webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ตอนที่ 6 ออกงานครั้งแรก1/2

ยามเฉิน

สาวใช้ทั้งสองต่างชำเลืองมองใบหน้าจิ้มลิ้มของคุณหนูที่ดูอิดโรย ร่างอรชรในอาภรณ์สีขาว ปลายกระโปรงโดยรอบปักลายดอกเหมยสีชมพูอ่อนดอกเล็กๆ อย่างประณีตและงดงาม ยามนี้พวกนางได้แต่นั่งทอดถอนใจ คุณหนูเป็นอะไร หรือนึกเสียใจที่ต้องกลับคฤหาสน์สกุลชิง แม้จะสงสัยเพียงใดก็มิกล้าถาม ด้วยเกรงว่าจะทำให้คุณหนูขุ่นเคืองใจ

"พี่หลินเอ๋อร์ ข้ามารับท่านแล้ว"

เสียงใสๆ ของเด็กน้อยในอาภรณ์สีฟ้าน้ำทะเลดึงชิงหลินที่คิดไม่ตกกับเรื่องไม่กี่ชั่วโมงก่อนให้หันไปมอง แล้วก็ต้องอมยิ้มเมื่อเห็นเด็กน้อยเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาหา

"เฟิงเอ๋อร์ มาหาพี่สาวแต่เช้ามีอะไรหรือ" นางเอ่ยถามเด็กน้อย

"ข้ามารับท่านไปกินอาหารเช้าด้วยกันขอรับ"

ชิงหลินยิ้ม ต่อมามุมปากพลันกระตุกเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ชายที่เอาแต่ใจคนนั้นซ้อนทับใบหน้าของเด็กน้อย นางไพล่นึกไปถึงคำขู่ทิ้งท้ายหลังจากที่เขาเหาะพานางมาส่งที่เรือน

"อย่าให้บุรุษใดเข้าใกล้หรือโอบกอดเจ้าได้อีกเป็นหนที่สอง ไม่เช่นนั้น..."

นางฟังแล้วยังอดขนลุกไม่ได้ เพราะเขาต้องทำอย่างที่พูดแน่ๆ

หลังมื้อเช้าชิงหลินได้รู้ความจริงอย่างหนึ่ง นั่นคือไม่มีใครรู้เรื่องที่คู่หมายของนางกลับมายังจวนสกุลมู่เลย ซึ่งนางก็ไม่คิดจะบอกใครเหมือนกัน

จนล่วงเข้ายามซื่อ หูเอ้าเทียนก็พาร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวเข้ามาในเก๋งที่อยู่ริมสระบัว โดยมีศิษย์ตัวน้อยและสหายต่างวัยของผู้เป็นศิษย์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

"ศิษย์คารวะอาจารย์" มู่หลิ่งเฟิงทำความเคารพผู้เป็นอาจารย์ แววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและศรัทธา

"ชิงหลินคารวะอาจารย์หูเจ้าค่ะ" นางยอบกายทักทายอย่างงดงามเลียนแบบภาพยนตร์จีนที่เคยดู พลางชำเลืองมองเขา

'อืม..อายุน่าจะพอๆ กับเฟิ่งอิง มาดออกคุณชายเจ้าสำอางต่างกับเฟิ่งอิงของเราลิบลับ เมื่อวานมัวแต่ตะลึงความหล่อ น่าขายหน้าจริงๆ'

"ทั้งสอง ตามสบาย อ้อ! คุณหนูชิง ข้าชื่นชมในความสามารถของเจ้ายิ่งนัก ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้เกียรติไปเยือนสำนักศิลปะหลิ่งจือของข้าได้หรือไม่" หูเอ้าเทียนถาม แววตาทอประกายชื่นชมเด่นชัด

ชายหนุ่มเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อสรรสร้างผลงานแปลกใหม่ที่ต่างจากผู้อื่น จนมีชื่อเสียงดังไปถึงวังหลวง ครั้นองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรรูปมังกรทะยานฟ้าของเขาเมื่อห้าปีก่อน พระองค์ก็มีพระประสงค์ให้สร้างสำนักศิลปะแห่งนี้ขึ้น โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนาง

"นับเป็นเกียรติยิ่งนัก เพียงแต่เวลานี้ข้ายังมีสิ่งที่ต้องจัดการ จะแล้วเสร็จเมื่อไรก็ยังไม่ทราบได้ แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าขอให้คำมั่นว่าจะไปเยือนสำนักศิลปะของท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ" ชิงหลินปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

"เช่นนั้น...ข้าจะรอ"

หญิงสาวยิ้มบางแทนคำตอบ

"อาจารย์ นี่คือรูปทิวทัศน์ในฝันของข้า ท่านคิดเห็นอย่างไรขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงรีบขัดตาทัพทันที เมื่อเห็นสายตาแพรวพราวของอาจารย์ที่ส่งให้ว่าที่พี่สะใภ้ของตน

'พี่ใหญ่ ท่านมัวทำอันใดอยู่ ได้โปรดกลับมาไวๆ เถิด'

"อืม..."

