webnovel

บทที่ 1

อีกด้านหนึ่ง วลัญช์เดินออกจากห้องมาตามทางสู่ห้องพนักงาน มือยังลูบหัวตัวเองป้อย ๆ นึกโกรธผู้จัดการคนนี้ที่ชอบแกล้งตน แต่พอหลุบตามองลงงานในมือ จากตอนแรกที่โกรธอยู่ดี ๆ กลายเป็นเศร้าขึ้นมา และพอมาถึงห้อง ไม่รู้ว่าตนไปเศร้าท่าไหน พี่พนักงานคนอื่น ๆ ถึงกรูเข้ามาช่วยอธิบายงานกันใหญ่

บ้างอธิบายไปก็บอกว่าผู้จัดการใจร้ายไป บ้างก็บอกว่าคงจะแกล้งเพราะเอ็นดู เห็นหน้าตาน่ารัก เป็นลูกประธานฯ แต่คนอย่างวลัญช์ไม่เชื่อหรอก แกล้งเพราะเอ็นดูอะไรกันล่ะ คงแกล้งเพราะตัวเองทำงานหนักจนเครียดแล้วระบายใส่ประธานฯ ไม่ได้ เลยมาลงกับลูกเขามากกว่า

หนุ่มน้อยบ่นอุบในลำคอก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์แล้วลงมือพิมพ์เอกสารตามคำแนะนำของรุ่นพี่พนักงานทันที ช่วงแรก ๆ ที่ทำเอกสารนี้มีติดขัดอยู่บ้าง เพราะงงว่าต้องทำยังไง เหมือนขั้นตอนมันวกวนซับซ้อนไปมา แต่ยังดีที่ได้ 'โชควุฒิ' รุ่นพี่หนุ่มที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันช่วยหาทางลัดในการทำงาน เขาเลยสามารถฝ่าฟันไปได้ งานช่วงกลาง ๆ ไปถึงทำได้เร็วขึ้น

"ลัญช์เก่งเลยนะ พี่ชอบคนฝีมือดี ไว้จบแล้วมาคุมแผนกพี่ที" เขาว่าติดตลกหลังจากช่วยดูงานให้

"พี่โชคก็ว่าเกินไปครับ เรื่องแค่นี้ใครจะทำไม่ได้กันล่ะ...ถ้าไม่ใช่ว่าคนสั่งแกล้งสั่งยาก ๆ คนอื่นก็ทำได้หมดแหละ นี่สั่งอะไรก็ไม่รู้ ทำคนอื่นเดือดร้อน"

"คนสั่งแกล้ง? นี่เราไม่ชอบผู้จัดการเหรอ เขาก็นิสัยดีออกนี่นา อาจจะให้งานยากมาบ้างเพราะอยากจะฝึกเราหรือเปล่า"

"เขาหัวเราะใส่ผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ" วลัญช์ไม่ตอบคำถามที่อีกฝ่ายถาม พูดไปอีกเรื่อง

"หัวเราะใส่? คุณอาคเนย์นิสัยดีมากเลยนะ ลัญช์ไปทำยังไงให้เขาหัวเราะได้ล่ะ ไม่แน่นะว่าเขาอาจจะหัวเราะเชิงเอ็นดู"

ไปทำยังไงให้เขาหัวเราะได้...ก็ไปมองหน้าหล่อ ๆ แล้วยืนตะลึงค้างอยู่ไง อยากจะเอาหน้าซุกแผ่นดินหนีจริง ๆ ทำไมต้องไปหลงอะไรขนาดนั้นทั้งที่เจอกันครั้งแรกด้วย ทีกับดารากับคนในแวดวงไฮโซหน้าตาดีมีเยอะแยะ ไม่หลงใหลได้ปลื้ม ดันมาปลื้มคนในบริษัทที่เรียนจบไปแล้วต้องเจอกัน ถ้าใครรู้ได้ล้อเรื่องนี้ยันลูกหลานแน่

วลัญช์คิดแล้วก็อาย กำลังจะลุกเดินหนีไปทางอื่นเพราะอยู่ไม่ติดที่ แต่เสียงข้อความจากไลน์ก็ดังขึ้น เป็นพ่อของเขาที่ทักมาสอบถามเรื่องงานนั่นเอง...เด็กหนุ่มก้มลงพิมพ์ตอบกลับไปว่างานสบายดี แต่ต้องปรับตัวอีกเล็กน้อยจึงจะทำได้คล่อง ส่วนพี่ ๆ ที่ทำงานก็น่ารัก ช่วยเหลืองานเขาดี จะมีก็แต่ผู้จัดการนั่นแหละที่ตั้งแง่ใส่เขา หางานยาก ๆ ให้ทำ

