webnovel

001 แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง (1)

บทที่ 1 แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง ( 1 )

"อย่าวิ่งนะ! ไอ้แซ่เหมียว แกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก หยุดอยู่ตรงนั้น!"

เด็กหนุ่มสามคน ในมือถือมีดดาบยาว วิ่งวุ่นอยู่ท่ามกลางเทือกเขารูปร่างประหลาดอันมืดมิดแห่งหนึ่ง แกว่งดาบร้องขู่ให้คนที่วิ่งหนีอยู่ข้างหน้าหยุด

ขู่ไปก็ไร้ประโยชน์ คนตรงหน้าไม่ยอมหยุด กลับวิ่งเร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มที่กุมมีดฆ่าหมูอยู่ในมือ ไม่ฟังเสียงเรียกอะไรทั้งนั้น วิ่งพลางหันกลับมาตะโกนว่า "หมาบ้าเอ๊ย ไม่ดูหน่อยล่ะว่าที่นี่ที่ไหน ไอ้สมองป่วย!"

ถ้าเขาหยุดสิถึงจะแปลก คงรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ไม่ได้แน่ เขาวิ่งต่อไป ขณะที่วิ่ง เสียง "‘กรอบๆ"’ ดังอยู่ใต้เท้าอย่างต่อเนื่อง ตรงจุดที่เขาย่ำผ่าน ต้นหญ้าสีดำกลายเป็นเถ้าถ่าน

บริเวณรอบๆ ต้นหญ้าเป็นสีดำ ต้นไม้ก็เป็นสีดำ พืชพรรณทั้งหมดก็เป็นสีดำเช่นกัน

พวกมันไม่ได้ถูกย้อมจนกลายเป็นสีดำ และก็ไม่ได้เป็นสีดำโดยธรรมชาติด้วย แต่เป็นเพราะทั้งหมดถูกเผาจนเป็นสีดำ หนึ่งแสนปีก่อนเป็นอย่างไร หนึ่งแสนปีหลังก็ยังเป็นอย่างนั้น ราวกับว่าเวลาของที่นี่หยุดเดินแล้ว พืชพรรณทั้งหมดเหมือนกับรูปปั้นสีดำที่มีชีวิต ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางหมอกขาวจางๆ

ชื่อของสถานที่ที่เหมือนกับขุมนรกแห่งนี้คือ "‘แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง​[1]​’" ว่ากันว่าหนึ่งแสนปีก่อนมีกองทัพสวรรค์หนึ่งแสนนายข้ามท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ไล่สังหารจอมมารผู้ยิ่งใหญ่มาถึงที่นี่ จนใจจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อที่จอมมารร้ายกาจเกินไป กองทัพสวรรค์หนึ่งแสนนายค่อยๆ ตายลงพร้อมกับจอมมารตนนั้นที่ค่ายกลมรณะแห่งนี้

หนึ่งแสนปีมานี้ หมอกขาวที่อยู่ตรงหน้าเวลาส่วนใหญ่ล้วนหลายครั้งก็เป็นสีแดงเลือดประหลาดน่ากลัว หมอกเลือดที่น่ากลัวราวกับจะกลืนกินทุกอย่างลงไป ไม่ว่าจะเป็นคน ภูตผี หรือเทพ ล้วนไม่กล้าบุกเข้ามาที่นี่ เป็นเขตต้องห้ามของทุกชีวิต

แต่ทุกๆ หนึ่งพันปี ค่ายกลมรณะแห่งนี้จะเปิดออกด้านหนึ่ง เมื่อหมอกเลือดเปลี่ยนเป็นสีขาว มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเข้ามาสำรวจความลึกลับได้ แต่ภูตผีปีศาจและสิ่งมีชีวิตสัตว์อื่นๆ จะเข้ามาไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไม่เช่นนั้นจะถูกหมอกประหลาดนี้เปลี่ยนให้กลายเป็นชายหาดสีดำแน่ เหมือนกับว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่เก่งกว่านี้ ก็ต้านทานความประหลาดและการกัดกร่อนอย่างรุนแรงของหมอกเหล่านี้ไม่ได้ และไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุด้วย

ที่นี่เป็นที่ฝังศพแห่งสุดท้ายของเซียนและมาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งของที่เซียนและมารพกติดตัวนั้นถูกฝังไว้ด้วยกันที่นี่ ไม่รู้ว่าดึงดูดความต้องการของผู้ฝึกตนกี่คนต่อกี่คนแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยสมุนไพรเซียนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "‘ซิงหัว"’ เป็นยาเทวดาที่บรรดาผู้ฝึกตนยกย่องราวกับสมบัติล้ำค่า