คฤหาสน์สกุลชิง

"การเดินทางเป็นเช่นไรบ้าง" ชิงฮูหยินเอ่ยถามบุตรีขณะที่เดินยิ้มเข้ามาหาตน โดยบุตรีส่งคนมาแจ้งว่าจะกลับวันนี้ สร้างความแปลกใจให้ตนและสามีไม่น้อย นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว นางปรารถนาจะยกเลิกการเป็นคู่หมายจริงแท้แน่นอน

"เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ แล้วท่านพ่อเล่าเจ้าคะ" ชิงหลินยิ้มตอบมารดา ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง ด้วยเข้าใจว่าคงมีคนมารายงานให้ทราบก่อนแล้ว สังเกตจากความห่วงใยในแววตาของมารดาที่มองมา

"จริงสิ นี่เป็นเทียบเชิญชมบุปผาจากจวนเสนาบดีหาน เจ้าอยากไปหรือไม่" ชิงฮูหยินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ด้วยไม่เซ้าซี้ให้มากความ

"ท่านแม่ไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ" หญิงสาวย้อนถาม เมื่อเห็นท่านแม่พยักหน้าจึงกล่าวต่อ "ถ้าเช่นนั้นลูกขอติดตามท่านแม่ไปด้วยเจ้าค่ะ"

ว่ากันตามจริงแล้วการได้รับเทียบเชิญจากขุนนางถือเป็นเกียรติยิ่งต่อตระกูลคหบดีที่ไร้ยศและตำแหน่ง แต่เพราะชิงหยวนได้รับความไว้วางใจจากองค์ฮ่องเต้ มีสหายสนิทอย่างมู่หลิ่งฟู่ซึ่งเป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊ และตระกูลหยางฝ่ายมารดายังเป็นตระกูลขุนนาง จึงมีเทียบเชิญมายังคฤหาสน์มากมาย เพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง และแน่นอนว่าถ้าชิงหลินมิได้มีคู่หมายอยู่ก่อน คฤหาสน์แห่งนี้คงคลาคล่ำไปด้วยแม่สื่อเป็นแน่แท้

ยามเทศกาลชมบุปผามาเยือน ภายในคฤหาสน์สกุลชิงก็ยิ่งคึกคักและวุ่นวาย เมื่อคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวจะออกงานครั้งแรกในรอบสิบหกปี ต้องดีและงดงามที่สุด ให้ลือกันไปไกลข้ามปี ผิดกับเจ้าตัวที่แทบจะหมดแรง เพราะถูกปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แล้วยังโดนเสี่ยวอี้งอนใส่ แค่เพราะนางไม่ยอมให้เข้ามาอาบน้ำให้ จากนั้นก็เต็มไปด้วยอะไรไม่รู้มากมายไปหมด แค่ทำผมก็กินเวลาไปครึ่งชั่วยามจนนางสัปหงกแล้วสัปหงกอีก ชุดนี่ก็จะอะไรนักหนา สามชั้นสี่ชั้น ทั้งร้อนทั้งรุ่มร่าม จะเดินเหินก็ลำบาก

"คุณหนู งดงามมากเลยเจ้าค่ะ" เสี่ยวสุ่ยมองคุณหนูของนางด้วยสายตาชื่นชม

"ขอบใจ ไปกันเถิด เดี๋ยวท่านแม่จะรอนาน" ชิงหลินยิ้มรับคำชมแล้วหมุนกายเดินนำออกมา โดยมีเสี่ยวสุ่ยและเสี่ยวอี้ช่วยประคอง

ใช้เวลาเดินทางโดยรถม้าเพียงสองเค่อก็ถึงจวนเสนาบดีหาน หานหนิงเฉิง เสนาบดีฝ่ายบุ๋น บุรุษร่างอ้วนไว้เคราวัยห้าสิบปีในอาภรณ์ลำลองสีน้ำตาลเข้ม แลดูใจดี ยืนต้อนรับแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ข้างๆ มีบุรุษหนุ่มรูปงามคล้ายบัณฑิตในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ท่วงท่าสง่างามอย่างผู้ที่ถูกฝึกมาอย่างดี สมเป็นคุณชายตระกูลหานที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ ถัดมาคือฮูหยินใหญ่หาน นามว่าซูเจียว สตรีร่างอวบวัยราวสามสิบปลายๆ ในอาภรณ์สีแดงเลือดนก คอยทักทายฮูหยินและบุตรีของตระกูลต่างๆ

"ชิงหยวนคารวะท่านเสนาบดีหาน" หานหนิงเฉิงตบบ่าชิงหยวนเบาๆ พลางหัวเราะเสียงดัง ที่ดูไม่รู้ว่าจริงใจหรือเสแสร้ง "ตามสบาย คนกันเองทั้งนั้น เอ๊ะ! เจ้าก็คือ..."

