ตื้ดดด🎶
เสียงโทรศัพท์ของภีมที่วางชาร์ตไว้ดังขึ้น คนกึ่งหลับกึ่งตื่น งัวเงียลุกขึ้นมารับสายอย่างมึนงง
"ครับ"
"ภีม อีก 10 นาที เดี๋ยวกูจะให้คนขับรถไปรับ"
สายถูกตัดทันทีที่พูดจบประโยคโดยไม่ได้รอฟังความคิดเห็นจากผู้ที่รับสาย ภีมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
ก๊อกๆๆ
เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ภีมสะดุ้งตื่นจากภวังค์แล้วรีบเดินไปเปิดประตู
"คุณภีมรึเปล่าครับ"
"ครับ ใช่ครับ"
"ท่านประธานให้ผมมารับ…และนี้ ชุดสำหรับใส่ไปงานวันนี้ครับ"
"งาน? งานอะไรครับ"
"งานหมั้นและงานแต่งของท่านประธานครับ"
เหมือนถูกรถชนแบบไม่ทันตั้งตัว คนที่ยืนอยู่จึงเข่าแทบทรุดจนคนขับรถต้องรีบเข้ามาพยุงตัวเอาไว้
"คุณภีม!เป็นอะไรรึเปล่าครับ"
"มะ ไม่ครับ ผมแค่เวียนหัว ไม่ค่อยได้นอนนะครับ งั้นเดี๋ยวผมไปอาบน้ำแต่วตัวก่อน รอแปบนึงนะครับ"
"ครับ"
คนจิตใจบอบช้ำเหมือนถูกกระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเดินโซเซมายังห้องนอนอย่างหมดแรง ภีมพยายามนั่งสงบสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายและแต่งตัวด้วยชุดที่เสือเลือกมาให้
"เสร็จแล้วครับ"
"คะ ครับๆ เชิญครับคุณภีม"
ร่างขาวผ่องที่สวมทับด้วยสูทสีน้ำตาลด้านในสูทมีเสื้อกั๊กสีเดียวกันที่ใส่ทับเสื้อเชิ้ตสีขาวอีกที พร้อมเนคไทสีดำที่ผูกอยู่ตรงคอทำให้ภีมดูน่ามองจนผิดตาไปจากเดิม คนขับรถเดินนำผู้ที่เจ้านายกำชับนักกำชับหนาว่าต้องพาตัวมางานให้ได้และต้องขับรถให้ระวังที่สุดอย่าให้เกิดอันตรายใดๆขึ้นเด็ดขาด เมื่อรถถูกสตาร์ท คนขับจึงเริ่มมีท่าทีประมาทขึ้นเล็กน้อยเพราะคำสั่งที่เข้มงวดและรัดกุมของเจ้านาย แต่รถก็ขับออกมาได้ราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆจนมาถึงเส้นสี่แยกแทบใจกลางเมืองที่รถติดหนักอยู่หลายชั่วโมง
"จะทันไม่เนี่ยรถติดหนักขนาดนี้"
ตื๊ดดดด🎶
เสียงโทรศัพท์ของคนขับรถดังขึ้น ปลายสายโทรถามเสียงเข้มว่าถึงไหนแล้ว เนื่องจากตอนนี้พิธีงานหมั่นได้เริ่มไปเกือบครึ่งชั่วโมง
"ขอโทษจริงๆครับนาย รถติดหนักเลยครับแทบไม่ขยับไม่"
"ไม่เป็นไร ขับรถดีๆไม่ต้องรีบมาก"
"ครับนาย ขอบคุณครับ"
สายจากเจ้านายถูกตัดลง คนขับรถจึงชื้นใจขึ้นมาทันที ใช้เวลาประมาณ 30 นาที รถก็ขับพาคนสำคัญของเจ้านายมาส่งถึงที่ด้วยความปลอดภัย
"เชิญครับคุณภีม"
ประตูรถถูกเปิดออก ภีมมองเข้าไปยังบ้านของเสือที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานหมั้นและงานแต่งซึ่งก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเป็นเพียงแค่งานขนาดเล็กสำหรับคนในครอบครัว ญาติสนิท และคนรู้จักเท่านั้น เนื่องจากงานถูกจัดขึ้นอย่างกระชั้นชิดจนทำให้ไม่สามารถเตรียมการอะไรได้มาก ภีมมีท่าทีประมาทอย่างเห็นได้ชัด จนเมื่อขาเรียวก้าวเข้ามายังสวนหน้าบ้านซึ่งมีป้ายที่แสดงชื่อของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคิดไว้เด่นชัด คนที่ยืนมองป้ายเริ่มตัวสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ตีรวนปะปนกันจนมึนงงสับสนแทบแยกไม่ออก
"สิงห์&พิมพ์ งั้นเหรอ!?"
