน้า" ฉันทำหน้าทะเล้นปากหวานประจบประแจง
คนรูปหล่อเขาใช้มือข้างหนึ่งจับแฮนด์จักรยานไว้ ส่วนมืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกง พลางจ้องหน้าฉันอย่างจริงจังพร้อมถอนหายใจ แววตาเขาฉายความสับสนและน้อยเนื้อต่ำใจออกมาอย่างเต็มที่
หรือแผนการขายขำของฉันจะไม่ได้ผล?
"นี่ลินเห็นผมเป็นตัวอะไร…"
เฮ้ย ทำไมน้ำเสียงเค้าซีเรียสขนาดนี้อ่า
เอาไงดี ฉันควรเปลี่ยนเป็นโหมดขอโทษสำนึกผิดเลยดีไหม แต่เดี๋ยว ว่าแต่ฉันทำผิดอะไร แค่ไม่รับโทรศัพท์ตอนอยู่บาหลี และก็แค่พูดทำร้ายจิตใจเมื่อคืนวานก่อนนิดๆหน่อยๆเอง คุณเซนเขางอนโอเวอร์ไปเองหรือเปล่า
ขณะที่ฉันกำลังลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรกับคุณเซนดี ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้างๆที่เรายืนอยู่
"ว้าย! น้องอุ๋งอิ๋งอย่าวิ่งไป อย่า! อุ๋งอิ๋ง!"
เกิดอะไรขึ้น?
"ลูกหมาวิ่งไปกลางถนน ใครก็ได้ช่วยที!" แล้วเสียงเซ็งแซ่ก็ดังมาจากผู้คนที่ยืนอยู่ริมฟุตบาทรอบๆเรา
ฉันหันขวับมองตามสายตาและมือที่ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่ถนนของเด็กผู้หญิงวัยมัธยมต้นคนนั้น ลูกหมาขนฟูสีขาวตัวน้อยกำลังยืนงงๆอยู่กลางถนนท่ามกลางรถราที่ขวักไขว่ หัวสมองฉันประเมินสถานการณ์กับภาพที่เห็นตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ถนนในช่วงเวลานี้รถวิ่งไม่เร็วอยู่แล้วเพราะการจราจรค่อนข้างหนาแน่น บรรดารถต่างๆกำลังพากันทยอยกันลดความเร็วเพราะใกล้จะถึงสามแยกทองหล่อแล้ว เดี๋ยวค่อยๆเดินตัดถนนไปห้ามรถไปก็น่าจะโอเค ดูไม่อันตรายเท่าไหร่
"น้องอยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้องหมากลับมาให้เอง ช่วยกันเปิดไฟฉายจากมือถือส่องไปที่ถนนให้ด้วยค่า"
ฉันตัดสินใจตะโกนขึ้นเสียงดัง ต้องการจะบอกน้องเด็กผู้หญิงและบอกคนอื่นๆรอบๆด้วย สงสารน้องมาก เธอร้องไห้เหมือนสติจะหลุดแล้ว ถ้าฉันเห็นยัยลิสาร้องไห้ขนาดนี้ฉันคงขาดใจเสียก่อน
โอเค งั้นลุย!
"เซนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวลินไปเอาน้องหมากลับมาก่อน" แล้วฉันก็หันกลับมาบอกคนปากแดงข้างๆก่อนที่จะควักมือถือออกมาเปิดไฟฉาย แล้วก้าวขาออกเดินโดยไม่รอคำตอบ
"เฮ้ย! ลิน! เดี๋ยว!"