แต่พ่อของตนทำท่าไม่เชื่อเพราะอาคเนย์ไลน์มาบอกว่าวลัญช์น่ารัก อัธยาศัยดีมาก ดูท่าทางจะเป็นขวัญใจคนในแผนกและอาคเนย์ก็เอ็นดูอีกด้วย เขาถึงกับทำตาโต ผู้ใหญ่นั่นต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่างสุด ๆ พ่อได้แต่หัวเราะก่อนบอกว่าลูกชายคิดมากไปเอง อาคเนย์เป็นคนดี ทำงานเก่ง เป็นหน้าตาให้กับบริษัทถึงได้เป็นผู้จัดการตั้งแต่อายุยังน้อย มีอะไรก็ให้เชื่อฟังเขาไปก่อน เพราะถ้าทำงานยาก ๆ ได้ งานง่าย ๆ จะทำได้เอง สุดท้ายประธานฯ พ่อตนก็ทิ้งท้ายด้วยว่าวันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับเขา จะจัดให้เอิกเกริก ขอให้มาที่ดาดฟ้าตอนหกโมงครึ่งเป็นต้นไป

วลัญช์ถึงกับปะติดปะต่อเรื่องไม่ทัน งงเหลือเกินว่าทำไมถึงจัดการเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาฝึกงานปุบปับ แต่พอมานึกดูอีกทีตนก็ทำงานช้ากว่านักศึกษาฝึกงานคนอื่นไปสี่วัน เพราะพ่อมัวแต่ขอดำเนินเอกสารจุกจิกให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตามประสาแก ทำให้นักศึกษาคนอื่นได้ฝึกก่อนตนตั้งแต่วันจันทร์ และวันนี้เป็นวันศุกร์ เป็นวันแรกที่เขาได้มาฝึกงาน คงเป็นโชคดีสำหรับเขาคนเดียวที่ฝึกงานแล้วได้กินเลี้ยงในวันเดียวเลย แต่เป็นโชคร้ายสำหรับคนอื่นหน่อย ๆ โชคร้ายขนาดที่ว่าถ้าปล่อยให้นักศึกษาคนอื่นรู้คงไม่วายโดนนินทาลับหลัง

แต่ทำยังไงได้ ก็เขาเป็นลูกประธานฯ บริษัทที่มีอำนาจยื่นเรื่องเอกสารและทางมหาวิทยาลัยก็เกรงใจด้วยนี่นา ช่วยไม่ได้จริง ๆ

วลัญช์ทอดถอนใจ ลงมากินข้าวก็เห็นนักศึกษาคนอื่นจากคณะเดียวกันไม่ทักไม่ทายตน จึงได้แต่เก็บความน้อยใจเอาไว้ ขณะนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว เสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้นเรียกเขาออกจากภวังค์ความวิตก

"ขอนั่งกินข้าวด้วยคนนะ" เมื่อเงยหน้ามา...เห็นว่าใครพูดก็แทบอยากจะลุกหนี

"ผมว่าผู้จัดการกินข้าวในห้องน่าจะสบายกว่านะครับเพราะเปิดแอร์ น่าจะเป็นส่วนตัวกว่า" หรืออีกนัยคือ ไปกินข้าวในห้องซะสิ จะลงมาหาอะไรกินในโรงอาหารแล้วมานั่งกับผมทำไม

"แล้วทำไมคุณลัญช์ไม่ไปกินข้าวกับประธานฯ ห้องประธานฯ เปิดแอร์สบาย น่าจะเป็นส่วนตัวกว่า"

"ผมไม่ชอบน่ะครับ"

"ไม่ชอบ?" อาคเนย์ถามด้วยสีหน้าราบเรียบ ร่างสูง กิริยามารยาทดูโดดเด่นเหมือนเคยเรียกให้พนักงานในโรงอาหารหันมามองเป็นตาเดียว

"มันดูเด็กที่ต้องไปกินข้าวกับพ่อ ผมโตแล้ว หาข้าวกินเองได้"

ริมฝีปากหยักของคนฟังยกขึ้น มือหนาเลื่อนมาใต้คาง ตัวสั่นเล็กน้อยคล้ายคนพยายามกลั้นขำ วลัญช์เห็นท่าทางก็พอเดาออก

"คุณขำอะไรครับ" เด็กหนุ่มถามขึ้นมาทันที

"เปล่า" อาคเนย์หยุดยิ้ม ตอบเสียงราบเรียบ ตักข้าวเข้าปาก

"พ่อผมเลี้ยงผมไปดีหน่อย คุณอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ ผมแค่ไม่อยากโดนสปอยล์ให้เป็นลูกคุณหนูก็เลยต้องฝึกตัวเอง" เด็กหนุ่มบอกออกมา