"อ้าว หนูภีม"
หญิงสาวผู้เป็นแม่ของเสือ เดินมาทักเพื่อนของลูกชายซึ่งเธอเองก็รู้จักเป็นอย่างดี
"รีบเข้าไปเร็วลูก ตอนนี้กำลังจัดพิธีเตรียมรดน้ำสังข์อยู่ ปะ ตามแม่มา"
"คะ ครับคุณแม่"
ภีมเดินตามหญิงสูงวัยเข้าไปด้านในด้วยความสับสน ภายในบ้านถูกตกแต่งประดับประดาไว้ราวกับสวนดอกไม้ กลิ่นอายของความรักอบอวลไปตลอดทาง เขาเดินผ่านรูปบ่าวสาว ซุ้มแต่งงานและจนมาถึงที่รดน้ำสังข์ ภีมจ้องมองไปยังชายหญิงผู้ซึ่งเป็นเจ้าของงานแต่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยไม่ได้สังเกตว่ามีใครอีกคนมายืนอยู่ด้านหลัง จนเมื่อมีไออุ่นแผ่วเบาเป่ารดมาที่ข้างหู
"งานแต่งเราจัดที่โบสถ์ดีไหม"
"เฮือก…เสือ!?"
คนที่อยู่ในภวังค์ตัวสะดุ้งโหยงรีบเบี่ยงหนี แต่ก็ถูกแขนแกร่งดึงล็อกให้กลับมาประชิดตัว
"มึง…ทำไมถึงเป็นสิงห์ กูไม่เข้าใจ ทำไมมึงไม่บอกอะไรกูเลย"
"หึ…ตามมา"
เสือจับมือนิ่มดึงให้เดินตามมายังห้องทำงานส่วนตัวของเขา
"มึงอยากรู้อะไร"
"ทุกอย่าง กูอย่างรู้ทุกอย่างที่กูยังไม่รู้"
แกร๊ก
ประตูถูกล็อก ก่อนที่เจ้าของห้องจะเดินมานั่งลงบนโซฟาราคาแพงข้างริมหน้าต่าง
"ตอนแรก คนที่จะแต่งงานก็ควรจะเป็นกู แต่มึงกูก็น่าจะรู้ว่ากูไม่ยอมแต่งแน่ๆเพราะใคร… และสิงห์กับพิมพ์สองคนนี้ก็ชอบกันมาก่อนแล้วถ้าจะแต่งงานกันมันก็เป็นเรื่องที่ดีกับทุกฝ่าย ส่วนที่ต้องเลื่อนกำหนดงานแต่งมาเร็วขึ้นก็เพราะแม่ของพิมพ์ป่วยหนัก ท่านเป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย อาการทรุดลงเมื่อวานก่อนวันที่เราไปกินข้าวกัน หมอได้บอกมาว่าท่านคงจะเหลือเวลาอีกไม่นาน ทุกคนก็เลยลงความเห็นว่าควรจะจัดงานแต่งให้เร็วที่สุดเพราะนี่คือสิ่งสุดท้ายที่แม่ของพิมพ์ท่านต้องการ และสุดท้ายที่กูไม่ได้บอกมึงก็เพราะ…มึงไม่ยอมที่จะฟังกูอธิบาย ไม่ให้โอกาสกูได้พูดอะไร แถมยังประชดกูไปมั่วกับคนนู้นคนนี้ ทั้งไอ้ผู้ชายที่อยู่เชียงใหม่กับไอ้รุ่นน้องที่มึงให้มันหอมแก้ม"
คนที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งช่วงท้ายประโยคที่เสือค่อยๆเน้นย้ำมันอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำคนฟังจึงต้องค่อยๆขยับหนีเพราะเริ่มระแวงความคิดของอีกฝ่ายที่ดูท่าจะไม่ปลอดภัยสำหรับเขา
"กู…กูไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเป็นแบบนี้หนิ มึงเองก็ผิดเหอะที่ไม่บอกกู ปล่อยให้กูร้องไห้ ปล่อยให้กูเสียใจอยู่ได้ตั้งนาน"
"หึ…เพราะมึงรักกูมากไง ถึงได้เป็นแบบนี้"
"มะ ไม่ใช่สักหน่อย มั่วแล้ว"
"งั้นเหรอ…"
"อะไร…มึงจะทำอะไร เดี๋ยว! ปล่อยกูเลย ปล่อยยย"