ทุกๆ พันปียามที่ "‘แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง’ "เปิดขึ้นหนึ่งครั้ง ก็จะเป็นเวลาเคลื่อนไหวที่คึกคักวุ่นวายของเหล่าผู้ฝึกตน น่าเสียดายอย่างไรเสีย ที่พวกเขาก็ไม่มีทางเข้าไปได้ จึงหลอกล่อให้มนุษย์ธรรมดาเข้าไปแทน ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงหาสิ่งของที่เซียนและมารทิ้งไว้ รวมทั้งสมุนไพรเซียน "‘ซิงหัว"’ พบ ก็จะได้เข้าสู่สำนักเซียนอย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ที่นี่ยังมีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่คอยปกป้องคุ้มกันหลุมศพให้เซียนและมาร ว่ากันว่ามันกระหายเลือด สังหารคนได้เหมือนผักปลา

ดังนั้นหากไม่ใช่คนสิ้นไร้หนทางหรือพวกที่ไม่รักตัวกลัวตาย ใครกันจะกล้าวิ่งมาเสี่ยงอันตรายที่นี่? อยากสำเร็จเป็นเซียน ก็ต้องมีชีวิตไว้เสพสุขนะเหมือนกันนะ!

เหมียวอี้ไม่ใช่คนสิ้นไร้หนทาง และไม่ใช่พวกไม่รักตัวกลัวตายด้วย เขาอายุเพียงสิบเจ็ดปี ไม่มากแต่ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว หรับคนอายุเท่าเขา การแต่งงานมีลูกถือว่าเป็นเรื่องปกติมากของที่นี่

เขาชอบบุตรสาวคนสวยของเฒ่าหลี่ เจ้าของร้านเต้าหู้ที่อยู่ตรงข้ามกับร้านฆ่าหมูของเขา ได้หาแม่สื่อไปสู่ขอคุยเรื่องแต่งงานแล้ว แต่พอเฒ่าหลี่เจ้าของร้านเต้าหู้รู้เรื่อง ก็ไล่ตะเพิดแม่สื่อออกมาทันที สองบ้านห่างกันแค่ถนนกั้นหนึ่งสาย จะไม่รู้จักว่าใครเป็นใครได้อย่างไรไม่รู้ว่าใครเป็นใครซะแล้ว ไอ้เด็กหนุ่มอาชีพฆ่าหมู ไร้ทั้งเงิน ไร้ตำแหน่ง ไร้ฐานะ ซ้ำยังมีภาระต้องเลี้ยงน้องอีกสองคน ยังคิดอยากจะแต่งงานกับลูกสาวตนงั้นหรือ?

ต่อให้แม่สื่อเอาคนตายมาอ้างก็ไร้ประโยชน์ ภรรยาเฒ่าหลี่ด่าอยู่นานสองนาน คำพูดจำพวกหากเป็นพวกคางคกที่อยากจะกินเนื้อหงส์​[2]​ เป็นอะไรที่ยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้วเรื่องแบบนี้แน่

ไม่สู่ขอยังก็ดี พอพูดเรื่องสู่ขอ บ้านเฒ่าหลี่ก็กันลูกสาวออกจากเหมียวอี้ เหมือนกับป้องกันโจรทันที ไม่ยอมให้ลูกสาวที่แก้ผ้าเล่นกับเหมียวอี้ตั้งแต่เด็ก มาเจอหน้าเหมียวอี้อีกต่อไป เพราะกลัวจะโดนเหมียวอี้ฉุดหนี ทั้งสองบ้านหยุดไปมาหาสู่กันโดยสิ้นเชิง แตกคอกันอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ชอบลูกสาวของเฒ่าหลี่มากขนาดนั้น ลำพังแค่ฐานะครอบครัวก็ทำให้ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แล้ว เขาเพียงแค่ทำตามธรรมเนียมท้องถิ่น ไม่สำเร็จก็ช่างเถิด ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจังด้วย แต่เรื่องนี้ก็ได้ทำให้เขาเข้าใจสัจธรรมแล้วอย่างหนึ่ง

พ่อแม่บุญธรรมที่ตายไปนานแล้ว ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ดูแลเหมียวอี้อย่างดี พวกเขาทิ้งลูกไว้สองคน เหมียวอี้ไม่อยากให้น้องชายและน้องสาวเดินตามรอยของตนเอง บังเอิญว่า "‘แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง’" เปิดพอดี เขาจึงอยากเข้าไปพยายามเพื่ออนาคตของน้องๆ