เสียงคุณเซนเขาตะโกนไล่หลังมา แต่ฉันต้องรีบแล้ว ก่อนที่จะมีรถคันใดคันหนึ่งทับน้องหมาไปเสียก่อน
ฉันยกมือทั้งสองขึ้นหันไปทำท่าห้ามรถที่กำลังแล่นเข้ามา แล้วก็ค่อยๆเดินไปยังกลางถนนอย่างระมัดระวัง ตอนนี้มีแสงไฟวิบวับจากมือถือของคนอื่นๆที่อยู่ริมฟุตบาทช่วยส่องไปยังรถบนถนนอีกหลายแรง
และแล้วพลันก็มีร่างสูงๆร่างหนึ่งเดินแซงฉันไป คนตัวสูงนั้นเขาแบกจักรยานคู่ใจด้วยแขนข้างซ้าย ส่วนแขนข้างขวาก็ยกขึ้นโบกห้ามรถซึ่งกำลังพากันแล่นช้าๆเข้ามา
"เซน…"
และเมื่อถึงตัวน้องหมาตรงกลางถนน คุณปากแดงเขาก็ยืนนิ่งด้วยท่ามือข้างหนึ่งยังห้ามรถอยู่และแขนอีกข้างก็ยังคงแบกจักรยานอยู่ แล้วเขาก็หันมาพยักหน้าให้ฉันมาอุ้มน้องหมาออกไป
ณ จุดจุดนี้ฉันได้ยินเสียงปรบมือโห่ร้องมาจากกองเชียร์ที่ดังอยู่ริมฟุตบาททั้งสองข้างถนน ปฏิบัติการช่วยชีวิตน้องหมาของเราสองคนได้สำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว ฉันได้ตัวน้องหมามาไว้ในอ้อมแขนแล้ว
"ขอบคุณคุณป้ามากๆเลยค่ะ" เด็กน้อยหางเปียในชุดนักเรียนของโรงเรียนดังรีบเข้ามารับตัวน้องหมาไปเมื่อฉันและคุณเซนเดินกลับกันมาถึงริมฟุตบาท
"ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อยจ้า น้องต้องขอบคุณพี่คนนี้มากกว่า เค้าตัวสูงรถเห็นได้ง่าย" ฉันทำเป็นหยอกล้ออารมณ์ดีขี้เล่นชี้ไปยังคนที่ยืนจูงจักรยานอยู่ข้างๆ
"หนูตกใจแทบแย่ นึกว่าน้องอุ๋งอิ๋งจะถูกรถทับตายซะแล้ว" ท่าทางดีอกดีใจป้ายน้ำตาของคุณหนูผมเปียทำเอาฉันนึกเอ็นดู
"น้องบ้านอยู่ไหนคะเนี่ย อยู่ไกลไหม แล้วทำไมมาเดินอยู่แถวนี้มืดๆค่ำๆ"
"บ้านหนูอยู่ในซอยแถวนี้ค่ะ หนูแค่จะไปซื้อของที่เซเว่นเลยอุ้มน้องอุ๋งอิ๋งออกมาด้วย แต่เผลอวางน้องลงเพื่อจะรับโทรศัพท์ แป๊บเดียวน้องเข้าก็วิ่งออกไปเลย"
"รีบกลับเข้าบ้านเถอะครับ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะเป็นห่วง" คนตัวสูงเขาตัดบท เขาจะรีบไปไหนของเขา น้องเพิ่งขวัญเสียมา เราก็ควรต้องพูดจาปลอบโยนหน่อยไหม
"ค่ะ ขอบคุณคุณป้าและพี่ชายมากเลยนะคะ หนูไปนะคะ"
โอเค งั้นรีบกลับไปเลยค่ะ แหม่ มาเรียกฉันว่าป้า เรียกคุณเซนว่าพี่ชาย แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังยิ้มหวานให้เจ้าเด็กน้อยที่ยกมือขึ้นไหว้ แม้ในใจอยากจะ…ซักป้าบ
และหลังจากน้องผู้หญิงคล้อยหลังเดินจากไป ฉันก็หันมาส่งยิ้มหวานให้คุณเซนต่อ รู้สึกซาบซึ้งในวีรกรรมของคนข้างๆ เขาไม่ปล่อยให้ฉันต้องเดินออกไปช่วยน้องหมาอย่างโดดเดี่ยว
แต่กลายเป็นว่าคนปากแดงเขากำลังมีใบหน้าที่บึ้งตึงใส่ฉัน
"ลินเดินพรวดออกไปอย่างนั้นได้ไง" น้ำเสียงนั้นตำหนิฉันอย่างแรง
"ก็กลัวน้องหมาโดนรถทับ" ฉันเสียงจ๋อย หน้าจ๋อย วันนี้อุตส่าห์รอจะง้อคุณเซนมาทั้งวันแล้ว จบกัน โดนโกรธ โดนดุอีกจนได้
"ผมยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน หันมาบอกผมก็ได้ ไม่ต้องออกไปเองหรอก" และเหมือนคุณเค้าจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ
อะไรของเค้าวะ แค่นี้ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต
"ตัวเองก็ตัวเล็กนิดเดียว ถ้าคนขับรถบางคนสายตาไม่ดีมองไม่เห็นจะว่าไง มันอันตรายก็รู้อยู่แล้วยังจะทำอีก" ยัง ยัง พ่อคุณยังคงบ่นต่อไปไม่หยุด
"มันก็อันตรายกับเซนเหมือนกันหนิ" ฉันพูดออกไปบ้าง เริ่มจะหัวเสียแล้ว "จะลิน หรือจะเซน หรือจะใครออกไปก็เหมือนกันแหละค่ะ อันตรายทุกคนแหละค่ะ"
"ลิน…"
วันนี้ฉันไม่อยากเถียงกับเขาแล้ว เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ทำไมต้องซีเรียสเว่อร์ ฉันเหนื่อย หิวข้าวแล้วด้วย
แต่พลันสายตาของฉันก็ไปสะดุดกับถุงพลาสาติกที่คล้องห้อยต่องแต่งอยู่ที่แฮนด์จักรยานของคุณเซนเขา
นั่นมัน… พวงมาลัยดอกปีบนี่นา คุณเซนเธอเอากลับบ้านด้วยหรือนี่!