ภีมรีบวิ่งไปหลบข้างโซฟา แต่ก็ถูกแขนแกร่งตามาดึงล็อกจับไว้จนดิ้นไม่หลุด เสือดันคนตัวเล็กกว่าถอยเซไปจนหลังแนบติดกับขอบหน้าต่างที่เป็นกระจกเลื่อนซึ่งมีผ้าม่านกั้นไว้อีกที
"เสือ…นี่มันงานแต่งน้องมึงนะ มึงอย่าทำอะไรบ้าๆนะ"
"ช่างสิ ไม่ใช่งานเเต่งกู ทำไมกูต้องสนใจ"
"จิ…มึงนี่มัน…"
"ถ้าอยากให้กูปล่อย ก็บอกรักกูก่อน"
"สัด! มึงเพี้ยนไปแล้วรึไง"
"กูนับ 1 ถึง 3…"
"ไอ้บ้า ไอ้หื่นเอ้ย ปล่อยกู"
"1"
"เสือ กูไม่เล่น"
"2"
"โอ้ยย ไอ้เสือ"
"3…"
"รัก กูรักมึง พอใจรึยัง"
"ยัง"
"จิ…อะไรมึงอีก"
"พูดเพราะๆ มึงพูดกับคนที่อายุมากกว่าแบบนี้เหรอภีม"
"มึงนี้มันโลภมากชิบหาย…โอ้ยย! จะกัดทำไมเนี่ย"
คอขาวถูกฟันคมกัดจนขึ้นรอย ก่อนที่ปากหนาจะไล้เลียขึ้นมาถึงติ่งหู
"เสือ…อย่า…"
"พี่รักภีมนะ รักพี่รึเปล่า?"
คำพูดชวนเลี่ยนที่ไม่บ่อยนักจะได้ยินทำเอาใบหน้าขาวร้อนผ่าวจนขึ้นสี สายตาซุกซนแต่จริงจังที่จ้องมองมาทำให้คนถูกจ้องต้องรีบเบือนหน้าหนีหลบซ่อนความเขินอายไปทางอื่น
"รักไหมครับ"
"…อึ อืออ"
"อือ…อะไร?"
เสือยืดตัวขึ้นแล้วจับคางเรียวให้หันมามองหน้าทั้งๆที่อีกคนยังหลับตาปี๋
"ว่าไงครับ"
"ระ รักครับ…ภีมรักพี่เสือ"
คำตอบที่น่าพึงพอใจทำให้คนหน้าดุยิ้มกว้างออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็น ใบหน้าที่อยู่ห่างกันเพียงปลายจมูกคั่นค่อยๆขยับเข้าหากันจนขอบปากกำลังจะแตะถึงกันแต่…
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูของใครสักคนดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
ฟอด! แก้มขาวจึงถูกหอมให้หายอยากแทนริมฝีปากที่เสือพลาดที่จะได้ชิม
"ใครครับ"
"เออ ท่านประธาน ดิฉันมินตราค่ะ คือพิธีรดน้ำสังข์กำลังจะเริ่มแล้วค่ะ"
"ครับ เดี๋ยวผมออกไป"
เสือถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะจัดระเบียบชุดของตัวเองและอึกฝ่ายให้เข้าที่ เมื่อตรวจเช็คทุกอย่างเรียบร้อยแล้วมือหนาจึงยื่นมาจับมือของอีกฝ่ายพาจูงเดินก้าวออกมาพร้อมกัน
"ท่านประธานคือ…"
เลขาสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ตามหลังเจ้านายมากำลังจัดดึงเนคไทที่บิดเบี้ยวให้เข้าที่
"มีอะไรรึเปล่าครับ"
"เออ…คือ…ไม่มีอะไรค่ะ เชิญค่ะ"
เมื่อทั้งสองคนเดินจากไป หญิงสาวที่ยังยืนมองทั้งคู่อยู่ที่เดิมจึงมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วกดส่งข้อความบางอย่างให้กับคนที่เธอรู้จักดี
วันนี้ทั้งวันงานหมั้นและงานแต่งของสิงห์กับพิมพ์ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มและมีความสุขอย่างมาก โดยเฉพาะทางด้านของฝ่ายเจ้าสาวที่ได้ทำความต้องการสุดท้ายของผู้เป็นแม่ของเธอให้สำเร็จสมดั่งปรารถนา