ใครจะไปคิดล่ะ เพิ่งวิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ก็โดนหวงเฉิงศัตรูเก่า กับพี่น้องตระกูลจ้าวฝีเท้าหมาติดตามซะแล้ว ยังไม่ทันได้ทำอะไรทั้งนั้น เอาแต่วิ่งหนีไปพลางด่าไปพลาง

รอบด้านล้อมด้วยหมอกหนา ท่ามกลางหมอกหนา พวกคนที่แยกย้ายกันมาเสี่ยงอันตรายพากันหันกลับมามองทั้งสี่คนที่วิ่งไล่กันอยู่ พวกเขาต่างตกตะลึง เหมือนจะนึกไม่ถึง ว่าพวกเด็กหนุ่มที่หนวดยังไม่งอกดีพวกนี้ จะกล้าวิ่งมาทะเลาะกันถึงสถานที่อันตรายอย่างที่นี่

"ไอ้นี่มันเกิดปีหมา วิ่งเก่งจริงๆ ลูกพี่ ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว พักหน่อยเถอะ!"

น้องรองสองของตระกูลจ้าว จ้าวหังอู๋พูดไปหอบไป

จ้าวหังขุยผู้เป็นพี่ชาย ก็ตะโกนบอกหวงเฉิงเช่นกัน "ใช่ ลูกพี่ พักหน่อยเถอะ"

หวงเฉิงนเองก็วิ่งไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ยื่นมือยันหินก้อนหนึ่งแล้วหอบหายใจแรงๆ พี่น้องตระกูลจ้าวเองก็หยุดอยู่ข้างๆ เช่นกัน

เหมียวอี้เองก็เหนื่อยจนเต็มทน เห็นว่าข้างหลังไม่มีคนตามมาแล้ว จึงก็ยื่นมือยันหินก้อนใหญ่ไว้ แล้วก้มบิดตัวลงนั่ง เบะปากถอนหายใจ ส่ายหัวหันไปทางสามคนนั้นแล้วพูดว่า "หวงเฉิง แกเจ้าสมองป่วยรึเปล่าวะ อยากจะหาเรื่องก็ดูสถานที่หน่อย เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง?"

หวงเฉิงเคาะดาบยาวในมือลงบนหินหลายครั้งดัง'โช้งเช้ง' แล้วชี้ไปที่เหมียวอี้ "ถ้าจะโทษก็โทษไอ้คางคกอยากกินเนื้อหงส์อย่างแกเจ้า เป็นแค่คนเชือดหมู อยากจะสำเร็จเป็นเซียนงั้นเหรอ? คิดจะเหยียบหัวตระกูลของข้าด้วยสินะ? วันนี้ข้ามาก็เพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม!"

บิดาของเขาเป็นหนึ่งในผู้ใหญ่บ้านเป๋าจ่าง​[3]​ของเจ้าเมืองฉางเฟิง ผู้ใหญ่บ้านหวงเป๋าจ่างผู้มีชื่อเสียง พื้นที่ในเขตรับผิดชอบของเขาก็รวมบ้านของเหมียวอี้ด้วย เขาไม่กินเส้นกับเหมียวอี้มาตั้งแต่เด็ก มักจะเสียเปรียบให้เหมียวอี้เสมอ แต่จะทำอย่างไรได้ นี่คือการทะเลาะกันของเด็กๆ แม้แต่พ่อของอย่างเขาก็ไม่อาจใช้อำนาจรังแกคนได้ ไม่เช่นนั้นจะโดนเพื่อนบ้านรุมประณามเอา

ครั้งนี้พอรู้ข่าวว่าเหมียวอี้จะมาผจญภัยที่ "‘แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง’" ก็รู้สึกแตกตื่นพลุ่งพล่านคึกคะนองขึ้นมาทันที ขนาดมีครอบครัวหนุนหลังยังสู้กับเหมียวอี้ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เขาสำเร็จเป็นเซียนได้ จะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่หรือ?

ตีให้ถึงตายเขาก็ไม่ยอมให้เหมี่ยวอี้เหยียบหัวแน่ จึงดึงตัวส่งสองพี่น้องเท้าหมามา ให้ร่วมลงมือสังหารด้วย!

เหมียวอี้มองที่ดาบยาวแวววับในมือของสามคนนั้น เขาหอบหายใจแรงๆ พลางถามว่า "พวกเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริงเหรอ?"

สามคนยิ้มให้กันอย่างมีเลศนัย หวงเฉิงมองไปรอบๆ พูดด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่งวิตถาร "ที่นี่ไม่ใช่ในเมืองนี่ มีคนตายสักคนจะแปลกตรงไหน ใครจะไปรู้ล่ะว่าใครเป็นคนทำ?"