"อืม" อาคเนย์พยักหน้ารับเบา ๆ ได้ฟังตัดชื้นเนื้อในจานอาหารส่งเข้าปากอย่างสุภาพ

"อ..อืมอะไรครับ" วลัญช์ถามต่ออีก อย่างน้อยตอบว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ได้ มาตอบเอิมตอบอืมแถมยังยิ้มนิด ๆ มันดูน่าหมั่นไส้ เด็กหนุ่มคิดแล้วก็คันยุบยิบในใจ ไม่รู้เลยว่าฟิลเตอร์ที่เขามองตนในตอนนี้เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่อยากกินขนมปังไส้แยมสตอเบอร์รี แต่ระแวงว่าผู้ใหญ่จะให้แยมสับปะรดทั้งที่เห็นว่าเนื้อเป็นสีเหลือง อากัปกิริยาร้อนรนของคนหนุ่มกว่า มันดูน่าเอ็นดูในสายตาอาคเนย์มาก ยิ่งหน้าตาเจ้าตัวดูกึ่ง ๆ จะไม่ยอม แต่ก็กึ่ง ๆ ยอมไปในที ยิ่งทำให้เขายิ้มออกมาจนต้องเบือนหน้าไปมองทางอื่นเพราะไม่อย่างนั้นคงฉีกยิ้มกว้าง เผลอเอื้อมมือไปลูบหัว

การกระทำนั้นทำให้เด็กหนุ่มกว่ารู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก เรียกชื่อเขาเสียงกระซิบ

"คุณอาค"

พอได้ยินเสียงอีกคนเรียก จากที่เก๊กหน้าไว้กลับเพิ่มรอยยิ้มบนใบหน้าผู้จัดการหนุ่ม วลัญช์เห็นท่าตัวเองจะทนสงครามประสาทไม่ไหว รีบเก็บจานชามส้อมไปทันที อาคเนย์รวบช้อนส้อมทำท่าจะลุกขึ้นบ้าง แต่วลัญช์หันมาบอกก่อน

"ไม่ต้องตามผมมาเลยนะครับ"

คนตัวโตกว่าก็เลยไม่ตามไป แต่เพราะเห็นอีกฝ่ายเดินหาที่วางจานช้อนส้อมอยู่นาน สุดท้ายก็เลยต้องมาช่วยพาไปส่งถึงที่ซิงก์ล้างจาน คนตัวเล็กกว่าขอบคุณเสียงอ้อมแอ้มเพราะบอกไม่ให้ตามมา แต่อีกฝ่ายกลับมาช่วยตนไว้ซะอย่างนั้น ดวงตากวางก้มลงมองมือตนที่ล้างอะไรยังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นัก ร้อนถึงผู้ใหญ่ที่ยืนดูอยู่นานต้องมาช่วยโดยยืนซ้อนหลังแล้วเอื้อมไปจับมือ

"ผมขออนุญาตนะ" เขาก้มลงกระซิบเสียงแผ่วข้างหู คนตัวเล็กพยักหน้าอนุญาตทั้งที่ขนอ่อนลุกชัน หน้าร้อนผ่าว

"อ๊ะ" ใจเต้นตึกตักราวกับกลองเพลทั้งที่ไม่ทราบสาเหตุ

"มือนุ่มแบบนี้ อยู่บ้านได้หยิบจับอะไรบ้างไหม" เสียงนุ่ม ๆ ชวนให้จั๊กจี้ดังขึ้นใกล้ ๆ หู ขณะที่คนถามดึงจานออก แล้วเช็ดคราบสกปรกออกให้เลย

"ผม...ก็เคย..."

"เคยอะไร หืม" สำหรับผู้จัดการ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมาจากตัวเด็กหนุ่ม มันเลยทำให้เขาอยากเข้าใกล้มากกว่าเดิม

"คุณอาคเอาหน้าถอยไปก่อนได้ไหมครับ" วลัญช์บอก ใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะไปหมด อาคเนย์นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะถอยออกมาพร้อมก้มหัวให้นิด ๆ เป็นเชิงขอโทษ วลัญช์เห็นก็รู้สึกอายเข้าไปใหญ่ ได้แต่เงียบ จนกระทั่งล้างจานกับช้อนส้อมเสร็จแล้ว คนตัวเล็กถึงได้ก้มหัวขอบคุณอีกครั้งแล้วขึ้นออฟฟิศไปโดยไม่หันมามองหน้าอีกเลย

นัยน์ตาคมหรี่ลงฉายแววบางอย่างหลังจากอีกคนจากไป เป็นแววตาที่แม้กระทั่งตัวเขาเอง ถ้าได้มาเห็น...ก็อ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่