"ชิงหลินคารวะท่านเสนาบดี ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนมากว่าร้อยปีเจ้าค่ะ" ชิงหลินจำเป็นต้องแนะนำตัวเองเมื่อถูกถาม

"ฮ่าๆๆ ข้าไม่เคยได้รับคำอวยพรเช่นนี้มาก่อน มากกว่าร้อยปีหรือ เหตุใดจึงใช้คำว่ามากกว่าร้อยปีแทนคำว่าร้อยๆ ปีกันเล่า" หานหนิงเฉิงใคร่รู้จริงๆ ว่านางเลอะเลือนจึงจำผิดจำถูกหรือจงใจกันแน่

"เดิมทีข้าน้อยคิดจะใช้คำที่ท่านเสนาบดีกล่าว แต่เมื่อได้พบท่านจึงแจ้งแก่ใจทันทีว่าต้องใช้คำว่า 'มากกว่าร้อยปี' จึงเหมาะสมที่สุดเจ้าค่ะ ขอท่านเสนาบดีอภัยในความคิดที่แสนตื้นเขินของข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ"

ถ้อยคำที่ออกจากปากล้วนฉะฉาน อีกทั้งท่าทางที่ดูเฉลียวฉลาด และความสุขุมเยือกเย็นของนาง เรียกความสนใจจากแขกเหรื่อที่ยืนรอทักทายเจ้าของจวนได้เป็นอย่างดี และหนึ่งในนั้นคือเสนาบดีมู่หลิ่งฟู่กับมู่ฮูหยิน ที่ยืนยิ้มภูมิใจในตัวว่าที่สะใภ้ใหญ่ของตน

"ความหมายของเจ้าคือ?" หานหนิงเฉิงเลิกคิ้วถาม

"ท่านพ่อ ความหมายของนางคือท่านพ่อดูหนุ่มแน่นกว่าที่นางคาดไว้มาก จึงเป็นเหตุให้นางแก้คำอวยพรเสียใหม่ ข้าพูดถูกหรือไม่" หานหนิงหลงอธิบายแทนนาง

"เป็นเช่นที่คุณชายกล่าวเจ้าค่ะ" ชิงหลินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงเหมือนเดิม

"ฮ่าๆๆ ดีๆ ถูกใจข้าจริง อาหยวน เจ้ามีบุตรีที่แสนเฉลียวฉลาด ซ้ำยังงดงามถึงเพียงนี้ ช่างน่ายินดียิ่งนัก น่าเสียดายที่นางมีคู่หมายเสียแล้ว น่าเสียดาย" หานหนิงเฉิงกล่าวด้วยความเสียดาย แต่ดวงตาไม่ได้สื่อออกมาอย่างที่กล่าวเลยแม้แต่น้อย

ขณะที่หานหนิงหลง บุตรชายรูปงามวัยยี่สิบปี รู้สึกเสียดายนางไม่น้อย ด้วยถูกใจในรูปโฉมที่งดงามบวกกับความเฉลียวฉลาดคล้ายบัณฑิต ในสายตาของเขา นางช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจมากทีเดียว

งานชมบุปผาครานี้จัดในสวนเหมยฮวาที่ดอกเหมยหลากสีสันกำลังบานสะพรั่งงดงามควรค่าแก่การจัดงานยิ่งนัก ชิงหลินเดินเข้ามาในบริเวณที่จัดงาน โดยมีเสี่ยวอี้ตามหลัง ส่วนบิดามารดาต่างก็แยกตัวไปยังส่วนที่ทางเจ้าของจวนจัดไว้ต่างหาก การจัดงานในครั้งนี้มีสี่โซนคือ โซนพ่อ โซนลูกชาย โซนแม่ และโซนลูกสาว คาดว่าโซนพ่อน่าจะเครียดที่สุด เพราะเมื่อบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดมารวมกัน คงหนีไม่พ้นเรื่องของผลประโยชน์และการห้ำหั่นกันทางสายตาและวาจาแน่ๆ

"อุ๊ย! นั่นมิใช่คุณหนูชิงที่ปฏิเสธเทียบเชิญทุกคราหรอกหรือ"