ตายล่ะ แล้วนี่ไม่แหลกเหลวไปแล้วรึ ก็เมื่อกี้ตอนเดินไปที่กลางถนนคุณเซนเธอแบกจักรยานด้วยมือเดียว มันก็ต้องแกว่งไปมา ฉันเพิ่งจะสังเกตเห็นซะด้วย ตอนแรกที่คุยกันก็มัวแต่จ้องหน้าคุณเซน ตอนเดินไปช่วยน้องหมาก็มัวแต่กังวลเรื่องรถราคันอื่นๆ
ฉันเอื้อมมือไปพยายามดึงถุงพลาสติกนั้นออกมาจากเจ้าแฮนด์จักรยานนั่น อยากจะเห็นสภาพมันมากๆ
"เอ๊ะ มายุ่งอะไรเนี่ย" แต่เจ้าของจักรยานเขากลับยื้อถุงนั่นไว้ แล้วถือโอกาสตีมือฉันเบาๆ
"ขอดูหน่อย อยากดูว่ามันยังสภาพดีอยู่มั้ย" ฉันพยายามจะแกะมือขาวนั่นออกไป อยากเปิดดูข้างในถุงเป็นที่สุด
โถ แม่พวงมาลัยดอกปีบที่น่าสงสาร ป่านนี้เธอคงช้ำในแย่แล้ว
"ไม่ให้ดู ของของผม ผมหวง" มือขาวนั่นจับมือของฉันไว้
ฉันชะงักไป เงยหน้ามองคนตัวสูงด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สายตาที่เขากำลังมองมาที่ฉันนั้นเป็นสายตาเดียวกับที่เขาเคยมองฉันในคืนนั้นที่หน้ากระท่อมที่บาหลีตอนวันฝนตก
"ผมรู้ว่าคนทำเค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำให้" น้ำเสียงนั้นช่างอ่อนไหว
ฉันหัวใจพองโตด้วยความปีติยินดี ในที่สุดแผนการก็สำเร็จแล้ว! คุณเซนได้ชื่นชมกับมันแล้ว
วันนี้เป็นวันที่ฉันตื่นเช้าที่สุดในชีวิตเป็นประวัติการณ์ คือฉันจำได้ว่าเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนนึงเขามีต้นดอกปีบต้นใหญ่มากอยู่นอกรั้วหน้าบ้าน ตอนโน้นพวกเราทำงานกันดึกๆแล้วก็ไปค้างที่บ้านเพื่อนคนนั้นกัน ตื่นเช้ามาพวกเราได้เห็นดอกปีบเกลื่อนอยู่เต็มพื้นถนนหน้าบ้าน วันนี้ฉันจึงตื่นแต่เช้ามืดรีบขับรถไปบ้านเพื่อนคนนั้น ไปคอยเก็บดอกที่ร่วงลงมาก่อนที่มันจะช้ำ แล้วก็รีบขับรถกลับมาจอดที่ลานจอดรถของออฟฟิศ เพื่อมาแอบนั่งบรรจงร้อยพวงมาลัยดอกปีบตามคลิปในยูทูป มันยากมากสำหรับการร้อยมาลัยเป็นครั้งแรกในชีวิต เสียดอกปีบไปหลายดอก แต่ฉันก็พยายามจนสำเร็จจนได้
"เซนหายงอนลินแล้วใช่ไหมคะ" ฉันรีบเกาะแขนเขาด้วยอาการลิงโลด มีเพื่อนไปกินข้าวเย็นแล้วเรา ฮิ ฮิ
"ขอคิดดูก่อน" คนพูดทำหน้าเฉยๆ ความเล่นตัวยังคงมีอยู่
"ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ ลินหิวข้าว ไปกินข้าวกันนะคะ ลินเลี้ยงเอง"
แต่คนตัวสูงนั้นยังทำเป็นทำท่ายืนลังเลไปมา
"โอย อย่าเล่นตัวนานค่ะ คนกำลังหิว นี่เริ่มจะโมโหหิวแล้วนะคะ"