เหมียวอี้ตกตะลึง ทั้งสองทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็ก อย่างมากก็ตีกันหัวแตก ไม่เคยถึงขั้นอยากจะฆ่าแกงกัน อย่างไรเสีย กฎฏหมายก็คงไม่ได้มีเอาไว้เฉยๆ

"บ้าไปแล้วหรือไง? กล้าวิ่งตามมาสังหารข้าถึงที่นี่ ยังจะต้องกลัวข้าจะสำเร็จเป็นเซียนอีกเหรอ?" เหมียวอี้ชี้ไปรอบๆด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากเชื่อเชื่อ

"เชอะ!" หวงเฉิงเหยียดหยาม มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางราวกับไม่ยินยอมเหมือนเด็ดเดี่ยวมาก

เขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงคิดอยากจะทำเช่นนี้ แต่พี่สาวของเขาที่ถูกบิดาหาเส้นสายส่งตัวไปเป็นหญิงรับใช้อยู่ข้างกายเซียน ไม่รู้ว่านางไปได้ข่าวเบื้องหลังอะไรมา จึงเตือนเขาไม่ให้เข้ามาแปดเปื้อนกับเส้นทางนี้เด็ดขาด ส่วนสาเหตุคือเพราะอะไรนั้น นางไม่ยอมเปิดเผย

และเป็นเพราะพี่สาวได้เป็นหญิงรับใช้ข้างกายเซียน บิดาของเขาจึงได้ขึ้นไปสู่ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านเป๋าจ่าง

"อย่าดื้อรั้นสิ! หยุดก่อเรื่องได้แล้ว รีบกลับบ้านไปซะ" เหมียวอี้โบกมือที่ถือมีดฆ่าหมูอยู่ขึ้นมา แล้วหันหลังเดินจากไป

หวงเฉิงอึ้งไปพักหนึ่ง พลันโกรธขึ้นมาทันที เขามองตนเป็นเด็กน้อยงั้นหรือ? หวงเฉิงแกว่งดาบมีดพลางตะโกน "หยุดเดี๋ยวนี้นะ!"

"ถ้าตามทันก็ตามมาเลย ที่นี่อันตรายแค่ไหนพวกเจ้าก็รู้ ขอแค่พวกเจ้าไม่กลัวตายก็พอ "

เหมี่ยวอี้ทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วเดินต่อไปตามทางของตัวเอง ขี้คร้านจะใส่ใจ

หวงเฉิงมองไปรอบๆ เหมือนเพิ่งจะรู้ตัว ว่าตนกับพวกวิ่งเข้ามาลึกมากแล้ว ถ้าลึกกว่านี้ต้องอันตรายมากแน่

พวกเขาวิ่งตามหลังเหมียวอี้มาถึงที่นี่เพราะอยากซุ่มทำร้าย น่าเสียดายช่วยไม่ได้ที่ต้นหญ้าในนี้ที่นี่ถูกเผาไหม้หมดแล้ว เดินไปก็มีเสียง ‘"แกรกกราก"’ ดังขึ้น ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ เหมียวอี้จึงรู้ตัวก่อน ผลก็คือวิ่งมาไกลขนาดนี้อย่างไม่ทันได้ระวัง

"ได้ วิ่งไปเลย ไอ้แซ่เหมียว ถ้าเจ้ากล้านักก็วิ่งไป ยังไงก็เหมือนพระที่วิ่งไม่พ้นวัดอยู่ดี ที่บ้านเจ้าก็ยังมีน้องอีกสองคนนี่ ไว้กลับไปจัดการพวกเขาก็เหมือนกันนั่นแหละ"

หวงเฉิงไม่กล้าวิ่งเข้าไปข้างในอีกแล้ว แต่กลับทำท่าทางหยาบคาย ยั่วโมโหเหมียวอี้อยู่ตรงนั้น

พอเอ่ยคำนี้ขึ้นมา เหมียวอี้ก็หยุดก้าวเท้า แล้วค่อยๆ หันกลับมา ที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ผิดหรอก กลับเป็นการเตือนสติเขาด้วยซ้ำไป ถ้าเขากลับออกมาไม่ได้จริงๆ ล่ะ ถึงตอนนั้นเจ้าเดรัจฉานพวกนี้ต้องไปรังแกเจ้าสองกับเจ้าสามแน่อยู่ดี

พอเห็นว่ายั่วโมโหได้ผล จ้าวหังขุยก็พูดกับหัวงเฉิงด้วยสีหน้าชั่วร้ายเพื่อช่วยเติมเชื้อไฟทันที "น้องสาวคนนั้นของมันสวยตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวพรรณอ่อนโยน ถ้าเปลือยถอดออกหมดนะ..."