ชิงหลินยังไม่ทันจะได้นั่งก็โดนมดกัดเสียแล้ว นางจึงส่งยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาให้เจ้าของเสียงเล็กที่แสนจะดัดจริตในความคิดของตน ก่อนจะเลิกคิ้วเรียวข้างหนึ่งด้วยความสงสัย 'เด็กหน้าสวยนี่ใคร'

"คุณหนู นางคือคุณหนูใหญ่หาน นามว่าหนิงอัน จะเข้าพิธีปักปิ่นเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ" เสี่ยวอี้ป้องปากกระซิบบอก ชิงหลินจึงหันกลับไปมองหญิงงามอีกครั้ง คนงามสวมอาภรณ์สีชมพูสด ใบหน้างดงามขาวผ่อง ก็ให้นึกถึงสุภาษิตที่ว่า 'ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง' ขึ้นมา ถ้าเทียบกับชิงหลิน เด็กสาวหนิงอันผู้นี้ก็ถือว่างดงามกว่าชิงหลินหนึ่งส่วน

"ที่ผ่านมา ด้วยร่างกายอ่อนแอจึงมิอาจตอบรับคำเชิญได้ หวังว่าน้องหนิงอัน พี่สาวและน้องสาวทุกคนจะไม่ถือสา" ชิงหลินตอบยิ้มๆ อย่างมีมารยาท

"เช่นนั้นยามนี้พี่หลินคงหายดีแล้วเป็นแน่แท้? จึงได้ตอบรับเทียบเชิญแสนต่ำต้อยของข้า" หานหนิงอันมิยอมปล่อยผ่านโดยง่าย ด้วยชื่นชอบในตัวแม่ทัพหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉี นามมู่หลิ่งเหวิน ซึ่งเป็นสหายรักของหานหนิงเฟิ่งผู้เป็นพี่ชาย หานหนิงอันจึงได้มีโอกาสพบและพูดคุยกับแม่ทัพหนุ่มหลายคราว แม้จะมิมีท่าทีเกี้ยวพาแต่ก็มิได้ผลักไส ทำให้เด็กสาวมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า กาลข้างหน้าตนอาจจะได้อยู่เคียงคู่กับบุรุษที่ปรารถนา ถ้าไม่ใช่เพราะคำสัญญาบ้าบอนั่น!

"คิกๆ บุตรีแห่งเสนาบดีผู้เปี่ยมไปด้วยบารมีจะต่ำต้อยได้อย่างไร เช่นนั้นสกุลชิงของพี่สาวไม่เป็นเพียงฝุ่นธุลีดินหรอกหรือ" คำพูดที่คล้ายถ่อมตัวแต่สะกิดให้ผู้ฟังต้องคิดตาม นางจะสื่อว่าคุณหนูหานไม่พอใจในยศตำแหน่งของผู้เป็นบิดาใช่หรือไม่ ช่างเป็นสตรีโลภมากเสียจริง!

หานหนิงอันโกรธจนตัวสั่น สองมือขาวกำชายกระโปรงแน่น จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย

"เอ่อ...คุณหนู แขกมากันครบแล้วเจ้าค่ะ" สาวใช้ประจำตัวหานหนิงอันกระซิบเบาๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดี

"ข้ารู้แล้ว เชิญพี่สาวน้องสาวทุกท่านชิมชาและชมบุปผาร่วมกันเจ้าค่ะ" หานหนิงอันสะบัดหน้าใส่ชิงหลิน ฝืนยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะเยื้องย่างราวกับนางพญาไปนั่งอยู่ในส่วนเจ้าบ้าน

ชิงหลินแอบทำปากเบ้ ก่อนจะเดินนำสาวใช้ไปนั่งยังโต๊ะเตี้ยๆ บนโต๊ะมีชาหอมๆ ขนมและผลไม้หลากหลายชนิด มือเรียวหยิบชาขึ้นจิบพอเป็นพิธี พลางสำรวจบริเวณโดยรอบ

"อืม...ที่นี่สวยดี" นางพึมพำอย่างชื่นชม เหลือบมองโต๊ะเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กันรอบสระบัวสายขนาดใหญ่ มีดอกบัวหลายสีกระจายเต็มสระ ดอกเหมยก็สวยมีแต่ดอกจนแทบมองไม่เห็นใบ มัวแต่ชมความงดงามของบุปผาเพลินไปหน่อยจนไม่ได้ยินเสียงของหานหนิงอัน

"คุณหนูเจ้าคะ"

"หือ? มีอะไรเสี่ยวอี้"

"พี่หลิน เราทุกคนตกลงกันว่าจะเขียนรูปบุปผา โดยมีกำไลหยกขาวมันแพะเป็นรางวัล พี่หลินอยากร่วมด้วยหรือไม่" หานหนิงอันยิ้มหยัน ด้วยทราบดีว่าชิงหลินไร้พรสวรรค์ด้านนี้โดยแท้

'ความอับอายคราวนี้ข้าจะส่งคืนเจ้าอย่างสาสม นางคนชั้นต่ำ!'