"งานแต่งนะ จะร้องไห้ทำไม"
"ฮึก ก็คนมันดีใจหนิ"
"ดีใจที่ได้แต่งงานกับฉันขนาดนั้นเลย"
"จิ…ไอ้คนหลงตัวเอง นายก็รู้ฉันหมายถึงอะไร"
"หึ…งั้นก็เลิกร้องได้แล้ว เวลาเธอยิ้มสวยมากรู้ไหม"
"อะ อะไร พูดมาก ไปกันได้แล้ว เขาเชิญขึ้นเวทีแล้ว"
หญิงสาวรีบก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยความเคอะเขิน เวลานี้เป็นช่วงที่พิธีกรได้เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาว พร้อมคนในครอบครัว และคนสนิทขึ้นมาพูดอวยพรและพูดความใจในซึ่งมีต่อกันและกัน ก่อนที่งานแต่งจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายนั่นก็คืองานปาร์ตี้เล็กๆก่อนที่บ่าวสาวจะเข้าห้องหอ
เวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืน ภีมที่แทบจะไม่ค่อยได้นอนตั้งแต่เมื่อวานจึงเริ่มมีอาการสะลึมสะลือตัวโอนเอนไปมาจนเสือต้องคอยประคองร่างเอาไว้ไม่ให้ล้ม
"เดี๋ยวกูพาไปนอน มึงจะไม่ไหวแล้ว"
"…แต่งานยังไม่เลิกเลย"
"ช่างมัน พิธีการมันจบไปแล้ว…ขึ้นไปนอนเถอะ"
คนง่วงนอนพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินตามเสือขึ้นไปยังบนห้องนอนของเจ้าของห้อง
"อาบน้ำก่อนภีม"
"ไม่อาบได้ไหมอะ กูง่วงจะไม่ไหวแล้ว"
"ไม่ได้ เดี๋ยวกูไปเอาชุดกับผ้าขนหนูให้"
"งือออ"
เสือเดินออกมาหยิบผ้าขนหนูและชุดในห้องเสื้อผ้า พอกลับเข้าไปในห้องนอนคนตัวขาวก็ดันฟุบสลบคาเตียงไปเสียแล้ว
"หึ…ไอ้คนขี้เซา"
คนตัวสูงส่ายหน้ายิ้มอ่อนอย่างเอ็นดูให้กับคนรัก แล้วเดินเข้าไปจัดแจ้งท่านอนให้คนหลับ นอนได้สบายกว่าเดิม
ตรึง ตรึง ตรึง🎶
เสียงเตือนของข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์ของภีมอยู่หลายครั้ง เสือที่กำลังจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้อยู่นั้นจึงหันมาสนใจมือถือของอีกคนแทน เขาเปิดข้อความจากใครบางคนที่ไม่ปรากฏรูปโปรไฟล์และชื่อที่ใช้ตัวอิโมจิแทนข้อความ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนแทบม้วนเป็นปมใบหน้าที่กำลังผ่อนคลายเริ่มกลับมานิ่งขรึม ข้อความและคลิปที่คนปริศนาส่งมาให้ล้วนมีแต่สิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งหมด ดูก็รู้ว่าฝ่ายนั้นพยายามจะยุแยงให้เขากับภีมมีปัญหากัน เสือนั่งอ่านข้อความจนครบและดูดคลิปจนจบ ใบหน้าหล่อเหลาที่เคร่งขรึมจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว ก่อนที่จะกดโทรศัพท์ของตนที่วางอยู่ข้างเตียงโทรหาไปยังปลายสาย
"ฮัลโหลค่ะ ท่านประธานมีอะไรรึเปล่าคะ"
"ผมมีเรื่องให้จัดการ คุณกลับรึยัง"
"เอ่อ…ยังค่ะ"
"ดี งั้นเดี๋ยวผมลงไปหา ไปรอผมในห้องทำงาน"
"ค่ะ ท่าน"