"แล้วนี่วัยขนาดนี้แล้ว เดินกระย่องกระแย่งออกไปอุ้มน้องหมากลางถนนอย่างนั้น มีเคล็ดขัดยอกบ้างหรือเปล่าครับ"
จู่ๆมุกสูงวัยก็มา! มาแล้วค่า มุกสูงวัยเริ่มกลับมาแล้วค่า แปลว่าเขาหายงอนฉันแล้วแน่นวล คริ คริ
ฉันยิ้มกว้าง เริ่มนึกถึงรายการอาหารที่อยากกินทันที ก็มีเพื่อนไปกินข้าวด้วยแล้วนี่นะ
"สบายๆค่ะ" ฉันยักไหล่ "แล้วเซนล่ะคะ เมื่อยแขนหรือเปล่า แบกจักรยานเดินไปกลับเล่นๆซะงั้น แทนที่จะฝากแม่ค้าหรือจอดล็อคเอาไว้" ผู้ชายอะไร ตัวบางๆแต่โคตรแข็งแรง
อือม์ แต่ฉันก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ว่าเขาแข็งแรงขนาดไหน นึกถึงเตียงนุ่มๆที่บาหลี นึกถึงลีลาบนเตียงแล้วก็…
"ลินเหม่ออะไรน่ะ ตาลอยเชียว"
เอ่อ ฉันเผลออีกแล้ว…
"ผมแบกจักรยานไปกลางถนนด้วยเพราะคนขับรถผ่านไปมาเขาจะได้เห็นชัดๆ" คนตัวสูงอธิบาย
"เอ่อ ก็มีเหตุผล" ฉันไม่ทันคิดประเด็นนี้มาก่อน แต่ช่างมันเถอะ
"เลิกสนใจเรื่องนี้แล้วเราไปกินข้าวกันดีกว่าค่ะ มา เดี๋ยวลินจูงจักรยานให้เอง เซนอยากกินอะไรคะวันนี้" ฉันรีบคว้าจักรยานของเขาออกเดินอย่างเอาอกใจ กลัวคนขี้งอนเขาจะเกิดอาการเล่นตัวขึ้นมาอีก
"เดี๋ยวครับ…"
นั่นยังไง พูดยังไม่ทันขาดคำ คิดยังไม่ทันขาดตอน จะลีลาอะไรอีกเนี่ย
"เอ่อ ขอบคุณสำหรับมาลัยดอกปีบนะครับ สวยมาก แล้วก็ขอบคุณสำหรับการ์ดด้วย น่ารักมาก" น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเป็นที่สุด ยิ้มแก้มบุ๋มนั่นก็โคตรน่ารัก
ฉันยิ้มกว้างแก้มแทบปริ แน่นอนสิคะ ฉันตั้งใจอย่างสุดฝีมือทั้งพวงมาลัยดอกปีบ ทั้งการ์ด นอนก็ดึกดื่น ตื่นก็เช้ามืด
"แต่ทีหลังถ้าจะง้อผม ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆแล้วนะ ง้อมาตรงๆได้เลย" คนพูดอมยิ้ม ทำหน้าล้อเลียน "ยิ้มหวานค้างไว้ทั้งวันอย่างนั้นไม่เมื่อยบ้างหรือครับ แล้วการ์ดของลินนี่คือการ์ดง้องอน หรือลายแทงขุมทรัพย์?"
คือในการ์ดนั้นฉันเขียนไว้ว่า
'เซนที่รัก… มาลัยดอกปีบที่ลอยน้ำสวยๆอยู่ในโถแก้วในห้องกาแฟนั่นสำหรับเซนนะคะ ลินหัดร้อยมาลัยเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะคะ เซนต้องรีบหายงอนลินแล้วนะ เพราะหญิงวัยนี้เขาเริ่มจะเหี่ยวเร็วเหมือนดอกปีบที่เริ่มจะร่วงโรยตอนสายๆ และก็เริ่มจะเหยิมเหมือนหนวดปลาหมึกทอดที่ไม่รีบกินตอนร้อนๆ งั้นหกโมงเย็นเซนต้องรีบมาปาร์ตี้พี่หนวดด้วยกันในห้องกาแฟนะคะ จากลินที่เลิฟ…'