"งานนี้พี่สาวจะพลาดได้อย่างไร" ชิงหลินยิ้มตอบด้วยแววตาทอประกายสนุกสนาน

เมื่อได้เวลา เหล่าคุณหนูจากตระกูลต่างๆ ราวห้าสิบคนซึ่งมีอายุระหว่างสิบสี่ถึงสิบเจ็ดปีและยังไม่ได้ออกเรือน หรือบางนางก็มีคู่หมายเช่นเดียวกับชิงหลิน แต่ยังไม่ได้หมั้นก็เข้าร่วมได้เช่นกัน ทั้งหมดต่างแยกย้ายหามุมที่พึงใจ ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนรูปกันอย่างจริงจัง

"เสี่ยวอี้ เจ้าไปเอาอุปกรณ์เขียนรูปของข้ามาที" ชิงหลินสั่งโดยที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน นางทำเพียงมองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาที่สระบัวอีกครั้ง ดวงตากลมโตสั่นไหวเมื่อเห็นบางอย่างเกาะอยู่บนใบบัวริมสระตรงหน้า แมลงปอกำลังตกเป็นเหยื่อเจ้ากบตัวใหญ่ นางจึงลุกขึ้นหมายจะไล่เจ้าแมลงปอไม่ให้โดนเจ้ากบตวัดลิ้นกิน

ทันใดนั้นเองเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นใกล้ๆ "นังหนูระวัง!"

นางจึงเอนกายมาทางเสียงนั้นตามสัญชาตญาณ พร้อมกับเงาร่างหนึ่งวูบผ่านหน้าไป

ตูม!

เสียงคนตกน้ำ หญิงยุคนี้กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่ายน้ำไม่เป็น

"ว้าย! มีคนตกน้ำ ใครก็ได้ช่วยที" เสียงกรีดร้องของใครบางคนทำให้ชิงหลินได้สติ ไม่ทันที่ใครจะคาดคิด คุณหนูชิงผู้ที่ได้ชื่อว่าอ่อนแอผู้นั้น จะกล้าปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนจนเหลือเพียงอาภรณ์สีขาวแสนบาง แล้วพุ่งตัวลงไปในสระบัว ว่ายเข้าไปหาเด็กสาวที่กำลังตะเกียกตะกายหนีความตายสุดชีวิต ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมองอย่างโง่งมและลุ้นจนตัวโก่ง กว่าจะช่วยขึ้นมาได้ก็ทุลักทุเลพอควร

เมื่อพาเด็กสาวขึ้นมาจากน้ำได้แล้ว ชิงหลินก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างสระบัวด้วยความอ่อนแรง โดยลืมไปเลยว่ามีสายตาหลายคู่มองอยู่ บ้างก็มองอย่างชื่นชมในความกล้าหาญ บ้างก็มองด้วยความประหลาดใจที่เห็นนางว่ายน้ำได้ แต่อีกหลายคนกำลังหน้าแดงเพราะ...

"ไอหยา! คุณหนู ท่าน..." เสี่ยวอี้อึกอักไม่กล้าพูดต่อ รีบนำชุดมาคลุมให้คุณหนูของตนที่ยังนั่งหอบอยู่

"ข้าไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้าเถอะ เป็นเช่นไรบ้าง กินน้ำไปหลายอึก คงอิ่มแล้วกระมัง" ชิงหลินกระชับเสื้อคลุมแล้วเอ่ยถามเด็กสาวที่นั่งกอดผ้าห่มอยู่ใกล้ๆ ทั้งยังมีอาการปากซีดตัวสั่น

"บะ...บ่าวไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณคุณหนูที่เสี่ยงช่วยชีวิตอันต่ำต้อยของบ่าว บ่าวจะไม่มีวันลืมบุญคุณครั้งนี้เลยเจ้าค่ะ" เด็กสาวรีบคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้น กลั้นสะอื้น ดวงตาแดงก่ำ ไม่กล้าเงยหน้ามองผู้มีพระคุณ ด้วยรู้สึกละอายใจที่เกือบพลั้งมือทำเรื่องเลวร้ายที่ไม่อาจอภัยได้ตามคำสั่งของคุณหนูหานหนิงอัน แลกกับเงินจำนวนหนึ่งเพื่อนำไปเป็นค่ารักษามารดาที่เจ็บป่วย