"หุบปาก!"

อีกฝ่ายยิ่งพูดยิ่งหยาบช้าคาย ซ้ำยังทำท่าทางประกอบอย่างน่ารังเกียจ เหมียวอี้โมโหชี้แกว่งมีดชี้ไปที่สามคนนั้น พูดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างน้นเขี้ยวเน้นฟันว่า "รนหาที่ตาย!"

หวงเฉิงกวักมือเรียกเหมียวอี้ด้วยสีหน้าท่าทางกวนประสาท "ถ้ากล้าก็อย่าหนี มาเลย! ข้ายืนรอเจ้าอยู่ตรงนี้ ข้ามารนหาที่ตาย มาสิ มาฆ่าเลย!"

เหมียวอี้กลั้นไฟโกรธเอาไว้ได้ จ้องไปที่สามคนนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ทำท่าทางจะบุกเข้าไป เม้มปากไว้แน่นสนิท

ปกติเขาฆ่าหมูมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็มีพละกำลังด้วย เรื่องชกต่อยแบบสามต่อหนึ่งใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำ แต่วันนี้สามคนนั้นต่างก็ถือดาบอยู่ในมือ ตัวเองไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ถ้าถูกแทงเข้าคงหัวเราะไม่ออก เอาชีวิตมาทิ้งไว้ในน้ำมือสามคนนี้คงไม่คุ้มแน่

เมื่อเห็นเขาไม่ตอบโต้ ทั้งสามคนส่งเสียงโห่ถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตะโกนก้องโห่ร้อง ด่าเหมียวอี้ว่าขี้ขลาดไม่ได้เรื่อง

แต่เหมียวอี้กลับมองไปยังผู้ผจญภัยคนอื่นที่ไล่ตามหลังสามคนนี้มา หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษมีเครา ในมือถือดาบยาว ร่างกายกำยำเหมือนหมี สายตาคมเผยความดุร้ายเหมือนเหยี่ยว มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่จะสู้ด้วยได้่ง่ายๆ

เหมียวอี้ยกโค้งมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเย็นชา พอคนพวกนั้นเข้ามาใกล้ จู่ๆ เขาก็แกว่งมีดพร้อมตะโกนาว่า "ส่งสมุนไพรเซียนมาเดี๋ยวนี้!"

หวงเฉิงและพวกอึ้งไปพักหนึ่ง นึกว่าเหมียวอี้กินยาผิดมา จากนั้นพวกเขาก็พบความผิดปกติ บรรดาคนที่ตามมาข้างหลังทั้งซ้ายและขวา ได้หยุดเดินอย่างกระทันทหัน แต่ละคนจ้องมาไปที่พวกหวงเฉิงด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา สายตาแปลกๆ แต่ละคู่นั้นทำให้ทั้งสามหนาวยะเยือกในหัวใจ

พอเห็นว่าทั้งสามคนนี้เป็นเด็กวัยละอ่อน อายุไม่เยอะ จึงดึงดูดใจให้เริ่มขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้ ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก เอาให้รู้ชัดก่อนค่อยว่ากัน

"พวกเจ้าอย่าไปฟังมันพูดเหลวไหล พวกข้าไม่มีสมุนไพรเซียน ข้ามาหามันเพื่อสะสางบัญชีกับมัน ไม่ได้มาเก็บสมุนไพรเซียน" หวงเฉิงรีบร้อนอธิบาย

ใครจะไปเชื่อคำพูดพวกนี้ล่ะ วิ่งเอาชีวิตมาเสี่ยงตายที่นี่เพื่อจะสะสางบัญชีงั้นหรือ ล้อเล่นอะไรกัน ไอ้พวกเด็กน้อยคิดว่าทุกคนจะปัญญาอ่อนหลงเชื่อรึไง?

…………………………

^1 จั้ง คือ(หน่วยวัดของจีน) 1จั้ง = 31.33 เมตร

^2 คางคกที่อยากจะกินเนื้อหงส์ สำนวนจีน อุปมาว่าผู้ชายที่หมายปองหญิงที่สูงส่งเกินเอื้อม

^3 ตำแหน่งหัวหน้าของระบบการปกครองแบบลำดับชั้นในสมัยก่อนของจีน ปกครองจำนวน100 ครัวเรือนขึ้นไป

Next chapter