"เกิดเรื่องอันใดหรือ" เสียงที่ค่อนข้างดังพร้อมด้วยการปรากฏตัวของบุรุษร่างอ้วนในชุดสีน้ำตาลเข้ม ตามด้วยบรรดาบุรุษและสตรีหลากหลายวัยหลายสิบชีวิต ที่แห่เข้ามาดูและสังเกตการณ์ เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากส่วนนี้

"เอ่อ...ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอันใด เพียงแค่บ่าวคนหนึ่งตกน้ำเจ้าค่ะ" หานหนิงอันกัดฟันกล่าว สองมือกำแน่นด้วยความเจ็บใจ

"เหตุใดพี่หนิงอันไม่แจ้งด้วยเล่าว่าพี่หลินเป็นสตรีที่กล้าหาญ เสี่ยงชีวิตช่วยบ่าวของท่านเอาไว้ ไม่เช่นนั้นนางคงกลายเป็นศพไปแล้ว" เสียงหนึ่งในบรรดาคุณหนูที่ไม่ค่อยชื่นชอบคุณหนูหานผู้นี้นักเอ่ยเป็นเชิงตำหนิในความใจแคบของหานหนิงอัน

"หลินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" ชิงฮูหยินรีบเดินเข้ามาหาบุตรีที่ยืนปากซีด ผมดำยาวเปียกลู่แนบใบหน้างามด้วยสายตาเป็นห่วง

ชิงหลินไม่ตอบเพียงแต่ส่งยิ้มเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่ความจริงนางหนาวจะตายอยู่แล้ว รีบๆ จบเรื่องเถิด 'อา...จริงสิ แกล้งเป็นลมดีกว่า' แล้วนางก็แสร้งเป็นลมล้มพับไปทันที ท่ามกลางเสียงร้องเอะอะรอบตัว แต่นางหาได้สนใจไม่ บวกกับความอ่อนเพลียที่สะสม ทำให้นางผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของมารดา

ล่วงเข้ายามอู่[1] ชิงหลินสะดุ้งตื่นพร้อมกับความสดชื่น เพราะได้งีบไปราวครึ่งชั่วยาม

"คุณหนูเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ดื่มยาหน่อยนะเจ้าคะ หานฮูหยินให้คนนำมาให้ท่าน" แม่นมฝูส่งถ้วยยาให้ ชิงหลินเห็นแล้วก็ทำปากเบ้พลางหันหน้าหนี แต่แม่นมฝูใจแข็งยื่นถ้วยยาไปจ่อปากคุณหนูจนนางยอมแพ้ ต้องดื่มเข้าไปอย่างจำใจ

"จริงสิ ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร" ก่อนจะหลับไป นางคลับคล้ายคลับคลาว่ามีใครสักคนอุ้มนางไว้แนบอก มันเป็นสัมผัสที่คุ้นเคยพร้อมเสียงกระซิบเบาๆ สองสามประโยค แต่ที่แน่ๆ เป็นเสียงบุรุษและไม่ใช่บิดาของนาง

"เป็นคู่หมายของลูกหาใช่ใครอื่นไม่" ชิงฮูหยินเดินยิ้มเข้ามานั่งลงข้างบุตรีที่เปลี่ยนอาภรณ์ใหม่แล้ว เมื่อเห็นว่าบุตรีนิ่งไม่ตอบอะไร ผู้เป็นมารดาจึงกล่าวต่อ "หลินเอ๋อร์ เหตุใดที่หลังของเจ้า..."

ย้อนไปราวชั่วยามก่อน บุตรีของตนหมดสติ หานหนิงหลงออกตัวเข้ามาช่วยเหลือ แต่ไม่คิดว่าว่าที่บุตรเขยจะรวดเร็วปานสายฟ้า ตรงเข้ามาอุ้มนางด้วยใบหน้าเครียดขรึม ส่งสายตาคล้ายไม่พอใจให้หานหนิงหลงที่ยืนอึ้งอยู่ แล้วก็พาบุตรสาวเข้ามายังห้องรับรอง ก่อนจะออกไปโดยไม่พูดจาแม้สักครึ่งคำ จากนั้นก็เป็นแม่นมฝูและเสี่ยวอี้ช่วยกันผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่เปียกชุ่มให้บุตรี จึงได้เห็นว่ากลางแผ่นหลังขาวผ่องของชิงหลินมีภาพสัตว์สีฟ้า มีปีกคล้ายมังกร ใต้หล้าจะมีสัตว์เช่นนี้จริงหรือ แล้วเหตุใดนางจึงมีสิ่งนี้ได้

"เอ่อ...ท่านแม่ เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ จริงสิ แม่นม เด็กสาวที่ข้าช่วยไว้อยู่ที่ไหน ข้าอยากพบนาง ช่วยไปตามนางมาพบข้าที" นางกล่าวกับมารดาจบก็หันมาพูดกับแม่นมฝู

"คุณหนู นางมาแล้วเจ้าค่ะ" ครู่ต่อมาเสี่ยวอี้ก็นำเด็กสาววัยราวสิบสามปี สวมชุดสีเทาหม่นเนื้อหยาบที่ผลัดเปลี่ยนแล้ว แต่ผมยังคงเปียกลู่ ขณะที่หน้าตาซีดเซียวเล็กน้อย เข้ามาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าชิงหลิน

"เจ้าชื่ออะไร" ชิงหลินเอ่ยถามเด็กสาวที่นางเพิ่งช่วยชีวิตไว้

"บะ...บ่าวชื่อเสี่ยวเอินเจ้าค่ะ"

"เอาละ เสี่ยวเอิน เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดจนกว่างานนี้จะเลิก ห้ามเจ้าหนีหายไปไหนเด็ดขาด เจ้าทำได้หรือไม่"

เสี่ยวเอินเงยหน้ามองผู้มีพระคุณอย่างโง่งม รวมถึงทุกคนที่อยู่ในห้อง

"เพราะเหตุใดหรือ" ชิงฮูหยินถามด้วยไม่ทราบเจตนาของบุตรสาว

"ท่านแม่ ข้าจะเล่าเรื่องราวให้ท่านฟังทุกอย่าง เพียงแต่เวลานี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ยามนี้ขอให้ท่านแม่เชื่อใจข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"

ชิงฮูหยินถอนหายใจ หลินเอ๋อร์ของตนช่างเอาแต่ใจนัก "เอาเถิด ตามใจเจ้า แม่หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องอันตราย" ผู้เป็นมารดากล่าวเตือนกลายๆ ชิงหลินทำเพียงส่งยิ้มให้มารดา

"เป็นเช่นไรบ้างหลินเอ๋อร์น้อยของป้า อุ๊ย...นั่งลงเถิด ไม่ต้องมากมารยาทไป" มู่ฮูหยินรีบเข้ามาประคองหญิงสาว

"ขอบคุณท่านป้าที่เป็นห่วง หลินเอ๋อร์ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ" 'ก็ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่หาเรื่องนอนเท่านั้น'

"เรียนมู่ฮูหยิน ชิงฮูหยิน นายหญิงสั่งให้บ่าวนำอาหารมาให้คุณหนูชิงเจ้าค่ะ"

ชิงหลินมองอาหารคาวหวานหลายชนิดด้วยตาเป็นประกายเพราะกำลังหิวพอดี

"ช่วยเรียนหานฮูหยินด้วยว่าข้าซึ้งในน้ำใจ อาหารเหล่านี้ถูกใจข้ายิ่งนัก"

"บ่าวทราบแล้ว เช่นนั้นบ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ"

หลังอาหารมื้อกลางวันผ่านไป ชิงหลินจึงได้รู้ว่าช่วงบ่ายโซนลูกสาวจะมีการเขียนรูปประชันฝีมือด้วยพู่กันจีนในหัวข้อดอกเหมย โดยผู้ตัดสินแพ้ชนะในครั้งนี้คืออัครเสนาบดีตู้ฮุ่ยเปียว

เมื่อนางกลับเข้ามาในงานโดยมีเสี่ยวอี้และเสี่ยวเอินตามติดไม่ห่าง มีคุณหนูหลายคนเข้ามาไถ่ถามเพื่อแสดงความใจกว้าง มีเพียงคนเดียวที่ดูจะจริงใจ และเป็นคนเดียวกับที่กล้าตำหนิหานหนิงอัน นางคือตู้เหมยฮวา ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงกล้า ก็นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของตู้ฮุ่ยเปียว ประธานงานชมบุปผาในครานี้

ทางด้านหานหนิงอันตวัดสายตาใส่ชิงหลิน แล้วจึงปรายตามองเสี่ยวเอินที่เอาแต่ก้มหน้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะสะบัดหน้าเดินจากไป หลังจากนั้นการแข่งขันก็เริ่มขึ้นโดยให้เวลาจนถึงยามอิ่ว[2]

"ขอเรียนเชิญคุณหนูทุกท่าน ตามบ่าวมาทางนี้เจ้าค่ะ" เสียงของสาวใช้นางหนึ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าการแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปจะเป็นการร่วมรับประทานอาหารค่ำพร้อมหน้ากัน ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มๆ สาวๆ ได้เห็นหน้าค่าตากันเพื่อปูทางในการเชื่อมสัมพันธ์ต่อไป

ชิงหลินเดินรั้งท้ายเข้ามาในโถงหลัก ดวงตากลมโตมองไปยังด้านข้างห้องโถงทั้งสองฝั่ง มีโต๊ะกลมปูด้วยผ้าสีแดงหลายสิบตัว โต๊ะแต่ละตัวมีเก้าอี้วางอยู่หกตัว ด้านในสุดของห้องโถงมีชายวัยราวห้าสิบกว่าๆ ในอาภรณ์ลำลองสีน้ำเงินเข้มนั่งอยู่ตรงกลาง กำลังสนทนากับหานหนิงเฉิงอย่างออกรส ด้านหน้าทั้งสองมีโต๊ะกลมปูด้วยผ้าสีแดงเช่นเดียวกัน ถัดออกมาเป็นโต๊ะของมู่ฮูหยินและถ้าเดาไม่ผิด อีกคนน่าจะเป็นตู้ฮูหยิน

"หลินเอ๋อร์"

เสียงเรียกของมารดาทำให้นางหันไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม แต่แล้วก็ต้องชะงักยิ้มค้าง มุมปากกระตุก เมื่อเห็นบุรุษรูปงามที่พ่วงตำแหน่งคู่หมายกำลังมองมา

มู่หลิ่งเหวินในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มแต่อ่อนกว่าของตู้ฮุ่ยเปียวหนึ่งส่วนยกมุมปากยิ้ม ดวงตาทอประกายขบขัน เมื่อเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของนาง

"หลินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือ มานั่งลงข้างๆ พี่เหวินของเจ้านี่สิ" มู่ฮูหยินกวักมือเรียกหญิงสาว ชิงหลินจึงเดินไปนั่งข้างคู่หมายรูปงามอย่างไม่เต็มใจนัก

มู่หลิ่งเหวินเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มบิดเบี้ยวและงอง้ำก็อดที่จะเย้าไม่ได้ "เป็นอันใดไป หรืออยากไปสุขา?" กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

"ข้าอยากจะไปก็ตอนได้เจอท่านนี่แหละเจ้าค่ะ" ถ้อยคำตอกกลับของนางทำเอามู่หลิ่งเหวินหุบยิ้มทันที ใบหน้าหล่อเหลางดงามตึงขึ้นสองส่วน เขาฉวยจับมือนางข้างหนึ่งไว้แล้วกำแน่นซึ่งไม่มีผู้ใดทันสังเกต

"ปล่อยนะเจ้าคะ" ชิงหลินกัดฟันกระซิบบอก พยายามดึงมือออกแต่ก็ไม่เป็นผล จึงส่งสายตาเขียวปั้ดให้เขา ทว่าเขากลับยกมุมปากยิ้มพร้อมกับเลิกคิ้วเข้มข้างหนึ่งให้นาง

"เอาละ เรียนเชิญทุกท่านกินอาหารร่วมกัน ณ บัดนี้" หานหนิงเฉิงกล่าวจบ พลางนั่งลงเชื้อเชิญประธานของงานด้วยท่าทางสุภาพ

ระหว่างมื้ออาหารมู่หลิ่งเหวินพยายามเอาใจนางด้วยการคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวให้จนพูน ท่ามกลางสายตาเอ็นดูของบิดามารดาของหนุ่มสาวทั้งสอง และสายตาริษยาเจือความเจ็บใจจากหานหนิงอันที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้เป็นอย่างดี

"นับแต่ยามอุ้ย[3] ในส่วนของบุตรีของเราและทุกท่านได้มีการแข่งขันเขียนรูปในหัวข้อดอกเหมยขึ้น ดังนั้นจึงขอทุกท่านร่วมชมด้วยกัน"

เมื่อหานหนิงเฉิงกล่าวจบ เหล่าสาวใช้ของคุณหนูต่างนำภาพวาดที่คุณหนูของตนได้รังสรรค์ขึ้นส่งให้พ่อบ้านตระกูลหาน พอพ่อบ้านหานเห็นภาพวาดของชิงหลินที่ส่งเป็นคนสุดท้าย พ่อบ้านหานก็พลันชะงัก คิ้วบางแซมขาวขมวดเข้าหากัน ดวงตาคล้ายสงสัยคล้ายตะลึง...

"มีอันใดหรือพ่อบ้านไห่" หานหนิงเฉิงเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของพ่อบ้านประจำตระกูลที่จ้องรูปสุดท้ายนิ่ง ไม่นำมาให้เสียที

[1] ยามอู่ คือช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 น. - 12.59 น.

[2] ยามอิ่ว คือช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 น. - 18.59 น.

[3] ยามอุ้ย คือช่วงเวลาตั้งแต่ 13.00 น. - 14.59 น.

อ่านแล้วช่วยส่งกำลังใจให้ไรท์ด้วยน้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts